xs
xsm
sm
md
lg

สนช.แก้ป.แพ่ง-พาณิชย์ กำหนดวงเงินค้ำประกัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วานนี้ (12ก.พ.) ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้มีการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รายงานหลักการ และเหตุผล ว่า โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในเรื่องการค้ำประกัน และจำนอง เพื่อให้มีความเหมาะสมแก่การประกอบธุรกิจในปัจจุบัน สมควรกำหนดให้ผู้ค้ำประกันที่เป็นนิติบุคคล สามารถผูกพันตนเพื่อรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมได้ รวมทั้งสามารถทำข้อตกลงล่วงหน้ายินยอมให้มีการผ่อนเวลาได้ หากเป็นสถาบันการเงิน หรือประกอบอาชีพค้ำประกันเพื่อสินจ้างเป็นปกติธุระ
ส่วนสาระสำคัญของ พ.ร.บ.ดังกล่าว กำหนดให้ผู้ค้ำประกันที่เป็นนิติบุคคล สามารถผูกพันตนเพื่อรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม หรือในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วม และไม่มีสิทธิดั่งที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 688 มาตรา 689 และมาตรา 690 ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ รวมทั้งกำหนดให้ข้อตกลงที่แตกต่างจากที่บัญญัติไว้เกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ของเจ้าหนี้ และผู้ค้ำประกันตาม มาตรา 686 เป็นโมฆะ เพื่อมิให้เจ้าหนี้ทำสัญญายกเว้นบทบัญญัติดังกล่าว และแก้ไขเพิ่มเติมให้ผู้ค้ำประกันได้รับประโยชน์จากการที่เจ้าหน้าที่กระทำการใดๆ อันมีผลเป็นการลดจำนวนหนี้ให้แก่ลูกหนี้ และมีการชำระหนี้ตามที่ได้ลดแล้ว ภายในกำหนดเวลาชำระหนี้ ตามข้อตกลงลดหนี้นั้น
นอกจากนี้ กำหนดให้ผู้ค้ำประกันที่เป็นสถาบันการเงิน หรือค้ำประกันเพื่อสินจ้างเป็นปกติธุระ สามารถทำข้อตกลงไว้ล่วงหน้ายินยอมให้มีการผ่อนเวลาได้ และกำหนดให้ผู้มีอำนาจในการจัดการนิติบุคคล ซึ่งเป็นผู้จำนองทรัพย์สินของตนเพื่อประกันหนี้ของนิติบุคคลนั้น สามารถผูกพันตนอย่างผู้ค้ำประกัน โดยทำเป็น สัญญาค้ำประกันต่างหากได้ รวมทั้งกำหนดบทเฉพาะกาล รองรับสัญญาที่ทำขึ้นก่อนวันร่างกฎหมายมีผลใช้บังคับ เพื่อมิให้มีผลกระทบต่อสัญญาที่ทำไว้ก่อน ดังกล่าว และกำหนดบทเฉพาะกาล เพื่อให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากการค้ำประกันตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 691 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในกรณีเจ้าหนี้กระทำการใดๆ อันเป็นการลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้ด้วย

