**น่าสนใจยิ่งกับข่าวเรื่อง คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไม่อนุญาตให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินทางออกนอกประเทศ หลังจากที่อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงหนึ่งเดียวได้ทำเรื่องขอเดินทางไปฮ่องกง ในวันที่ 8 ก.พ. 58 ที่ผ่านมา โดยเครื่องบินเช่าเหมาลำ
รายงานข่าวดังกล่าวอ้างว่า เหตุผลหนึ่งที่ คสช.ไม่ไฟเขียวให้ยิ่งลักษณ์ ก็เพราะพิจารณาแล้ว ยิ่งลักษณ์อยู่ในช่วงการเตรียมตกเป็นจำเลยในชั้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หลังที่อัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งฟ้อง จึงไม่อนุญาตให้เดินทางไปในช่วงนี้
แต่ทีมทนายความ-คนใกล้ชิดยิ่งลักษณ์ ยังปฏิเสธที่จะพูดถึงเรื่องนี้ โดยพูดทำนองเดียวกันว่าไม่ทราบเรื่อง และอ้างว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของยิ่งลักษณ์
หลังมีข่าวดังกล่าว เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ตามมาอย่างมากมาย คนการเมืองบางคนให้ความเห็นตามมาว่า หากข่าวนี้เป็นเรื่องจริง ถือว่าคสช.ทำถูก เพราะคดีจวนยื่นฟ้องศาลฎีกาฯอยู่แล้ว คสช.ไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวอะไร ปล่อยให้เป็นเรื่องที่ ยิ่งลักษณ์ไปร้องขอต่อศาลฎีกาฯเอง หากขืนไฟเขียวให้ออกนอกประเทศ ยิ่งลักษณ์ อาจจะล่องหนไปอยู่กับทักษิณ ชินวัตร พี่ชายนั่นเอง
หากยิ่งลักษณ์ ว่าที่จำเลยศาลฎีกาฯ คดีรับจำนำข้าว เดินทางออกนอกประเทศ ท่ามกลางการคาดหมายจากหลายฝ่าย แม้แต่พวกทีมกฎหมายของพรรคเพื่อไทย ว่ายิ่งลักษณ์ อาการร่อแร่ มันก็คงไม่เป็นผลดีกับสถานภาพของคสช. และพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. เพราะ คสช.จะแบกรับความเสี่ยงสูงไว้มาก
**ถ้ายิ่งลักษณ์ไปแล้วไม่กลับ หรือเล่นตุกติกอะไรขึ้นมา คสช. พังแน่นอน ในด้านคสช.จึงต้องดึงเรื่องไว้ รอให้ยิ่งลักษณ์ตกเป็นจำเลยคดีในชั้นศาลฎีกาฯ เพื่อเซฟตัวเองไว้ดีกว่า
เพราะเมื่อยิ่งลักษณ์ตกเป็นจำเลย ตามคำฟ้องของอัยการที่จะระบุความผิดว่า ยิ่งลักษณ์กระความผิดในคดีรับจำนำข้าว ฐานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต จนศาลฎีกาฯประทับรับฟ้องแล้ว ถ้าถึงขั้นตอนนั้น การขอออกนอกประเทศ ก็ต้องไปยื่นเรื่องขอต่อศาลฎีกาฯ ไม่ต้องมายื่น คสช.แล้ว แม้อาจเกี่ยวข้องกับ คสช. บ้าง แต่ก็เป็นการแจ้งในทางการเมืองมากกว่า ยังไงก็ต้องให้ศาลฎีกาฯอนุญาตเป็นหลัก
