ASTVผู้จัดการ - มือระเบิดไปป์บอมบ์โดนกระหน่ำ ฝีมือคนกันเองเพื่อคงกฎอัยการศึก คาดเลือกทำสยามพารากอนเพราะเป็นศูนย์กลางประวัติศาสตร์การเมืองไทย “ตูม” เมื่อไหร่กลายเป็นข่าวใหญ่เมื่อนั้น
“ไม่ทราบว่าจะทำไปทำไม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีดูแลความมั่นคงฯ ตั้งคำถามกับนักข่าวระหว่างสัมภาษณ์ต่อเหตุการณ์ระเบิดไปป์บอมบ์ 2 ลูกที่มีมือมืดนำไปวางไว้บริเวณทางเข้าสยามพารากอน และช่วงหนึ่งเมื่อมีผู้ถามถึงการคงกฎอัยการศึกต่อไปหรือไม่ “บิ๊กบราเธอร์” สวนกลับทันที่ว่า.. “แล้วแต่คุณคิด คุณคิดเองได้ ผมไม่ต้องตอบ คิดเองเลยว่าสมควรมั้ย”....
เปิดกันอย่างจะจะไม่ต้องมีมิบเม้มอีกต่อไป พร้อมกับกระแสทางอื่นที่หนุนเนื่องให้ทหารยังคงกฎอัยการศึกต่อไปโดยเชื่อว่าสถานการณ์ยังไม่น่าไว้วางใจ และนี่คือคำตอบล้อคำถาม “ไม่ทราบว่าจะทำไปทำไม” ของท่านรองนายกฯ
ทันทีที่สิ้นเสียงระเบิด พร้อมๆ กับผู้ชำนาญจากหน่วยอีโอดีเข้าสำรวจร่องรอยเพื่อเก็บหลักฐาน พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร.ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกมายอมรับว่าเหตุการณ์ที่ห้างพารากอนไม่ได้เป็นหม้อแปลงไฟฟ้าระเบิดตามที่เข้าใจกันแต่เป็นระเบิดแสวงเครื่อง “ไปป์บอมบ์” แรงดันต่ำ ไม่มีอันตรายถึงชีวิต อานุภาพประมาณ 5 เมตรโดยคนร้ายแอบไปวางไว้หลังหม้อแปลงไฟฟ้าระหว่างทางเชื่อมรถไฟฟ้าบีทีเอส ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังตรวจสอบกล้องวงจรปิด ส่วนสาเหตุเข้าใจว่าเป็นการก่อกวนเพื่อให้เกิดความตกใจ
จากรูปแบบของระเบิดดังกล่าวพอสันนิษฐานได้ว่าคนร้ายจะต้องเป็นมืออาชีพ มีความชำนาญการจุดชนวนระเบิด ต้องใช้ระบบคลื่นวิทยุหรือรีโมตคอนโทรล และเมื่อวิเคราะห์ถึงความรุนแรงของระเบิดซึ่งมีแรงดันต่ำไม่มีอำนาจทำลายล้างแต่จะปรากฏเสียงดังพร้อมกลุ่มควัน จึงตรงกับเหตุผลของโฆษก สตช.ที่ระบุว่าคนร้ายหวังผลแค่เขย่าประสาทให้ตื่นตกใจเท่านั้น
แต่ในความแตกตื่น มีคำถามต่อมาว่า ทำไมจึงเลือก “สยามพารากอน” เป็นเป้า คำตอบที่ตามมาก็คือ 1. เป็นจุดศูนย์กลางด้านการค้าการชอปปิ้งโด่งดังระดับโลก และตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวง 2. ใกล้สถานที่สำคัญหลายแห่ง เช่น วังสระปทุม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 3. เคยเป็นจุดยุทธศาสตร์ของมวลชนหลายกลุ่ม เช่น นปช. และคนเสื้อแดง รวมทั้งกลุ่ม กปปส.เป็นต้น
“สยามพารากอน” ในอีกมิติหนึ่งจึงเป็นแลนด์มาร์กของประวัติศาสตร์การเมืองไทยในยุคปัจจุบัน
...แน่นอนว่าเมื่อถึงช่วงเวลาที่เหมาะสม สถานการณ์ทางการเมืองเริ่มตึงเครียด รัฐบาล และ คสช.กำลังเผชิญกับแรงกดดันต่อนานาชาติในเรื่องสิทธิเสรีภาพ และการประกาศกฎอัยการศึกอันยาวนาน..ไม่ว่าใครก็ตามที่ฉวยจังหวะนี้สร้างเหตุการณ์ส่อในทางรุนแรงขึ้นย่อมเป็นอาหารชั้นดีของสื่อมวลชน และเมื่อเลือกภัตตาคารหรู อาหารอร่อยอย่าง “สยามพารากอน” ผลของระเบิดแรงต่ำกลับ “ได้ผลสูง” ส่งให้ทุกสำนักข่าวแข่งกันนำเสนอ แข่งกันพาดหัวข่าว มีการวิเคราะห์เจาะลึกทั้งสื่อออนไลน์ หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์
หากเทียบคนวางงานระเบิดครั้งนี้เป็นบริษัทจัดอีเวนต์ ต้องยอมรับว่าประสบความสำเร็จอย่างสูงสื่อทุกสื่อ ประชาชนส่วนใหญ่ รวมไปถึงสำนักข่าวต่างประเทศต่างให้ความสนใจ กรุงเทพมหานคร และประเทศไทย ถูกโฟกัสอีกครั้งพร้อมกับวิเคราะห์สถานการณ์ร้อนแรงในอนาคตที่อาจตามมาด้วย
