ผ่าประเด็นร้อน
สถิติที่ผ่านมาของ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ถือว่าสวยหรูเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้เกิดขึ้นมากมาย ทั้งการเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย เป็นนักการเมืองคนแรกที่ใช้เวลารณรงค์ทางการเมืองน้อยที่สุดเพียงแค่ 49 วันก็สามารถชนการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายจนก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศที่อาจจะอายุน้อยที่สุดก็ว่าได้
นั่นเป็นแง่มุมที่น่าภาคภูมิใจของครอบครัวและตระกูล แม้ว่าจะมีเบื้องหลังมากมายให้วิจารณ์ แต่นั่นก็เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วจะปฏิเสธเรื่องแบบนี้ไม่ได้เป็นอันขาด
อย่างไรก็ดี ล่าสุด ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ได้สร้างสถิติใหม่ขึ้นมาอีก นั่นคือเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ถูกสภาถอดถอนพ้นจากตำแหน่งและถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี จากกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดจากโครงการรับจำนำข้าวที่ไม่ระงับยับยั้งจนก่อให้เกิดความเสียหายกับงบประมาณของบ้านเมืองจำนวนมหาศาล ไม่ต่ำกว่า 6 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ หากย้อนกลับไปพิจารณาถึงจำนวนเสียงที่ถอดถอนเพื่อทบทวนความจำกันอีกรอบว่าต้องใช้จำนวน 3 ใน 5 แต่วันนั้นเสียงที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ลงมติให้ถอดถอนมีถึง 190 ต่อ 18 งดออกเสียง 8 และบัตรเสีย 3 เสียงที่ออกมาถือว่า “ท่วมท้น” เกินความคาดหมาย ทั้งที่ก่อนหน้านี้บรรดาเครือข่ายลิ่วล้อต่างออกมาพูดจาข่มขู่กันสารพัด ว่าจะเกิดเหตุนองเลือดบ้าง การปรองดองจะไม่เกิด จะมีการฟ้องร้องอะไรบ้าง แต่เมื่อผลออกมาอย่างที่เห็นทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี ภาพของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รวมทั้งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็มีภาพออกมาในทางบวกมากขึ้นกว่าเดิม เมื่อเปรียบเทียบกับผลที่หากออกมาว่า “ไม่ถอดถอน”
นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องพิจารณากันแบบต่อเนื่องก็คือ ผลจากการถูกถอดถอนดังกล่าวยังส่งผลทำให้ต้องถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เป็นการฝังอนาคตในเส้นทางอำนาจแบบที่เคยเป็นมาให้ดับมืดลงทันที
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนี้จะไม่ใช่แค่ถูกตัดสิทธิแค่ 5 ปีเท่านั้น แต่จะมีผลต่อเนื่องนั่นคือห้ามเข้าสู่สนามการเมืองไปตลอดชีวิต ซึ่งอีกไม่นานจะต้องมีการพูดถึงให้ชัดเจน ภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 ในมาตรา 35 (4) ที่กำหนดเกี่ยวกับคุณสมบัติต้องห้ามของนักการเมือง โดยเฉพาะคนที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง เคยถูกคำสั่งชี้ความผิดจากหน่วยงานที่ชอบตามกฎหมาย ซึ่งก็จะหมายถึงกรณีที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดในโครงการรับจำนำข้าว นั่นก็หมายความว่าทั้งกรณี ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดและกรณีถูกตัดสิทธิ์การเมือง 5 ปี เหมือนกับว่าถูก “ล็อกไว้สองชั้น”
นั่นเป็นเรื่องการเมืองซึ่งในความเป็นจริงแล้วตัวเธอเองอาจไม่มีความปรารถนาที่จะลงมาเดินในเส้นทางนี้ก็ได้ แต่เป็นเพราะถูกดันหลังจากพี่ชายคือ ทักษิณ ชินวัตร ที่ต้องการให้เป็นตัวแทนอำนาจโดยตรง เนื่องจากไม่ไว้ใจใคร อีกทั้งยังเป็นจุดขายได้มากกว่าพี่ๆ น้องๆ คนอื่นที่มีอยู่ ดังนั้นถ้าหากลองถาม ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรกันแบบเปิดใจ เธออาจพอใจในสภาพแบบนี้ก็ได้ที่ไม่ต้องปั้นหน้าตอบคำถามในทางการเมือง ในสิ่งที่เธอไม่ถนัดและไม่มีทางเข้าใจเลยก็ได้
กรณีถูกจำกัดทางการเมืองอาจจะยุติเพียงแค่นี้ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงและน่าติดตามมากไปกว่านั้นก็คือ “คดีอาญา” ที่ล่าสุดเมื่อเช้าวันที่ 20 มกราคม ก่อนที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติจะลงมติถอดถอนเพียงไม่กี่นาทีทางอัยการสูงสุดก็แถลงว่าได้สรุปสำนวนสั่งฟ้อง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการในโครงการรับจำนำข้าว ฐานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยคาดว่าจะมีการส่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในเดือนมีนาคม ซึ่งอย่างหลังนี่แหละน่าหวาดเสียวกว่า และเป็นรูปธรรมมากกว่า นั่นคือ “เสี่ยงต่อคุก” สูงยิ่ง นั่นคือใช้เวลาในการพิจารณาไม่นานเกินรอ
ดังนั้น หากหากบอกว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะเป็นคนสร้างสถิติและสร้างปรากฏการณ์ใหม่ๆ ขึ้นมามากมาย ทั้งการเป็นนายกฯ หญิงคนแรก เป็นนักการเมืองที่ใช้เวลาน้อยที่สุด คือ 49 วันในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำ เป็นผู้นำคนแรกที่ถูกสภาถอดถอนและอีกไม่นานอาจเป็นผู้นำหรือนายกรัฐมนตรีคนแรกที่อาจเดินเข้าคุก อย่างหลังนี่แหละหากเกิดขึ้นจริงถือว่าเป็นเรื่อง “น่าเจ็บปวด” อย่างที่สุด!!