อย่างไรก็ดี ประเมินแล้วโอกาสที่ศาลฎีกาฯ จะอนุญาตให้ยิ่งลักษณ์เดินทางออกนอกประเทศ ถือว่ายากมาก เพราะศาลฎีกาฯ ก็มีบทเรียนมาแล้วกับกรณี ทักษิณ ชินวัตร พี่ชาย ที่ศาลฎีกาฯ เคยอนุญาตให้ออกนอกประเทศ แล้วก็ไม่เคยกลับมาอีกเลยจนถึงทุกวันนี้
ดังนั้น แทบไม่มีโอกาสเลย ที่ยิ่งลักษณ์ จะเดินทางออกนอกประเทศได้แบบปกติทั่วไป ในช่วงก่อนศาลฎีกานัดอ่านคำพิพากษาคดีรับจำนำข้าว
**จุดนี้ ยิ่งลักษณ์และทีมทนายความทุกคนต่างก็ทราบกันดี จนคนพูดกันไปล่วงหน้าว่า หากจะไป ก็ต้องไปแบบเงียบ ไร้วี่แวว ไร้ร่องรอยนั่นเอง
ทั้งนี้ ยิ่งลักษณ์และทีมทนายความ ก็พยายามจะสื่อสารออกมาว่า พร้อมสู้คดีตามขั้นตอนกระบวนการยุติธรรมทุกอย่าง ที่ถอดความได้คือ ไม่หนี สู้สุดใจ จนกว่าจะรู้ผล แต่ใครจะเชื่อ หรือไม่เชื่อ แหม มันพิสูจน์ยาก ต้องรอดูกันจนถึงวันนัดตัดสินคดี
ขณะเดียวกัน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการเปิดเผยความคืบหน้าของคดีนี้ โดยเฉพาะการเตรียมร่างคำฟ้องเพื่อยื่นฟ้อง ยิ่งลักษณ์ จาก ชุติชัย สาขากร อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานการร่างคำฟ้องดำเนินคดีอาญา ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่ายังอยู่ในขั้นตอนการร่างคำฟ้องอยู่ แต่ยังไม่สามารถระบุวันเวลาที่แน่นอนได้ว่าแล้วเสร็จเมื่อไหร่ ขึ้นอยู่กับคณะทำงาน แต่คาดว่าคงใช้เวลาไม่นานก็จะแล้วเสร็จ
หากเมื่อทางคณะทำงานร่างคำฟ้องเสร็จแล้ว ก็จะส่งให้อัยการสูงสุดตรวจคำฟ้องก่อนประสานให้ ป.ป.ช. นำตัวมาฟ้องต่อศาลฎีกาฯ นักการเมืองต่อไป
ดูแล้ว อัยการคงไม่มีเจตนายื้อคดีไว้แน่นอน การฟ้องก็คงอยู่ในช่วงอาจปลายเดือนนี้ หรือไม่ก็เดือนมีนาคม พอคดียื่นไปที่ศาลฎีกาฯ ลำดับขั้นตอนก็ดำเนินไปเหมือนคดีอื่นๆก่อนหน้านี้ ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษแตกต่างไปจากคดีอื่น แม้ต่อให้ยิ่งลักษณ์ เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี ก็ตาม
ท่ามกลางกระแสข่าวที่ลอยมาว่า ยิ่งลักษณ์ ยังคงใช้ทีมทนายความชุดเดิม ที่เคยทำคดีหลายคดีให้ก่อนหน้านี้ เช่น คดีย้ายถวิล เปลี่ยนศรี ในศาลรัฐธรรมนูญ-คดีถอดถอนของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ –คดีรับจำนำข้าวในชั้น ป.ป.ช. และอัยการ ซึ่งก็คือพวกหน้าเดิมๆ อย่าง พิชิต ชื่นบาน , นรวิชญ์ หล้าแหล่ง, สมหมาย กู้ทรัพย์, วัฒนา เตียงกูล ซึ่งคดีเกือบทั้งหมด ยิ่งลักษณ์ แพ้รวด !
