ASTVผู้จัดการรายวัน - แบงก์ชาติมั่นใจสินเชื่อสดใสตามภาวะเศรษฐกิจดีขึ้น เริ่มเห็นพัฒนาการด้านบวกการเติบโตสินเชื่อไตรมาสต่อไตรมาสเพิ่มขึ้น 2.9% โดดเด่นธุรกิจสาธารณูปโภค ก่อสร้าง และอสังหาริมทรัพย์ มองสถานการณ์เอ็นพีแอลจะไม่แย่กว่าปัจจุบัน ยอมรับห่วงกลุ่มอุปโภคบริโภค ต้องใช้เวลา คาด 1-2 ปีข้างหน้าถึงจะฟื้น โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์จขณะนี้ปล่อยสินเชื่อใหม่ไม่ทันจ่ายคืนหนี้
นายจาตุรงค์ จันทรังษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์สถาบันการเงิน สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.มองว่าในปี 58 ภาพรวมสินเชื่อน่าจะขยายตัวดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับมุมมองผู้บริหารธนาคารพาณิชย์มองว่าจะโตแบบระวัง 7% โดยสินเชื่อขยายตัวได้ดี 3 กลุ่มหลัก คือ ธุรกิจสาธารณูปโภค โดยเฉพาะด้านพลังงาน ธุรกิจก่อสร้างจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ขณะเดียวกันมองว่าเมื่อภาวะเศรษฐกิจดีขึ้นไม่น่าจะส่งผลให้สถานการณ์หนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล)แย่กว่าปัจจุบัน
“ยอมรับว่ากลุ่มอุปโภคบริโภคอาจจะเพิ่มขึ้นของหนี้ไม่ก่อรายได้บ้าง ซึ่งต้องอาศัยรายได้ประชาชนให้มีมากขึ้น จึงต้องใช้ระยะเวลา เช่นเดียวกับปัญหาหนี้ครัวเรือน การก่อหนี้ค่อนข้างมากช่วงก่อนหน้านี้ ทำให้รายได้ลดลง อย่างไรก็ตาม เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น ประชาชนมีรายได้ดีขึ้นก็คงไม่กระทบมากนัก”นายจาตุรงค์กล่าวและว่า ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 57 มีพัฒนาการด้านบวกหลายด้านทั้งอัตราการเพิ่มขึ้นสินเชื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาสขยายตัว 2.9% ฉะนั้นเศรษฐกิจไทยเพิ่งผ่านจุดต่ำสุดไม่นาน ตอนนี้หลายส่วนอยู่ในช่วงฟื้นตัว จึงต้องติดตามต่อไป
จากภาวะเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมืองในช่วงครึ่งแรกของปีและการส่งออกหดตัว รวมถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง ทำให้สินเชื่อขยายตัว 5%ในปี 57 ชะลอตัวต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี 56 เป็นผลจากการหดตัวในสินเชื่ออุปโภคบริโภค โดยเฉพาะสินเชื่อรถยนต์ติดลบ 3.4% รวมถึงสินเชื่อธุรกิจ โดยธุรกิจขนาดใหญ่มีการออกหุ้นกู้และระดมทุนผ่านตลาดหุ้นแล้วนำเงินมาใช้คืนหนี้ธนาคารมากขึ้น ตลอดปี 57 ลูกหนี้รายใหญ่มีการจ่ายคืนหนี้เกิน 5,000 ล้านบาท คิดเป็น 2.7 แสนล้านบาท คิดเป็น 1.8%ของสินเชื่อรวม และการออกหุ้นกู้เอกชนเพิ่มขึ้นถึง 3 แสนล้านบาทปี 57
