ASTVผู้จัดการรายวัน-"จักรทิพย์" แถลงออกหมายจับ 2 ผู้ต้องหา มือวางบึ้มหน้าพารากอน เผยรู้ตัวแล้วอยู่ระหว่างติดตามจับกุม เชื่อคนประกอบระเบิดเป็นมืออาชีพ ผู้วางค่อนข้างใจเย็น คาดมีมากกว่า 2 คน ด้านโฆษกตำรวจเผยคนร้ายทำงานกันเป็นทีม เตรียมขยายผลออกหมายจับเพิ่ม มั่นใจมีคนบงการ พร้อมตัดประเด็นวางบึ้มเหลือ 2 เรื่อง ป่วนการเมืองและผลประโยชน์ "บิ๊กตู่"สั่งจับให้ได้ ไม่ว่าหน้าไหน
วานนี้ (4 ก.พ.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร. รับผิดชอบงานด้านความมั่นคง กล่าวถึงความคืบหน้าคดีคนร้ายลอบวางระเบิดหน้าห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน เมื่อช่วงค่ำวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมาว่า ล่าสุดศาลอาญา ได้อนุมัติออกหมายจับผู้ต้องหาเป็นชาย 2 คน ซึ่งออกตามภาพจากกล้องวงจรปิด คนร้ายเป็นชายไทยอายุประมาณ 30 ปี รูปร่างสูง หน้าตาดี ตำรวจรู้ตัวแล้วและอยู่ระหว่างติดตามจับกุม
พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวว่า จากการสืบสวนมีความเป็นไปได้สูงว่าชายทั้ง 2 คน เป็นผู้ก่อเหตุ เนื่องจากกล้องวงจรปิดสามารถจับภาพได้ค่อนข้างชัด ตั้งแต่ที่ชาย 2 คนเดินทางมาที่เกิดเหตุด้วยรถแท็กซี่ก่อนเกิดระเบิดขึ้น และดูจากลักษณะการก่อเหตุแล้ว เชื่อว่าคนที่ประกอบระเบิดค่อนข้างมีความเชี่ยวชาญ เป็นมืออาชีพ น่าจะเคยก่อเหตุมาแล้ว ส่วนผู้ที่นำมาวางค่อนข้างใจเย็น และเชื่อว่าคนร้ายมีมากกว่า 2 คน อย่างแน่นอน
“หากมีพยานหลักฐานเพิ่ม หรือสาวไปถึงบุคคลใดก็จะเร่งออกหมายจับเพิ่ม เพราะจากแนวทางการสืบสวน ระเบิดดังกล่าวมีความคล้ายคลึงกับระเบิดที่สมานเมตตาแมนชั่น อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี และที่ย่านมีนบุรี กทม. ซึ่งผู้ก่อเหตุมีความใจเย็น”
พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวว่า ประเด็นการสืบสวนของตำรวจเชื่อว่าเป้าหมายการก่อเหตุครั้งนี้ เกี่ยวข้องกับประเด็นทางการเมือง เนื่องจากที่ผ่านมา การลอบวางระเบิดส่วนใหญ่ร้อยละ 80 เป็นการสร้างสถานการณ์ทางการเมือง ส่วนกรณีที่คนร้ายเลือกวางระเบิดที่ห้างสยามพารากอน ซึ่งเป็นห้างใหญ่ใจกลางเมือง เชื่อว่าหวังผลหลายอย่าง รวมทั้งการท้าทายเจ้าหน้าที่ด้วย
***ดีเอสไอพร้อมตรวจสอบความเชื่อมโยง
นางสุวณา สุวรรณจูฑะ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวถึงกรณีตำรวจพบความเชื่อมโยงคดีระเบิดหน้าห้างสยามพารากอนกับคดีระเบิดสมานเมตตาแมนชั่นและเครือข่ายก่อเหตุย่านมีนบุรี ที่ดีเอสไอจับกุมได้ก่อนหน้านี้ และรับเป็นคดีพิเศษว่า ดีเอสไอได้ประสานข้อมูลกับตำรวจอย่างใกล้ชิด ขณะนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับผิดชอบงานสืบสวนอยู่และมีความคืบหน้าชัดเจน ส่วนดีเอสไอจะนำข้อมูลของตำรวจมาเชื่อมโยงกับคดีพิเศษว่ามีความเกี่ยวข้องหรือไม่