ไม่รู้ว่าทำไม ทักษิณ –ยิ่งลักษณ์ ถึงไว้ใจทีมทนายชุดนี้เหลือเกิน โดยเฉพาะกับคดีรับจำนำข้าวในชั้นศาลฎีกาฯคราวนี้ ที่มีเดิมพันสูงที่สุดมากกว่าทุกคดีที่ ยิ่งลักษณ์เจอมา มาคราวนี้ก็ฝากชีวิตไว้กับทีมทนายความชุดนี้อีก
แต่ข่าวก็มีมาบอกว่า ทักษิณ–ยิ่งลักษณ์ อาจปรับอะไรเล็กน้อยในช่วงการสู้คดี อาจจะมีการไปดึงทนายความบางคน หรือนักกฎหมายชื่อเสียงดังๆ มาช่วยสู้คดีแบบไม่เป็นทางการ โดยให้ทำงานอยู่เบื้องหลัง แล้วก็ให้ทีมทนายความชุดนี้ออกหน้าไป เรียกว่า คอยเป็นกุนซือมาคุมทิศทางคดีให้นั่นเอง แต่จะเป็นใคร ต้องรอสืบข่าวกันต่อไป
กระนั้นสายข่าวทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทยบางคน ให้ข้อมูลเชิงวิเคราะห์คดียิ่งลักษณ์ไว้ก่อนที่จะมีการเปิดห้องพิจารณาคดีกันไว้ว่า การจะดูว่า โอกาสที่ยิ่งลักษณ์จะชนะคดีหรือไม่ ต้องรอดูการสู้คดี - การไต่สวนพยานฝ่ายโจทย์ และจำเลยผ่านไปสักระยะก่อน รวมถึงดูวิธีการตั้งประเด็นคำถามขององค์คณะฯในคดีก่อนว่า เป็นอย่างไร ถึงจะประเมินได้ถูกว่าจะชนะหรือแพ้
**แต่ปัญหาก็คือ ทักษิณ–ยิ่งลักษณ์และเครือญาติพี่น้องตระกูลชินวัตร เขาจะเชื่อมั่นว่าจะชนะคดี จนอยู่สู้คดีจนถึงวันสุดท้าย และเดินทางไปฟังคำตัดสินของศาลฎีกาฯหรือไม่ อันนี้สิ คือปัญหา ที่ฝ่ายกฎหมายหรือทนายความยิ่งลักษณ์คนไหน ก็ไม่มีใครกล้ายืนยัน
รายงานข่าวดังกล่าวอ้างว่า เหตุผลหนึ่งที่ คสช.ไม่ไฟเขียวให้ยิ่งลักษณ์ ก็เพราะพิจารณาแล้ว ยิ่งลักษณ์อยู่ในช่วงการเตรียมตกเป็นจำเลยในชั้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หลังที่อัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งฟ้อง จึงไม่อนุญาตให้เดินทางไปในช่วงนี้
แต่ทีมทนายความ-คนใกล้ชิดยิ่งลักษณ์ ยังปฏิเสธที่จะพูดถึงเรื่องนี้ โดยพูดทำนองเดียวกันว่าไม่ทราบเรื่อง และอ้างว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของยิ่งลักษณ์
หลังมีข่าวดังกล่าว เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ตามมาอย่างมากมาย คนการเมืองบางคนให้ความเห็นตามมาว่า หากข่าวนี้เป็นเรื่องจริง ถือว่าคสช.ทำถูก เพราะคดีจวนยื่นฟ้องศาลฎีกาฯอยู่แล้ว คสช.ไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวอะไร ปล่อยให้เป็นเรื่องที่ ยิ่งลักษณ์ไปร้องขอต่อศาลฎีกาฯเอง หากขืนไฟเขียวให้ออกนอกประเทศ ยิ่งลักษณ์ อาจจะล่องหนไปอยู่กับทักษิณ ชินวัตร พี่ชายนั่นเอง
