โดยที่ไม่มีเค้าลางใดๆ ระเบิด 2 ครั้งติด ใจกลางกรุงเทพฯ ก็เกิดขึ้น!
ภายใต้กฎอัยการศึก ภายใต้มาตการคุมเข้มของเจ้าหน้าที่เหตุร้ายระดับวินาศภัยยังเกิดขึ้น แม้ท้ายที่สุดจะไม่มีผู้เสียชีวิต แต่เหตุระเบิดใจกลางย่านธุรกิจใหญ่ระดับประเทศก็สร้างความหวาดหวั่นให้กับประชาชนจำนวนมาก
แต่นอกจากความหวาดหวั่นที่เกิดขึ้น ข้อสันนิษฐานมากมายก็ถาโถมเป็นคำถามถึงตัวผู้ก่อเหตุ ใครอยู่เบื้องหลัง? ก่อเหตุระเบิดเพื่อหวังผลอย่างไร?
หลังม่านหมอกของจุดเกิดเหตุ
เหตุระเบิดเกิดขึ้นช่วง 20นาฬิกาของคืนวันที่ 1 กุมภาพันธ์ เสียงดังสนั่นพร้อมควันโพยพุ่งท่ามกลางย่านที่ผู้คนสัญจรผ่าน เหตุลอบวางระเบิดในย่านใจกลางเมืองแบบนี้ไม่ต่างจากเหตุก่อการร้ายที่มักเกิดในเมืองใหญ่ด้วยหวังผลคุกคามบางอย่าง แม้จะมีผู้บาดเจ็บเพียง 2 รายแต่เหตุดังกล่าวก็สร้างความหวั่นวิตกให้กับผู้คนที่ต้องสัญจรผ่านไปในย่านนั้น
ทีมงาน ASTV ผู้จัดการ Live ได้ลงพื้นที่ยังจุดเกิดเหตุบริเวณทางเชื่อมรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสยาม ซึ่งเป็นที่ตั้งของจุดบริการทำบัตรประชาชน
ล่าสุดได้มีการนำผ้าใบสีขาวมากั้นเอาไว้ พร้อมรั้วเหล็กมากั้นไม่ให้บุคคลภายนอกเข้าไปในบริเวณที่เกิดเหตุ โดยในบริเวณนั้นก็มีเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตปทุมวันมาตรวจตราและขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากพื้นที่
ส่วนทางเดินบริเวณทางเชื่อมสถานีรถไฟฟ้าสยามกับศูนย์การค้าสยามพารากอนยังคงเปิดให้ประชาชนได้เข้ามาใช้บริการได้ตามปกติ
เยาวเรศ ทองสม หัวหน้าฝ่ายทะเบียน สำนักงานเขตปทุมวัน ให้ข้อมูลหลังจากเกิดเหตุว่า วันนี้ได้เข้ามาตรวจสอบพบความเสียหายหลายจุด ทั้งเศษกระจกแตกเกลื่อนพื้น ประตูเลื่อนเปิด-ปิดเสียหาย 1 บาน รวมไปถึงฝ้าเพดาน และป้ายโฆษณาก็ได้รับความเสียหาย เป็นเหตุให้ต้องปิดซ่อมแซมราวๆ 2-3 เดือน
ส่วนความคืบหน้าล่าสุด ได้มีเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาดูแล้ว คาดว่าคงจะได้ผลสรุปถึงสาเหตุเร็วๆ นี้
ทางด้านแม่บ้านและพนักงานร้านค้าใกล้จุดเกิดเหตุ เผยว่า พอได้ยินเสียงระเบิดก็วิ่งหนีทันที ส่วนชาวต่างชาติบางคนแม้จะไม่ทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่พอรู้เรื่องก็ตกใจพอสมควร เช่นเดียวกับคนไทยบางกลุ่ม ยังคงใช้เส้นทางดังกล่าวสัญจรไปมา พร้อมกับเชื่อมั่นในการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่
เจาะลึก...เหตุวินาศกรรม
ภายหลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่เร่งปฏับัติการควานหาตัวคนร้ายโดยพลัน แต่ดูท่าจะไม่ใช่เรื่องง่ายคล้ายเหตุวินาศภัยที่ผ่านมา มือระเบิดมักก่อเหตุแล้วหายลับเข้ากลีบเมฆ
พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล ประธานบริหารหลักสูตรอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยรังสิต มองว่าแม้มีการประกาศใช้กฎอัยการศึกอยู่ แต่เหตุวินาศภัยในการวางระเบิดนั้นถือเป็นเหตุที่ป้องกันได้ยาก จึงไม่แปลกหากมีผู้เจตนาจะก่อเหตุแล้วเจ้าหน้าที่ไม่สามารถป้องกันเหตุดังกล่าวได้
“ต้องเรียนตามตรง การป้องกันกับกรณีวางระเบิดเป็นสิ่งที่ทำได้ค่อนข้างยาก ประเทศที่มีระบบการป้องกันที่เข้มงวดอย่างสหรัฐอเมริกาเองก็ยังไม่สามารถที่จะป้องกันเหตุระเบิดได้ 100 เปอร์เซ็นต์”
โดยภายหลังเหตุดังกล่าว แน่นอนว่าไม่ใช่เหตุที่จะเกิดขึ้นได้บ่อยครั้งอีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ไม่แปลกแม้เหตุดังกล่าวจะไม่ได้สร้างความเสียหายถึงแก่ชีวิตแต่ก็เป็นที่สนใจของสื่อมวลชน และสิ่งนี้พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์มองว่า คือเจตนาหลักที่ผู้ก่อเหตุจงใจให้เกิดขึ้น
“อย่างที่ทราบกันดีกว่าตอนนี้ก็ยังมีกฎอัยการศึกอยู่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ยังไม่สามารถสรุปได้ว่า ผู้ที่วางระเบิดต้องการเจตนาเรื่องใดแน่ จากการติดตามข่าวก็ทราบเพียงว่า ไม่ได้เป็นระเบิดที่มุ่งสังหารชีวิตคน เป็นเหมือนกับระเบิดที่ทำให้เกิดความแตกตื่นเท่านั้น
“เราต้องยอมรับตรงกันว่า บริเวณที่เกิดเหตุเป็นบริเวณที่คนพลุกพล่าน คือถ้าไปเกิดเหตุชานเมืองในป่าในเขาคงไม่มีใครสนใจ หมายความว่าคนร้ายหรือคนที่เอาระเบิดไปวางต้องการสร้างสถานการณ์แน่นอน เพราะรู้ว่าถ้ามีระเบิดแล้วมีเสียงดังขึ้นขนาดนี้ มันต้องเป็นที่สนใจของคนและรับรองได้ว่าจะมีการเผยแพร่ไปตามสื่อมวลชนซึ่งก็เป็นไปตามนั้นจริงๆ”
แต่แล้วจุดประสงค์ที่ก่อให้เหตุตระหนก สร้างสถานการณ์ให้อยู่ในภาวะหวาดวิตกนั้นคืออะไร เขามองว่า ข้อสันนิษฐานยังคงเปิดกว้างไปในหลายประเด็นตามบริบทสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
“ประการต่อมาต้องมาดูต่อว่า แล้ววัตถุประสงค์จุดมุ่งหมายเพื่ออะไร ช่วงนี้ที่อยู่ระหว่างประกาศกฎอัยการศึก มันนำมาซึ่งข้อสันนิษฐานได้หลายประการ”
โดยข้อสันนิษฐานที่เกิดขึ้นท้ายที่สุดแล้วก็ยังคงต้องเร่งหาหลักฐานเพื่อนำมาสืบหาตัวคนร้ายอยู่ดี เขามองว่า จากที่เหตุดังกล่าวเป็นที่สนใจของทั้งประชาชนและสื่อมวลชน เจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างสุดความสามารถในการสืบจับตัวค้นร้ายมาให้อย่างเร็วที่สุดแน่นอน
“กรณีแบบนี้มีเหตุที่น่าสงสัยได้อยู่หลายประการอยู่เหมือนกัน บางกรณีคนสันนิษฐานว่า เป็นเหตุมาจากการทะเลาะวิวาท มีการวางระเบิดก็เพื่อต้องการจะมาทำให้ฝ่ายตรงข้ามแตกตื่น หรือเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับประเด็นการเมือง เพราะมีการลงมติสนช.ไปไม่นานด้วย ถึงตอนนี้มันเลยมีปนกันหลายประเด็น