***โฆษกตำรวจเชื่อทำงานกันเป็นทีม
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกตร. กล่าวว่า ศาลได้อนุมัติหมายจับแล้ว 2 คน ข้อหาร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน กระทำให้เกิดระเบิดจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่น พกอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณโดยเปิดเผยหรือไม่มีเหตุสมควร โดยในภาพกล้องวงจรปิดปรากฏภาพชายคนแรกใส่หมวกสีขาว เสื้อคอกลมสีขาว กางเกงขายาวสีดำ สวมรองเท้าหุ้มส้น คนที่สองปารากฎภาพชายใส่เสื้อแขนยาวสีขาว ใส่กางเกงขายาวสีดำ และใส่หมวกแก๊ปสีดำ ซึ่งจากการไล่ดูภาพเคลื่อนไหวจากกล้องวงจรปิด เป็นคนที่อยู่ในพื้นที่ที่มีเหตุระเบิด และมีการถือหีบห่อซึ่งเป็นถุงพลาสติกสีส้ม เข้าไปด้านหลังตรงจุดที่มีเหตุระเบิด และซักพักก็มีการระเบิด น่าเชื่อได้ว่าน่าจะเป็นผู้ต้องหาที่นำระเบิดเข้าไปวางไว้ แต่ยังไม่ทราบชัดเจนว่าเป็นใคร ทางการสืบสวนกำลังดำเนินการในด้านอื่นอยู่ โดยขอประชาสัมพันธ์เรื่องรูปว่าใครที่ทราบและรู้ว่าเป็นใคร แจ้งเข้ามาได้ที่ 191 หรือ 1599
พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า ในพื้นที่นี้ ยังไม่เคยมีเหตุ แต่ว่าคล้ายกับที่อื่น ยังไม่สามารถที่จะเชื่อมโยงได้ ยังสรุปไม่ได้ว่าการก่อเหตุและพฤติกรรมเป็นชุดเดียวกันกับที่มีเหตุระเบิดที่ผ่านมา มีแค่ส่วนของระเบิด ชิ้นส่วน หรือหีบห่อในการบรรจุระเบิด ตัวเปลือกของวัตถุระเบิดคล้ายกันเท่านั้น ซึ่งอาจจะมีการออกหมายจับเพิ่ม แต่ขณะนี้ยังไม่ชัดเจน เพราะเท่าที่เห็นในกล้องซีซีทีวี มีแค่ 2 คนที่เกี่ยวข้อง แต่ในขณะนี้ กำลังขยายพื้นที่ หรือขยายวงของกล้องซีซีทีวี ไปในจุดต่างๆ เพิ่มเติม โดยมองว่าน่าจะมีการทำงานกันเป็นทีม และมีการวางแผนกันมาพอสมควร เพราะตามภาพที่ปรากฏเดินมาคู่กัน โดยในขณะนี้ยังไม่ทราบว่าขึ้นรถอะไรมา ยังไม่สามารถสรุปได้ ถ้าสรุปได้ว่าเป็นรถแท็กซี่ก็ต้องตามตัวมาหรือประกาศหาว่าใครเป็นคนรับชาย 2 คนนี้ และรับมาจากที่ไหน
“ยังไม่ชัดเจน แต่เข้าใจว่าคนที่ใส่หมวกสีขาวอยู่ในจุดแรกที่ระเบิดครั้งแรกก่อนและคนใส่หมวกสีดำอยู่ตรงหน้าบูทกรุงเทพมหานคร ระยะห่างเวลาของระเบิด 2 ลูกไม่เกิน 30 วินาที คนร้ายน่าจะวางระเบิดและรีบออกไป น่าจะใช้เวลาไม่นานมาก ถ้าดูภาพเคลื่อนไหวจะเห็นว่ามานั่งอยู่ก่อน และก็ค่อยเอาเข้าไปวาง จุดที่นั่งก็เป็นอีก 1 จุดที่ระเบิด ขณะนี้ยังไม่ทราบที่มาที่ไป ชื่อ-นามสกุล หรือรายละเอียดในเชิงลึกของคนร้าย ตอนนี้ประกาศจับโดยใช้ภาพไปก่อน” พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าว
พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวกล่าวอีกว่า สอบถามจากหน่วยอีโอดี มีชิ้นส่วนของนาฬิกาดิจิตอลอยู่ แต่ว่าในชิ้นส่วนที่เหลืออยู่ไม่พบวงจรไฟ ไม่สามารถจะชี้ชัดว่าระเบิดโดยใช้เวลาหรือจุดด้วยสายชนวนที่ใช้ไฟจุด ถ้าเป็นการจุดด้วยวงจรของนาฬิกาก็จะต้องมีชุดที่ใส่ถ่าน และก็มีสายไฟในการเชื่อมต่อกับเชื้อประจุไฟฟ้า แบตเตอรี่กับชุดตั้งเวลา มีหลายกลุ่มที่กำลังดูข้อมูลและความเคลื่อนไหวอยู่ตอนนี้ ซึ่งมี 2-3 กลุ่มที่ชอบใช้ระเบิดประเภทนี้ ในทางสืบสวน 2 กลุ่มที่เคยดูไม่มีความเคลื่อนไหวในทางรุนแรงในช่วงนี้ แต่ไม่แน่ว่าอาจจะมีการทำงานที่ลับๆ ถ้ารู้ว่ากลุ่มไหนทางเจ้าหน้าที่จะมีการวิเคราะห์ เพราะแต่ละกลุ่มมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันออกไป ขอให้เจ้าหน้าที่ทราบก่อนว่าเป็นกลุ่มไหน เพราะตอนนี้ยังไม่สามารถที่จะเชื่อมโยงได้ชัดเจน และยังไม่ชัดเจนว่า 2 คนนี้ทำงานให้ใคร ซึ่งบางกลุ่มเป็นเรื่องของการเมือง และบางกลุ่มเป็นเรื่องของผลประโยชน์ วัตถุประสงค์คือทำให้เกิดเสียง ทำให้เกิดความตื่นตระหนก ไม่ได้ต้องการให้ใครได้รับบาดเจ็บ โดยเจ้าหน้าที่จะรีบดำเนินการจับกุมคนร้ายให้เร็วที่สุด
***เตรียมขยายผลหลังจับมือบึ้มได้
ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. พล.ต.ต.ชาญเทพ เสสะเวช พล.ต.ต.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา รองผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สมบัติ มิลินทจินดา ผบก.สส.บช.น. พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผบก.น.6 และเจ้าหน้าที่ๆ เกี่ยวข้อง ประชุมร่วมกันติดตามคดีความคืบหน้ากรณีระเบิด บริเวณสถานีรถไฟฟ้าหน้าสยามพารากอน เมื่อวันที่1ก.พ.ที่ผ่านมา โดยใช้เวลาประชุมกว่า 1 ชั่วโมง
พล.ต.ต.ศรีวราห์ กล่าวว่า ขณะนี้ได้ออกหมายจับไปแล้ว และทำการส่งสำนวนการสอบสวน 7 ชุด ซึ่งข้อมูลต่างๆ จะต้องมีพยานเอกสาร พยานวัตถุ และพยานบุคคลที่ชัดเจนก่อน ส่วนพื้นที่ๆ สงสัยต้องทำการตรวจสอบก่อน แต่ยังไม่สามารถระบุได้ เนื่องจากอยู่ในสำนวนการสืบสวน หากเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวคนร้ายที่ก่อเหตุได้ ก็จะต้องขยายผลติดตาม และหากมีการซัดทอดไปยังบุคคลอื่นๆ ทางเจ้าหน้าที่ก็จะดำเนินการสืบสวนติดตามมาดำเนินคดี ซึ่งขณะนี้ยังจับกุมตัวคนร้ายไม่ได้ และทางเจ้าหน้าที่ก็ยังไม่สามารถยืนยันในข้อมูลที่มีได้ ส่วนภาพจากกล้องวรจรปิด ก็ปรากฎภาพคนร้ายที่ก่อเหตุ แต่เจ้าหน้าที่ไม่ขอระบุข้อมูลที่ชัดเจน ซึ่งการจะตรวจสอบรูปพรรณคนร้ายในภาพกล้องวงจรปิดนั้น จะตรวจสอบจากหน้าตรงหรือหันข้างไม่ได้ นอกจากบุคคลนั้นมีลักษณะพิเศษแตกต่างจากบุคคลต้องสงสัยรายอื่นๆ ส่วนกรณีดังกล่าวเกี่ยวข้องกับความมั่นคงโดยตรง และเชื่อมโยงไปถึงนโยบาลของรัฐบาลที่ว่าด้วยเรื่องของการปรองดอง
ทั้งนี้ หลักฐานชิ้นสำคัญที่สุด คือ ไปบ์บอม ระเบิดที่พบในที่เกิดเหตุ ที่สามารถระบุได้ว่าคนร้ายคือใคร แต่จะต้องรอการตรวจสอบให้ละเอียด เนื่องจากว่ากรณีการระเบิดของแต่ละสถานที่ เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ตั้งแต่ปี 2553เป็นต้นมา ไม่ใช่แค่ตรวจสอบกรณีระเบิดที่มีนบุรีเท่านั้น จากการตรวจสอบไปบ์บอมดังกล่าว ยังไม่พบลักษณะพิเศษหรือสัญลักษณ์ที่แปลกตาแต่อย่างใด
***"บิ๊กตู่"สั่งจับให้ได้ไม่ว่าเป็นใคร
ที่สโมสรทหารบก วิภาวดี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงความคืบหน้าในการติดตามตัวผู้ต้องหาวางระเบิดบริเวณห้างสยาม พารากอน ว่า เท่าที่ได้รับรายงานมาทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการออกหมายจับตัวผู้ต้องหาไปแล้วและคิดว่าจะได้ตัวอย่างแน่นอน ส่วนจะไปพัวพันและเกี่ยวโยงกับใครนั้น ตนได้สั่งการให้ดำเนินการอย่างเต็มที่ไม่ว่าจะเป็นพวกไหน เพราะเรามีพยานหลักฐานมากพอสมควร
"ขอให้ใจเย็นๆ มันต้องได้ตัวสิ แม้วันนี้จะยังไม่ได้ ข้างหน้าก็ต้องให้ได้ตัวไม่เช่นนั้นจะเป็นตัวอย่างอีกต่อไป"
วานนี้ (4 ก.พ.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร. รับผิดชอบงานด้านความมั่นคง กล่าวถึงความคืบหน้าคดีคนร้ายลอบวางระเบิดหน้าห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน เมื่อช่วงค่ำวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมาว่า ล่าสุดศาลอาญา ได้อนุมัติออกหมายจับผู้ต้องหาเป็นชาย 2 คน ซึ่งออกตามภาพจากกล้องวงจรปิด คนร้ายเป็นชายไทยอายุประมาณ 30 ปี รูปร่างสูง หน้าตาดี ตำรวจรู้ตัวแล้วและอยู่ระหว่างติดตามจับกุม
พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวว่า จากการสืบสวนมีความเป็นไปได้สูงว่าชายทั้ง 2 คน เป็นผู้ก่อเหตุ เนื่องจากกล้องวงจรปิดสามารถจับภาพได้ค่อนข้างชัด ตั้งแต่ที่ชาย 2 คนเดินทางมาที่เกิดเหตุด้วยรถแท็กซี่ก่อนเกิดระเบิดขึ้น และดูจากลักษณะการก่อเหตุแล้ว เชื่อว่าคนที่ประกอบระเบิดค่อนข้างมีความเชี่ยวชาญ เป็นมืออาชีพ น่าจะเคยก่อเหตุมาแล้ว ส่วนผู้ที่นำมาวางค่อนข้างใจเย็น และเชื่อว่าคนร้ายมีมากกว่า 2 คน อย่างแน่นอน