หากยิ่งลักษณ์ ว่าที่จำเลยศาลฎีกาฯ คดีรับจำนำข้าว เดินทางออกนอกประเทศ ท่ามกลางการคาดหมายจากหลายฝ่าย แม้แต่พวกทีมกฎหมายของพรรคเพื่อไทย ว่ายิ่งลักษณ์ อาการร่อแร่ มันก็คงไม่เป็นผลดีกับสถานภาพของคสช. และพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. เพราะ คสช.จะแบกรับความเสี่ยงสูงไว้มาก
**ถ้ายิ่งลักษณ์ไปแล้วไม่กลับ หรือเล่นตุกติกอะไรขึ้นมา คสช. พังแน่นอน ในด้านคสช.จึงต้องดึงเรื่องไว้ รอให้ยิ่งลักษณ์ตกเป็นจำเลยคดีในชั้นศาลฎีกาฯ เพื่อเซฟตัวเองไว้ดีกว่า
เพราะเมื่อยิ่งลักษณ์ตกเป็นจำเลย ตามคำฟ้องของอัยการที่จะระบุความผิดว่า ยิ่งลักษณ์กระความผิดในคดีรับจำนำข้าว ฐานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต จนศาลฎีกาฯประทับรับฟ้องแล้ว ถ้าถึงขั้นตอนนั้น การขอออกนอกประเทศ ก็ต้องไปยื่นเรื่องขอต่อศาลฎีกาฯ ไม่ต้องมายื่น คสช.แล้ว แม้อาจเกี่ยวข้องกับ คสช. บ้าง แต่ก็เป็นการแจ้งในทางการเมืองมากกว่า ยังไงก็ต้องให้ศาลฎีกาฯอนุญาตเป็นหลัก
อย่างไรก็ดี ประเมินแล้วโอกาสที่ศาลฎีกาฯ จะอนุญาตให้ยิ่งลักษณ์เดินทางออกนอกประเทศ ถือว่ายากมาก เพราะศาลฎีกาฯ ก็มีบทเรียนมาแล้วกับกรณี ทักษิณ ชินวัตร พี่ชาย ที่ศาลฎีกาฯ เคยอนุญาตให้ออกนอกประเทศ แล้วก็ไม่เคยกลับมาอีกเลยจนถึงทุกวันนี้
ดังนั้น แทบไม่มีโอกาสเลย ที่ยิ่งลักษณ์ จะเดินทางออกนอกประเทศได้แบบปกติทั่วไป ในช่วงก่อนศาลฎีกานัดอ่านคำพิพากษาคดีรับจำนำข้าว
**จุดนี้ ยิ่งลักษณ์และทีมทนายความทุกคนต่างก็ทราบกันดี จนคนพูดกันไปล่วงหน้าว่า หากจะไป ก็ต้องไปแบบเงียบ ไร้วี่แวว ไร้ร่องรอยนั่นเอง
ทั้งนี้ ยิ่งลักษณ์และทีมทนายความ ก็พยายามจะสื่อสารออกมาว่า พร้อมสู้คดีตามขั้นตอนกระบวนการยุติธรรมทุกอย่าง ที่ถอดความได้คือ ไม่หนี สู้สุดใจ จนกว่าจะรู้ผล แต่ใครจะเชื่อ หรือไม่เชื่อ แหม มันพิสูจน์ยาก ต้องรอดูกันจนถึงวันนัดตัดสินคดี
ขณะเดียวกัน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการเปิดเผยความคืบหน้าของคดีนี้ โดยเฉพาะการเตรียมร่างคำฟ้องเพื่อยื่นฟ้อง ยิ่งลักษณ์ จาก ชุติชัย สาขากร อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานการร่างคำฟ้องดำเนินคดีอาญา ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่ายังอยู่ในขั้นตอนการร่างคำฟ้องอยู่ แต่ยังไม่สามารถระบุวันเวลาที่แน่นอนได้ว่าแล้วเสร็จเมื่อไหร่ ขึ้นอยู่กับคณะทำงาน แต่คาดว่าคงใช้เวลาไม่นานก็จะแล้วเสร็จ