“แต่ผมเชื่อว่าเจ้าหน้าที่รัฐเอง กำลังเร่งหาตัวผู้กระทำความผิดเพราะบริเวณนั้นก็มีกล้องวงจรปิดอยู่หลายตัวเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ถ้าประชาชนที่ใช้หรือเดินทางมาบริเวณดังกล่าวถ้าพบเหตุต้องสงสัยก่อนระเบิดก็สามารถประสานเจ้าหน้าที่เพื่อจะแจ้งให้ข้อมูลได้”
ทั้งนี้ การป้องกันเหตุถือเป็นสิ่งสำคัญในการแก้ไขปัญหาในระยะยาว เขามองว่า รำพังกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีอยู่นั้นไม่เพียงพอจะดูแลคนในเมืองกรุงเทพฯ หากจะมีเหตุระเบิดกลางเมือง ประชาชนเองอาจต้องมีส่วนในการเป็นหูเป็นตาให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการช่วยกันสอดส่องดูแลความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นและนำไปสู่เหตุวินาศภัยได้
“ประชาชนจะต้องช่วยเจ้าหน้าที่รัฐด้วยการเป็นหูเป็นตาให้ เพราะตำรวจในกรุงเทพฯ นครบาลเองก็มีไม่เท่าไหร่ แต่ประชาชนในกรุงเทพฯ มีหลายล้านคนเลย ตัวอย่างเช่นพบเหตุคนต้องสงสัยว่าคนไปทำอะไรอยู่สองสามคน สมมติตัวเองอยู่ใกล้เหตุระเบิดซึ่งบริเวณนั้นคนปกติทั่วไปเขาไม่เดินไปหรือไมไปทำอะไรตรงแถวนั้น ตรงนี้อาจไปช่วยแจ้งเจ้าหน้าที่รัฐให้รีบตรวจสอบได้ อันนี้ก็จะช่วยป้องกันเหตุระเบิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
คงไว้ซึ่งกฎอัยการศึก
ประเด็นหนึ่งที่ถูกต้องข้อสงสัยจากประชาชนหลายคนเมื่อเกิดเหตุระเบิดขึ้นก็คือ การคงไว้ซึ่งกฎอัยการศึก ด้วยเพราะก่อนหน้านี้เพียงไม่นาน รัฐบาลทหารที่ประกาศกฎอัยการศึกมาตลอดได้ถูกทัดทานจากนานาชาติให้ยกเลิกกฎดังกล่าวเพื่อให้ประเทศกลับสู่ภาวะปกติ
เหตุระเบิดดังกล่าวมีขึ้นเพียงเพื่อคงไว้ซึ่งกฎอัยการศึกเท่านั้น ไม่มีผู้เสียชีวิต กลายเป็นข่าวใหญ่ เจ้าหน้าที่ประกาศในทันควัน เหตุดังกล่าวทำให้ต้องใช้กฎอัยการศึกษาต่อไป ทั้งนี้ข้อสันนิษฐานดังกล่าวก็ถูกทำเป็นภาพมีมล้อเลียนในทั่วโลกโซเชียลมีเดีย
“ในขณะที่มีกฎอัยการศึก ก็สามารถมีระเบิดได้ เอาไว้ยืดอายุ กฎอัยการศึกเหรอวะ”
“ก็แปลกดีนะ พอมีกระแสเรียกร้องให้ยกเลิกกฎอัยการศึกปุ๊บ ก็มีระเบิดมาลงปั๊บ ช่างบังเอิญเสียจริงๆ เลยนะ”
มองในมุมรัฐศาสตร์ ผศ.ดร.ทวี สุรฤทธิกุล อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มองว่า เหตุระเบิดดังกล่าวคงไม่ส่งผลดีต่อรัฐบาลมากนัก เพราะทำให้เห็นได้ว่าแม้อยู่ในภายใต้กฎอัยการศึกก็ไม่สามารถยับยั้งเหตุดังกล่าวได้ ทว่าผู้ที่รับผิดโดยตรงกับเรื่องนี้ก็คือเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นหน้าด่านแรกของการดูแลประชาชน