“หากมีพยานหลักฐานเพิ่ม หรือสาวไปถึงบุคคลใดก็จะเร่งออกหมายจับเพิ่ม เพราะจากแนวทางการสืบสวน ระเบิดดังกล่าวมีความคล้ายคลึงกับระเบิดที่สมานเมตตาแมนชั่น อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี และที่ย่านมีนบุรี กทม. ซึ่งผู้ก่อเหตุมีความใจเย็น”
พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวว่า ประเด็นการสืบสวนของตำรวจเชื่อว่าเป้าหมายการก่อเหตุครั้งนี้ เกี่ยวข้องกับประเด็นทางการเมือง เนื่องจากที่ผ่านมา การลอบวางระเบิดส่วนใหญ่ร้อยละ 80 เป็นการสร้างสถานการณ์ทางการเมือง ส่วนกรณีที่คนร้ายเลือกวางระเบิดที่ห้างสยามพารากอน ซึ่งเป็นห้างใหญ่ใจกลางเมือง เชื่อว่าหวังผลหลายอย่าง รวมทั้งการท้าทายเจ้าหน้าที่ด้วย
***ดีเอสไอพร้อมตรวจสอบความเชื่อมโยง
นางสุวณา สุวรรณจูฑะ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวถึงกรณีตำรวจพบความเชื่อมโยงคดีระเบิดหน้าห้างสยามพารากอนกับคดีระเบิดสมานเมตตาแมนชั่นและเครือข่ายก่อเหตุย่านมีนบุรี ที่ดีเอสไอจับกุมได้ก่อนหน้านี้ และรับเป็นคดีพิเศษว่า ดีเอสไอได้ประสานข้อมูลกับตำรวจอย่างใกล้ชิด ขณะนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับผิดชอบงานสืบสวนอยู่และมีความคืบหน้าชัดเจน ส่วนดีเอสไอจะนำข้อมูลของตำรวจมาเชื่อมโยงกับคดีพิเศษว่ามีความเกี่ยวข้องหรือไม่
***โฆษกตำรวจเชื่อทำงานกันเป็นทีม
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกตร. กล่าวว่า ศาลได้อนุมัติหมายจับแล้ว 2 คน ข้อหาร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน กระทำให้เกิดระเบิดจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่น พกอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณโดยเปิดเผยหรือไม่มีเหตุสมควร โดยในภาพกล้องวงจรปิดปรากฏภาพชายคนแรกใส่หมวกสีขาว เสื้อคอกลมสีขาว กางเกงขายาวสีดำ สวมรองเท้าหุ้มส้น คนที่สองปารากฎภาพชายใส่เสื้อแขนยาวสีขาว ใส่กางเกงขายาวสีดำ และใส่หมวกแก๊ปสีดำ ซึ่งจากการไล่ดูภาพเคลื่อนไหวจากกล้องวงจรปิด เป็นคนที่อยู่ในพื้นที่ที่มีเหตุระเบิด และมีการถือหีบห่อซึ่งเป็นถุงพลาสติกสีส้ม เข้าไปด้านหลังตรงจุดที่มีเหตุระเบิด และซักพักก็มีการระเบิด น่าเชื่อได้ว่าน่าจะเป็นผู้ต้องหาที่นำระเบิดเข้าไปวางไว้ แต่ยังไม่ทราบชัดเจนว่าเป็นใคร ทางการสืบสวนกำลังดำเนินการในด้านอื่นอยู่ โดยขอประชาสัมพันธ์เรื่องรูปว่าใครที่ทราบและรู้ว่าเป็นใคร แจ้งเข้ามาได้ที่ 191 หรือ 1599
พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า ในพื้นที่นี้ ยังไม่เคยมีเหตุ แต่ว่าคล้ายกับที่อื่น ยังไม่สามารถที่จะเชื่อมโยงได้ ยังสรุปไม่ได้ว่าการก่อเหตุและพฤติกรรมเป็นชุดเดียวกันกับที่มีเหตุระเบิดที่ผ่านมา มีแค่ส่วนของระเบิด ชิ้นส่วน หรือหีบห่อในการบรรจุระเบิด ตัวเปลือกของวัตถุระเบิดคล้ายกันเท่านั้น ซึ่งอาจจะมีการออกหมายจับเพิ่ม แต่ขณะนี้ยังไม่ชัดเจน เพราะเท่าที่เห็นในกล้องซีซีทีวี มีแค่ 2 คนที่เกี่ยวข้อง แต่ในขณะนี้ กำลังขยายพื้นที่ หรือขยายวงของกล้องซีซีทีวี ไปในจุดต่างๆ เพิ่มเติม โดยมองว่าน่าจะมีการทำงานกันเป็นทีม และมีการวางแผนกันมาพอสมควร เพราะตามภาพที่ปรากฏเดินมาคู่กัน โดยในขณะนี้ยังไม่ทราบว่าขึ้นรถอะไรมา ยังไม่สามารถสรุปได้ ถ้าสรุปได้ว่าเป็นรถแท็กซี่ก็ต้องตามตัวมาหรือประกาศหาว่าใครเป็นคนรับชาย 2 คนนี้ และรับมาจากที่ไหน
“ยังไม่ชัดเจน แต่เข้าใจว่าคนที่ใส่หมวกสีขาวอยู่ในจุดแรกที่ระเบิดครั้งแรกก่อนและคนใส่หมวกสีดำอยู่ตรงหน้าบูทกรุงเทพมหานคร ระยะห่างเวลาของระเบิด 2 ลูกไม่เกิน 30 วินาที คนร้ายน่าจะวางระเบิดและรีบออกไป น่าจะใช้เวลาไม่นานมาก ถ้าดูภาพเคลื่อนไหวจะเห็นว่ามานั่งอยู่ก่อน และก็ค่อยเอาเข้าไปวาง จุดที่นั่งก็เป็นอีก 1 จุดที่ระเบิด ขณะนี้ยังไม่ทราบที่มาที่ไป ชื่อ-นามสกุล หรือรายละเอียดในเชิงลึกของคนร้าย ตอนนี้ประกาศจับโดยใช้ภาพไปก่อน” พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าว
พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวกล่าวอีกว่า สอบถามจากหน่วยอีโอดี มีชิ้นส่วนของนาฬิกาดิจิตอลอยู่ แต่ว่าในชิ้นส่วนที่เหลืออยู่ไม่พบวงจรไฟ ไม่สามารถจะชี้ชัดว่าระเบิดโดยใช้เวลาหรือจุดด้วยสายชนวนที่ใช้ไฟจุด ถ้าเป็นการจุดด้วยวงจรของนาฬิกาก็จะต้องมีชุดที่ใส่ถ่าน และก็มีสายไฟในการเชื่อมต่อกับเชื้อประจุไฟฟ้า แบตเตอรี่กับชุดตั้งเวลา มีหลายกลุ่มที่กำลังดูข้อมูลและความเคลื่อนไหวอยู่ตอนนี้ ซึ่งมี 2-3 กลุ่มที่ชอบใช้ระเบิดประเภทนี้ ในทางสืบสวน 2 กลุ่มที่เคยดูไม่มีความเคลื่อนไหวในทางรุนแรงในช่วงนี้ แต่ไม่แน่ว่าอาจจะมีการทำงานที่ลับๆ ถ้ารู้ว่ากลุ่มไหนทางเจ้าหน้าที่จะมีการวิเคราะห์ เพราะแต่ละกลุ่มมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันออกไป ขอให้เจ้าหน้าที่ทราบก่อนว่าเป็นกลุ่มไหน เพราะตอนนี้ยังไม่สามารถที่จะเชื่อมโยงได้ชัดเจน และยังไม่ชัดเจนว่า 2 คนนี้ทำงานให้ใคร ซึ่งบางกลุ่มเป็นเรื่องของการเมือง และบางกลุ่มเป็นเรื่องของผลประโยชน์ วัตถุประสงค์คือทำให้เกิดเสียง ทำให้เกิดความตื่นตระหนก ไม่ได้ต้องการให้ใครได้รับบาดเจ็บ โดยเจ้าหน้าที่จะรีบดำเนินการจับกุมคนร้ายให้เร็วที่สุด
***เตรียมขยายผลหลังจับมือบึ้มได้
ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. พล.ต.ต.ชาญเทพ เสสะเวช พล.ต.ต.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา รองผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สมบัติ มิลินทจินดา ผบก.สส.บช.น. พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผบก.น.6 และเจ้าหน้าที่ๆ เกี่ยวข้อง ประชุมร่วมกันติดตามคดีความคืบหน้ากรณีระเบิด บริเวณสถานีรถไฟฟ้าหน้าสยามพารากอน เมื่อวันที่1ก.พ.ที่ผ่านมา โดยใช้เวลาประชุมกว่า 1 ชั่วโมง
พล.ต.ต.ศรีวราห์ กล่าวว่า ขณะนี้ได้ออกหมายจับไปแล้ว และทำการส่งสำนวนการสอบสวน 7 ชุด ซึ่งข้อมูลต่างๆ จะต้องมีพยานเอกสาร พยานวัตถุ และพยานบุคคลที่ชัดเจนก่อน ส่วนพื้นที่ๆ สงสัยต้องทำการตรวจสอบก่อน แต่ยังไม่สามารถระบุได้ เนื่องจากอยู่ในสำนวนการสืบสวน หากเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวคนร้ายที่ก่อเหตุได้ ก็จะต้องขยายผลติดตาม และหากมีการซัดทอดไปยังบุคคลอื่นๆ ทางเจ้าหน้าที่ก็จะดำเนินการสืบสวนติดตามมาดำเนินคดี ซึ่งขณะนี้ยังจับกุมตัวคนร้ายไม่ได้ และทางเจ้าหน้าที่ก็ยังไม่สามารถยืนยันในข้อมูลที่มีได้ ส่วนภาพจากกล้องวรจรปิด ก็ปรากฎภาพคนร้ายที่ก่อเหตุ แต่เจ้าหน้าที่ไม่ขอระบุข้อมูลที่ชัดเจน ซึ่งการจะตรวจสอบรูปพรรณคนร้ายในภาพกล้องวงจรปิดนั้น จะตรวจสอบจากหน้าตรงหรือหันข้างไม่ได้ นอกจากบุคคลนั้นมีลักษณะพิเศษแตกต่างจากบุคคลต้องสงสัยรายอื่นๆ ส่วนกรณีดังกล่าวเกี่ยวข้องกับความมั่นคงโดยตรง และเชื่อมโยงไปถึงนโยบาลของรัฐบาลที่ว่าด้วยเรื่องของการปรองดอง
ทั้งนี้ หลักฐานชิ้นสำคัญที่สุด คือ ไปบ์บอม ระเบิดที่พบในที่เกิดเหตุ ที่สามารถระบุได้ว่าคนร้ายคือใคร แต่จะต้องรอการตรวจสอบให้ละเอียด เนื่องจากว่ากรณีการระเบิดของแต่ละสถานที่ เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ตั้งแต่ปี 2553เป็นต้นมา ไม่ใช่แค่ตรวจสอบกรณีระเบิดที่มีนบุรีเท่านั้น จากการตรวจสอบไปบ์บอมดังกล่าว ยังไม่พบลักษณะพิเศษหรือสัญลักษณ์ที่แปลกตาแต่อย่างใด
***"บิ๊กตู่"สั่งจับให้ได้ไม่ว่าเป็นใคร
ที่สโมสรทหารบก วิภาวดี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงความคืบหน้าในการติดตามตัวผู้ต้องหาวางระเบิดบริเวณห้างสยาม พารากอน ว่า เท่าที่ได้รับรายงานมาทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการออกหมายจับตัวผู้ต้องหาไปแล้วและคิดว่าจะได้ตัวอย่างแน่นอน ส่วนจะไปพัวพันและเกี่ยวโยงกับใครนั้น ตนได้สั่งการให้ดำเนินการอย่างเต็มที่ไม่ว่าจะเป็นพวกไหน เพราะเรามีพยานหลักฐานมากพอสมควร
"ขอให้ใจเย็นๆ มันต้องได้ตัวสิ แม้วันนี้จะยังไม่ได้ ข้างหน้าก็ต้องให้ได้ตัวไม่เช่นนั้นจะเป็นตัวอย่างอีกต่อไป"