หากเมื่อทางคณะทำงานร่างคำฟ้องเสร็จแล้ว ก็จะส่งให้อัยการสูงสุดตรวจคำฟ้องก่อนประสานให้ ป.ป.ช. นำตัวมาฟ้องต่อศาลฎีกาฯ นักการเมืองต่อไป
ดูแล้ว อัยการคงไม่มีเจตนายื้อคดีไว้แน่นอน การฟ้องก็คงอยู่ในช่วงอาจปลายเดือนนี้ หรือไม่ก็เดือนมีนาคม พอคดียื่นไปที่ศาลฎีกาฯ ลำดับขั้นตอนก็ดำเนินไปเหมือนคดีอื่นๆก่อนหน้านี้ ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษแตกต่างไปจากคดีอื่น แม้ต่อให้ยิ่งลักษณ์ เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี ก็ตาม
ท่ามกลางกระแสข่าวที่ลอยมาว่า ยิ่งลักษณ์ ยังคงใช้ทีมทนายความชุดเดิม ที่เคยทำคดีหลายคดีให้ก่อนหน้านี้ เช่น คดีย้ายถวิล เปลี่ยนศรี ในศาลรัฐธรรมนูญ-คดีถอดถอนของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ –คดีรับจำนำข้าวในชั้น ป.ป.ช. และอัยการ ซึ่งก็คือพวกหน้าเดิมๆ อย่าง พิชิต ชื่นบาน , นรวิชญ์ หล้าแหล่ง, สมหมาย กู้ทรัพย์, วัฒนา เตียงกูล ซึ่งคดีเกือบทั้งหมด ยิ่งลักษณ์ แพ้รวด !
ไม่รู้ว่าทำไม ทักษิณ –ยิ่งลักษณ์ ถึงไว้ใจทีมทนายชุดนี้เหลือเกิน โดยเฉพาะกับคดีรับจำนำข้าวในชั้นศาลฎีกาฯคราวนี้ ที่มีเดิมพันสูงที่สุดมากกว่าทุกคดีที่ ยิ่งลักษณ์เจอมา มาคราวนี้ก็ฝากชีวิตไว้กับทีมทนายความชุดนี้อีก
แต่ข่าวก็มีมาบอกว่า ทักษิณ–ยิ่งลักษณ์ อาจปรับอะไรเล็กน้อยในช่วงการสู้คดี อาจจะมีการไปดึงทนายความบางคน หรือนักกฎหมายชื่อเสียงดังๆ มาช่วยสู้คดีแบบไม่เป็นทางการ โดยให้ทำงานอยู่เบื้องหลัง แล้วก็ให้ทีมทนายความชุดนี้ออกหน้าไป เรียกว่า คอยเป็นกุนซือมาคุมทิศทางคดีให้นั่นเอง แต่จะเป็นใคร ต้องรอสืบข่าวกันต่อไป
กระนั้นสายข่าวทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทยบางคน ให้ข้อมูลเชิงวิเคราะห์คดียิ่งลักษณ์ไว้ก่อนที่จะมีการเปิดห้องพิจารณาคดีกันไว้ว่า การจะดูว่า โอกาสที่ยิ่งลักษณ์จะชนะคดีหรือไม่ ต้องรอดูการสู้คดี - การไต่สวนพยานฝ่ายโจทย์ และจำเลยผ่านไปสักระยะก่อน รวมถึงดูวิธีการตั้งประเด็นคำถามขององค์คณะฯในคดีก่อนว่า เป็นอย่างไร ถึงจะประเมินได้ถูกว่าจะชนะหรือแพ้
**แต่ปัญหาก็คือ ทักษิณ–ยิ่งลักษณ์และเครือญาติพี่น้องตระกูลชินวัตร เขาจะเชื่อมั่นว่าจะชนะคดี จนอยู่สู้คดีจนถึงวันสุดท้าย และเดินทางไปฟังคำตัดสินของศาลฎีกาฯหรือไม่ อันนี้สิ คือปัญหา ที่ฝ่ายกฎหมายหรือทนายความยิ่งลักษณ์คนไหน ก็ไม่มีใครกล้ายืนยัน