**แก้กม.หวังมีส่วนกระตุ้นศก.

ทั้งนี้ ในที่ประชุม สมาชิกได้อภิปรายอย่างกว้างขวาง โดยนายศักดิ์ทิพย์ ไกรฤกษ์ สมาชิก สนช. กล่าวว่า ในหลักการตนสนับสนุนเต็มที่ แต่เท่าที่ได้รับฟังจากหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ได้แสดงความเห็นผ่านมาคือ ในมาตรา 681 วรรค 2 ที่มีการแก้ไขเพิ่มเติม ให้กำหนดวงเงินค้ำประกันสูงสุดจากเดิมที่ไม่จำเป็นต้องระบุจำนวน ซึ่งการให้ระบุจำนวนเงินที่ตั้งตามสัญญาค้ำประกันสูงสุดเกินกว่าเหตุ เพราะเจ้าหนี้ต้องกำหนดวงเงินให้ครอบคลุมมากที่สุด ทั้งต้นเงิน ดอกเบี้ยปกติ ดอกเบี้ยผิดนัด ค่าธรรมเนียม และค่าเสี่ยงอื่นๆ ที่ไม่อาจระบุจำนวนได้ในวันที่ทำสัญญา ซึ่งเจตนารมณ์เดิมต้องการให้ผู้ค้ำประกันรู้ถึงจำนวนเงินรวมที่ค้ำประกันอย่างชัดเจน แต่ผลกระทบคือ อาจทำให้ผู้ค้ำประกันต้องลงนามในสัญญาที่มีวงเงินค้ำประกันสูงกว่าเงินกู้จำนวนมาก ตนเกรงว่าจะเป็นการไม่สนับสนุนการลงทน เพราะจะทำให้ผู้ลงทุนติดกับภาระค้ำประกันที่สูง และไม่สามารถกู้เงินหรือลงทุนในโครงการอื่นๆ ได้
นอกจากนี้ ในมาตรา 686 วรรคหนึ่ง เมื่อลูกหนี้ผิดนัดให้เจ้าหนี้มีหนังสือบอกกล่าวไปยังผู้ค้ำประกันภายใน 60 วัน นับแต่วันผิดนัด หากไม่บอกกล่าวให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความผิดในดอกเบี้ย และค่าสินไหมทดแทน และค่าภารกิจที่เกิดขึ้นภายหลังจากกำหนด 60 วันดังกล่าว ควรจะหมายถึงเมื่อลูกหนี้ผิดนัดชำระเงิน ไม่ใช่หมายรวมถึงทุกกรณี ซึ่งผู้ค้ำอาจจะอ้างว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้บอกกล่าวเพื่อไม่ต้องชำระดอกเบี้ยค่าสินไหมทดแทนที่เกิดขึ้น
นอกจากนี้ ในมาตรา 686 วรรคสาม กำหนดทางเลือกให้ผู้ค้ำประกันที่ต้องชำระหนี้ 2 ทาง คือ ชำระทั้งหมดและชำระตามเงื่อนไขและวิธีการของสัญญา การกำหนดดังกล่าวอาจส่งผลให้เจ้าหนี้ได้รับหนี้ล่าช้ากว่ากำหนดในกรณีที่ผู้ค้ำประกันเลือกทางที่ 2 ทั้งที่มีการเรียกเงินคืนครบจำนวนแล้ว จะทำให้ไม่เป็นไปตามธรรมเนียมปฏิบัติตามหลักสากล และไม่เป็นที่ยอมรับของต่างประเทศ แทนที่เจ้าหนี้จะได้รับเงินเต็มจำนวนในกรณีที่ลูกหนี้ผิดนัดอาจต้องได้รับชำระตามเงื่อนไขเดิมตามสัญญา หากผู้ค้ำประกันเลือกใช้สิทธิ์ดังกล่าว จะทำให้เจ้าหนี้สิ้นสิทธิ์ได้รับการชำระเงินทั้งจำนวนในคราวเดียวกัน โดยจะต้องรอรับเงินตามงวดที่กำหนดไว้ตามสัญญาเดิม ถือว่าไม่เป็นไปตามธรรมเนียมปฏิบัติของสถาบันการเงิน ทั้งในและต่างประเทศ อาจส่งผลให้หนังสือค้ำประกันที่ออกภายใต้เงื่อนไขมาตรา 686 ไม่เป็นที่ยอมรับ และสถาบันการเงินอาจจะปฏิเสธการขอกู้เงินได้
การที่บังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้เต็มจำนวนก่อน ถึงกำหนดจากการผิดสัญญาของลูกหนี้นั้นแสดงว่า เจ้าหนี้ไม่มีความไว้วางใจในเครดิตของลูกหนี้แล้ว จึงต้องการให้ชำระเงินเต็มจำนวน ซึ่งเป็นไปตามหลักสากล การที่ผู้ค้ำประกันเลือกที่จะชำหนี้ตามเงือนไขเดิมได้ จึงไม่เป็นไปตามหลักปฏิบัติสากล ควรพิจารณาตัดเงื่อนไขที่ 2 ออกไป