อย่างไรก็ตาม ลำพังแค่การก่อกวนหรือให้ตกใจตามที่โฆษก สตช.ให้ข้อมูลมานั้นต้องยอมรับว่ายังไม่เพียงพอแก่การให้ข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณะซึ่งจะต้องมีคำถามต่อมาว่าแล้วเป็นฝีมือของคนกลุ่มไหน เจ้าหน้าที่จะกระชากหน้ากากออกมาได้หรือเปล่า
โดยเฉพาะขณะนี้เกิดกระแสในโซเชียลมีเดียและประชาชนส่วนหนึ่งมองว่าเป็นการกระทำของฝ่ายที่ต้องการคง “กฎอัยการศึก” ไว้
เหตุผลสนับสนุนคือหลังการพบปะระหว่าง พล.อ.ธนศักดิ์ ปฏิมาประกร รมว.ต่างประเทศ กับนายแดเนียล รัสเซล ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมาฝ่ายสหรัฐฯ เรียกร้องให้รัฐบาลไทยยกเลิกประกาศกฎอัยการศึก และต่อมารัฐบาลไทยโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ออกมาตอบโต้อย่างดุเดือด พร้อมกับระบุว่าสหรัฐฯ กำลังก้าวล่วงละเมิดอธิปไตยของไทย
แม้ผู้นำไทยจะแสดงท่าทีแข็งกร้าวแต่ต่อมาวันที่ 31 ม.ค.แหล่งข่าวระดับสูงใน คสช.เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์กำลังหาแนวทางยกเลิกกฎอัยการศึกและใช้กฎหมายอื่นที่มีความเหมาะสมแทนเนื่องจากต่างชาติไม่ยอมรับและเกิดแรงกดดันรัฐบาล
นี่คืออีกจังหวะที่เหมาะสม ไม่ว่า “ทำเอง” หรือ “คนอื่นทำ” บิ๊กบราเธอร์แห่งกองทัพ ก็ย้อนกลับนักข่าวแบบไม่ต้องคิดเช่นกันว่า “แล้วแต่คุณคิด คุณคิดเองได้ ผมไม่ต้องตอบ คิดเองเลยว่าสมควรมั้ย”
เป็นอันว่า พล.อ.ประยุทธ์ก็คงไม่ต้องไปปวดหัวหากฎหมายที่เทียบเคียงให้อำนาจเต็มแต่มีความเหมาะสมอีกต่อไปเพราะอย่างไรกฏอัยการศึกก็คงดำรงต่อไปแต่อย่าลืมว่า เหรียญมีสองด้านเสมอ เมื่อได้อย่างต้องเสียอย่าง รัฐบาลและทหาร ต้องอดทนต่อแรงกดดันจากนานาชาติต่อไปโดยเฉพาะมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ อีกทั้งปัญหาเศรษฐกิจที่ส่อความรุนแรงขึ้นทุกวันรัฐบาล-ทหาร จะแก้ไขอย่างไร จะสามารถผ่านพ้นไปได้หรือไม่
นอกจากนั้น แรงกระเพื่อมจากสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ มีหลักประกันอะไรที่จะไม่เกิดเหตุร้ายหรือการก่อวินาศกรรมขึ้นได้เพราะกรณีระเบิดไปป์บอมบ์ที่สยามพารากอน หากมองในแง่บกพร่องก็สามารถตำหนิฝ่ายการข่าวทั้งทหารและตำรวจได้อย่างเต็มปาก
กลางใจเมือง ผู้คนพลุกพล่านอีกทั้งใกล้สถานที่สำคัญอันต้องใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยสูงสุดแต่ก็ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์ขึ้นจนได้
และคงไม่พ้นฝ่ายตำรวจที่มี พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคง พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย ผบช.สันติบาล นายตำรวจทั้งสองซึ่งเป็นผู้รับหน้าเสื่อจะต้องแสดงประสิทธิภาพให้รัฐบาลประจักษ์ ขณะเดียวกันท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกอาการมั่นอกมั่นใจว่าคนร้ายกลุ่มนี้ไม่พ้นเงื้อมมือกฎหมายไปอย่างแน่นอน
แสดงว่าผลการสืบสวนสอบสวนรุดหน้าไปมากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกล้องวงจรปิดจำนวนมากที่ติดตั้งทุกมุมทุกด้านของสยามพารากอน อีกทั้งงบประมาณมหาศาลที่รัฐบาลทุ่มให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อความมั่นคงโดยเฉพาะเอาใจช่วยให้จับคนร้ายได้ในเร็ววัน แต่ขออย่ามีพิรุธ หรือจุดเคลือบแคลงใดๆ ให้ประชาชนเกิดความสงสัยเป็นอันขาด