“ผมไม่ค่อยเชื่อว่าทหารจะทำตัวเอง ไม่รู้จะทำไปเพื่ออะไร ผลจากเหตุระเบิดมันเป็นการท้าทายอำนาจการปกครองของรัฐ และมันก็ทำให้ตำรวจเสียหน้าด้วย ซึ่งตรงนี้ตำรวจเสียหน้าโดยตรงเลย ผมจึงมองว่ามันอาจจะเป็นการกระทำของมือที่ 3 มากกว่า”
ทั้งนี้ ในส่วนของการตามจับตัวผู้ก่อเหตุนั้น หลายครั้งที่ผ่านมากับการก่อเหตุในลักษณะนี้ตำรวจไม่สามารถควานหาตัวผู้ร้ายมาลงโทษได้สำเร็จ เขามองว่า กรณีที่เกิดขึ้นล่าสุดก็คงดำเนินไปตามอย่างกรณีที่ผ่านๆ มาคือคนร้ายคงหนีพ้นลอยนวลอีกครั้ง
โดยชนวนก่อเหตุ เขามองว่า มาจาก 2 เหตุด้วย 1 คือการก่อกวนให้ลักษณะสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายท้าทายอำนารัฐ เป็นการกระทำเพื่อให้ชี้ให้เห็นว่าอำนาจรัฐนั้นอ่อนแอ ด้วยลักษณะการก่อเหตุแบบสาธารณะทำให้ผู้คนแตกตื่น 2 อาจเป็นการดิสเครดิตตำรวจที่ถึงตอนนี้ก็มีปัญหาในหลายเรื่อง อีกทั้งยังถูกมองในภาพลักษณ์ที่ไม่ดีอยู่ เป็นเสมือนการตอกย้ำในความไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน
“ผลกระทบของเหตุระเบิดก็สามารถมองได้ 3 ระดับด้วยกัน 1 คือในระดับภาพรวมการเมืองที่ส่งผลต่อความปรองดองของคนในชาติทั้งหมด 2 คือรัฐบาลที่ทำให้คนไม่มั่นใจในความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน และสุดท้ายคือทำให้เห็นว่าตำรวจไม่มีความเข้มแข็งในการป้องกันและปราบปรามเหตุร้ายในลักษณะนี้”
ในการป้องกันเหตุระยะยาวนั้น เขามองว่า ต้องมีมาตรการในการควบคุมอาวุธ วัตถุระเบิดต่างๆ และรัฐบาลทหารต้องกวดขันตำรวจมากขึ้น
“รัฐบาลก็ไม่มีทางเลือกอื่นต้องขันน็อตตำรวจให้เข้มงวดขึ้น และถ้าเผื่อว่าเราจะเอากันจริงๆ เรื่องของอาวุธวัตถุระเบิดใครที่สามารถครอบครองก็ต้องเข้าไปดูแล ผมเคยพูดมาแล้วว่าประเทศไทยไม่ควรมีเรื่องของการซื้อ - ขายอาวุธ พวกปืนวัตถุระเบิดเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการทำเหมืองแร่ก็ต้องควบคุมกัน ภาคใต้ก็มีการควบคุมเรื่องพวกนี้ ก็เอามาตรการที่ใช้ทางภาคใต้นี่แหละมาใช้ การดูแลการซื้อการจำหน่ายการขนย้ายการเบิกจ่ายอาวุธยุทโธปกรณ์ของทหารตำรวจ แม้กระทั่งฝ่ายความมั่นคงก็ต้องควบคุม”
…
เบื้องลึกเบื้องหลังเหตุวินาศภัย คำตอบแอบซ่อนอยู่ในเค้ารางของข้อสันนิษฐานมากมาย ท้ายที่สุดก็อาจไม่ปรากฎมาให้ประชาชนทั่วไปได้ล่วงรู้ หากแต่วันใดที่เกิดเหตุขึ้นอีกก็เป็นประชาชนทั่วไปเท่านั้นที่ต้องความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
ข่าวโดยASTV ผู้จัดการ LIVE
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@astv_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754