และ มาตรา 727/1 ห้ามผู้จำนองรับผิดเกินกว่าทรัพย์สินที่จำนอง อาจเกิดการเข้าใจผิดว่า ห้ามผู้จำนองเป็นผู้ค้ำประกันในเวลาเดียวกัน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อโครงการที่จำเป็นต้องมีหลักประกัน เช่น การประกันและจำนองโดยบริษัทแม่ หากกฎหมายมีเจตนารมณ์จะปกป้องผู้จำนองไม่ให้ต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์ที่จำนอง ก็ควรเขียนให้ชัดเจนถึงข้อตกลงที่กำหนดให้ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดเกินไปกว่าทรัพย์ที่จำนองนั้นเป็นโมฆะ แต่ไม่ควรไปจำกัดสิทธิ์ผู้จำนองที่จะเข้าทำ สัญญาในฐานะอื่นเช่นผู้ค้ำประกัน
น.พ.เจตน์ ศิรธรานนท์ สมาชิก สนช. กล่าวว่า ร่างกฎหมายนี้สืบเนื่องมาจาก พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ( ฉบับที่ 20 ) ซึ่งมีการประกาศใช้ในราชกิจจาฯ เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2557 และให้มีผลบังคับใช้ภายใน 90 วัน ซึ่งจะตรงกับวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2558 และผ่านมาไม่นาน ก็ต้องแก้ไขฉบับนี้ เป็นการแก้ไขฉบับที่ 21 โดยมีการแก้ไขใน 5 ประเด็น ต้องเป็นความรับชอบส่วนหนึ่งของสนช. ดังนั้น จะต้องเร่งพิจารณาโดยเร็ว เพื่อประโยชน์ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะปัจจุบันมีการดำเนินโครงการที่อยู่ระหว่างการเซ็นสัญญา ระหว่างภาครัฐและเอกชน ต้องหยุดชะงักไปเนื่องจากรอดูความชัดเจนของกฎหมาย
**ระบุวงเงินค้ำประกัน ลดความเสี่ยง
ด้าน ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ได้ชี้แจงว่า ตามที่ ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ต้องระบุวงเงินค้ำประกันสูงสุด เนื่องจากบทเรียนวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการได้ความเสียหาย จากวงเงินกู้รวมกับดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าตัว จึงเห็นควรกำหนดวงเงินสูงสุด แต่หากผู้ค้ำประกันเห็นว่า ตัวเลขดังกล่าวสูงเกินไปก็ไม่จำเป็นต้องเซ็นค้ำประกันได้
อีกทั้งการเปิดทางเลือกให้ชำระหนี้ได้ 2 ทาง ทั้งการชำระทั้งหมด และชำระตามเงื่อนไข เช่น หากสัญญากู้เงิน 5 ปี เริ่มผิดชำระหนี้ในปีที่ 2 ผู้ค้ำประกัน สามารถเลือกชำระได้ ทั้งชำระครั้งเดียวทั้งหมด หรือชำระเป็นงวดในปีที่ 3 - 5 ตามเงื่อนไขสัญญาเดิม เพื่อให้สัญญาเดินต่อไปได้ เป็นทางเลือกที่จะให้ประโยชน์กับผู้ค้ำประกัน แม้จะไม่สอดรับกับต่างประเทศก็ตาม
จากนั้นได้มีการลงมติเห็นชอบรับหลักการต่อร่างกฎหมายดังกล่าว 182 ต่อ 2 เสียง งดออกเสียง 5 เสียง พร้อมตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อพิจารณากฎหมายดังกล่าว จำนวน 15 คน แปรญัติติภายใน7 วัน
กำลังโหลดความคิดเห็น