นอกจากนี้ สินเชื่อธุรกิจในกลุ่มธุรกิจบริการและธุรกิจการเงินติดลบ 0.4% และติดลบ 5.0% ตามลำดับ โดยธุรกิจบริการ พบว่า กลุ่มสื่อสารโทรคมนาคมมีการระดมทุนหุ้นกู้และเพิ่มทุนมาทยอยจ่ายคืนหนี้ธนาคารมากขึ้นในปี 56-57 ขณะที่ธุรกิจการเงินได้รับผลกระทบจากสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ เนื่องจากปล่อยสินเชื่อไม่ทันจ่ายคืนหนี้ ซึ่งปกติอายุหนี้ 6-7 ปี จึงมองว่าในช่วง 1-2
ปีข้างหน้า สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์จะไม่เร่งขึ้นชัดเจนเหมือนช่วงที่ผ่านมา
ทั้งนี้ คุณภาพสินเชื่ออุปโภคบริโภคมีแนวโน้มด้อยลง ทำให้สัดส่วนเอ็นพีแอลกลุ่มสินเชื่อนี้อยู่ที่ 2.39% ผลจากสินเชื่อรถยนต์จาก 1.3% ในไตรมาส 4 ปี 53 ขยับ 2.0% ในไตรมาส 4 ปี56 และล่าสุดไตรมาส 4 ของปี 57 ขยับเป็น 2.5% สินเชื่อบัตรเครดิตจากไตรมาส 4 ปีก่อนอยู่ที่ 2.6% ล่าสุดมาอยู่ที่ 3.2% และสินเชื่อส่วนบุคคลจาก 2.2% ขยับเป็น 2.5% ขณะที่การค้างชำระหนี้ 1-3 เดือน (SM) เพิ่มขึ้นจากสินเชื่อรถยนต์จากไตรมาสสุดท้ายปี 56 อยู่ที่ 7.7% ล่าสุดไตรมาสสุดท้ายปี 57 ขยับเป็น 8.3% และสินเชื่อส่วนบุคคลจาก 2.4% ขยับเป็น 2.5%
“แม้สินเชื่อ SM เพิ่มขึ้นในสินเชื่อเกือบทุกประเภท แต่ไม่กลายเป็นเอ็นพีแอลเสมอไป ปัจจุบันธนาคารพยายามช่วยเหลือลูกหนี้เห็นได้ชัดเจนช่วงไตรมาสสุดท้ายปีก่อน ธนาคารพาณิชย์เร่งตัดหนี้สูญ โอนหรือขายออก และวิธีการอื่นๆ เพื่อให้หนี้ลดลง โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอีและอุปโภคบริโภค”.
นายจาตุรงค์ จันทรังษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์สถาบันการเงิน สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.มองว่าในปี 58 ภาพรวมสินเชื่อน่าจะขยายตัวดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับมุมมองผู้บริหารธนาคารพาณิชย์มองว่าจะโตแบบระวัง 7% โดยสินเชื่อขยายตัวได้ดี 3 กลุ่มหลัก คือ ธุรกิจสาธารณูปโภค โดยเฉพาะด้านพลังงาน ธุรกิจก่อสร้างจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ขณะเดียวกันมองว่าเมื่อภาวะเศรษฐกิจดีขึ้นไม่น่าจะส่งผลให้สถานการณ์หนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล)แย่กว่าปัจจุบัน
“ยอมรับว่ากลุ่มอุปโภคบริโภคอาจจะเพิ่มขึ้นของหนี้ไม่ก่อรายได้บ้าง ซึ่งต้องอาศัยรายได้ประชาชนให้มีมากขึ้น จึงต้องใช้ระยะเวลา เช่นเดียวกับปัญหาหนี้ครัวเรือน การก่อหนี้ค่อนข้างมากช่วงก่อนหน้านี้ ทำให้รายได้ลดลง อย่างไรก็ตาม เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น ประชาชนมีรายได้ดีขึ้นก็คงไม่กระทบมากนัก”นายจาตุรงค์กล่าวและว่า ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 57 มีพัฒนาการด้านบวกหลายด้านทั้งอัตราการเพิ่มขึ้นสินเชื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาสขยายตัว 2.9% ฉะนั้นเศรษฐกิจไทยเพิ่งผ่านจุดต่ำสุดไม่นาน ตอนนี้หลายส่วนอยู่ในช่วงฟื้นตัว จึงต้องติดตามต่อไป
จากภาวะเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมืองในช่วงครึ่งแรกของปีและการส่งออกหดตัว รวมถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง ทำให้สินเชื่อขยายตัว 5%ในปี 57 ชะลอตัวต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี 56 เป็นผลจากการหดตัวในสินเชื่ออุปโภคบริโภค โดยเฉพาะสินเชื่อรถยนต์ติดลบ 3.4% รวมถึงสินเชื่อธุรกิจ โดยธุรกิจขนาดใหญ่มีการออกหุ้นกู้และระดมทุนผ่านตลาดหุ้นแล้วนำเงินมาใช้คืนหนี้ธนาคารมากขึ้น ตลอดปี 57 ลูกหนี้รายใหญ่มีการจ่ายคืนหนี้เกิน 5,000 ล้านบาท คิดเป็น 2.7 แสนล้านบาท คิดเป็น 1.8%ของสินเชื่อรวม และการออกหุ้นกู้เอกชนเพิ่มขึ้นถึง 3 แสนล้านบาทปี 57
นอกจากนี้ สินเชื่อธุรกิจในกลุ่มธุรกิจบริการและธุรกิจการเงินติดลบ 0.4% และติดลบ 5.0% ตามลำดับ โดยธุรกิจบริการ พบว่า กลุ่มสื่อสารโทรคมนาคมมีการระดมทุนหุ้นกู้และเพิ่มทุนมาทยอยจ่ายคืนหนี้ธนาคารมากขึ้นในปี 56-57 ขณะที่ธุรกิจการเงินได้รับผลกระทบจากสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ เนื่องจากปล่อยสินเชื่อไม่ทันจ่ายคืนหนี้ ซึ่งปกติอายุหนี้ 6-7 ปี จึงมองว่าในช่วง 1-2
ปีข้างหน้า สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์จะไม่เร่งขึ้นชัดเจนเหมือนช่วงที่ผ่านมา
ทั้งนี้ คุณภาพสินเชื่ออุปโภคบริโภคมีแนวโน้มด้อยลง ทำให้สัดส่วนเอ็นพีแอลกลุ่มสินเชื่อนี้อยู่ที่ 2.39% ผลจากสินเชื่อรถยนต์จาก 1.3% ในไตรมาส 4 ปี 53 ขยับ 2.0% ในไตรมาส 4 ปี56 และล่าสุดไตรมาส 4 ของปี 57 ขยับเป็น 2.5% สินเชื่อบัตรเครดิตจากไตรมาส 4 ปีก่อนอยู่ที่ 2.6% ล่าสุดมาอยู่ที่ 3.2% และสินเชื่อส่วนบุคคลจาก 2.2% ขยับเป็น 2.5% ขณะที่การค้างชำระหนี้ 1-3 เดือน (SM) เพิ่มขึ้นจากสินเชื่อรถยนต์จากไตรมาสสุดท้ายปี 56 อยู่ที่ 7.7% ล่าสุดไตรมาสสุดท้ายปี 57 ขยับเป็น 8.3% และสินเชื่อส่วนบุคคลจาก 2.4% ขยับเป็น 2.5%
“แม้สินเชื่อ SM เพิ่มขึ้นในสินเชื่อเกือบทุกประเภท แต่ไม่กลายเป็นเอ็นพีแอลเสมอไป ปัจจุบันธนาคารพยายามช่วยเหลือลูกหนี้เห็นได้ชัดเจนช่วงไตรมาสสุดท้ายปีก่อน ธนาคารพาณิชย์เร่งตัดหนี้สูญ โอนหรือขายออก และวิธีการอื่นๆ เพื่อให้หนี้ลดลง โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอีและอุปโภคบริโภค”.