ASTVผู้จัดการรายวัน - ไทยออยล์เผย GRM ม.ค.58 สูงมากอยู่ที่ 9-10 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ดีกว่าปีก่อน เนื่องจากต้นทุนค่าเชื้อเพลิงในโรงกลั่นลดลง และมาร์จินพาราไซลีนส่อขยับดีขึ้น ชี้ราคาน้ำมันดิบที่ขยับขึ้นช่วงนี้เป็นแค่ระยะสั้น รอครึ่งปีหลังจะเห็นภาพชัดเจนขึ้น ยอมรับปี57 บริษัทฯขาดทุนบักโกรก จากการขาดทุนสต็อกน้ำมัน1.2-1.4 หมื่นล้านบาท
นายอธิคม เติบศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)(TOP) เปิดเผยว่า ขณะนี้ค่าการกลั่นน้ำมันรวม(GRM) ในช่วงเดือนม.ค. 2558 ดีมากอยู่ที่ 9-10 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล (ไม่รวมสต็อกน้ำมัน)สูงกว่าปีก่อนที่เฉลี่ย 5.7-6.00 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากได้รับอานิสงส์ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงทำให้ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงที่ใช้ในโรงกลั่นปรับตัวลงด้วย และราคาน้ำมันดิบลงเร็วกว่าราคาน้ำมันสำเร็จรูปทำให้มาร์จินสูงขึ้นด้วย
ด้านธุรกิจอะโรเมติกส์นั้น พบว่าปีนี้ส่วนต่างราคาพาราไซลีนกับวัตถุดิบ (สเปรด) อยู่ที่ 300 เหรียญสหรัฐ/ตัน และมีแนวโน้มจะดีขึ้น เนื่องจากโรงงานผลิตพาราไซลีนขนาดเล็กได้มีการหยุดหรือลดกำลังการผลิตลงไปทำให้ลดซัปพลายในตลาดลง ซึ่งสเปรดระดับนี้ยังคุ้มค่าการผลิตอยู่ โดยโรงงานผลิตพาราไซลีนของไทยออยล์เป็นการผลิตแบบครบวงจรตั้งแต่โรงกลั่นน้ำมันทำให้มาร์จินดีกว่าโรงงานผลิตพาราไซลีนที่ต้องนำเข้าแนฟทาเป็นวัตถุดิบในการผลิต เนื่องจากขณะนี้ราคาแนฟทาสูงกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ 1-2 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพราะความต้องการใช้แนฟทาในการผลิตปิโตรเคมีเพิ่มสูงขึ้น
ส่วนเบนซีนพบว่า สเปรดเบนซีนอยู่ที่ 90เหรียญสหรัฐ/ตัน ต่ำกว่าปีก่อนที่เฉลี่ย 100 เหรียญสหรัฐ/ตัน เนื่องจากความต้องการใช้เบนซีนในการผลิตสไตรีนโมโนเมอร์ (SM)ลดลง
“จากราคาน้ำมันดิบโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงนี้มาอยู่ที่ 55 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แม้ว่าจะเป็นระดับราคาที่ต่ำกว่าราคาน้ำมันดิบ ณ วันที่ 31 ธ.ค. 57 ปิดอยู่ที่ 60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ก็จะมีผลทำให้ขาดทุนสต็อกน้ำมันบ้างในไตรมาส1/58 แต่ได้รับชดเชยจากค่าการกลั่นรวม(GRM)ที่สูงถึง 10 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทำให้บริษัท มีกำไรสุทธิ”
นายอธิคม กล่าวว่า ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นในช่วงนี้ จะไม่ใช่เป็นการปรับขึ้นถาวร เชื่อว่าครึ่งปีหลังนี้จะเห็นทิศทางราคาน้ำมันที่ชัดเจนขึ้น โดยกลุ่มปตท.คาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบในปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 53 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งเป็นการปรับลดประมาณการณ์ราคาน้ำมันดิบเดิมที่เคยประเมินไว้เมื่อปลายปี 57 อยู่ที่ 70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
สำหรับผลการดำเนินงานในงวดปี 2557 บริษัทฯมีผลขาดทุนสุทธิ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการขาดทุนสต็อกน้ำมันสูงถึง 1.2-1.4 หมื่นล้านบาท เพราะราคาน้ำมันดิบต้นปี57 อยู่ที่ประมาณ104 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลและปลายปีอยู่ที่ 60เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ดังนั้นบริษัทฯจึงได้วางนโยบายที่จะลดปริมาณสต็อกน้ำมันลงให้มากที่สุด ด้วยการเจรจากับคู่ค้าเพื่อเปลี่ยนการซื้อน้ำมันจากเดิมที่เป็นรูปแบบ FOB ที่จะรับน้ำมันดิบตั้งแต่เรือออกจากท่า มาเป็น CIF ซึ่งจะรับน้ำมันเมื่อเรือมาถึงท่า ทำให้ลดความเสี่ยงในการบริหารสต็อก เป็นต้น
นายอธิคม เติบศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)(TOP) เปิดเผยว่า ขณะนี้ค่าการกลั่นน้ำมันรวม(GRM) ในช่วงเดือนม.ค. 2558 ดีมากอยู่ที่ 9-10 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล (ไม่รวมสต็อกน้ำมัน)สูงกว่าปีก่อนที่เฉลี่ย 5.7-6.00 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากได้รับอานิสงส์ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงทำให้ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงที่ใช้ในโรงกลั่นปรับตัวลงด้วย และราคาน้ำมันดิบลงเร็วกว่าราคาน้ำมันสำเร็จรูปทำให้มาร์จินสูงขึ้นด้วย
ด้านธุรกิจอะโรเมติกส์นั้น พบว่าปีนี้ส่วนต่างราคาพาราไซลีนกับวัตถุดิบ (สเปรด) อยู่ที่ 300 เหรียญสหรัฐ/ตัน และมีแนวโน้มจะดีขึ้น เนื่องจากโรงงานผลิตพาราไซลีนขนาดเล็กได้มีการหยุดหรือลดกำลังการผลิตลงไปทำให้ลดซัปพลายในตลาดลง ซึ่งสเปรดระดับนี้ยังคุ้มค่าการผลิตอยู่ โดยโรงงานผลิตพาราไซลีนของไทยออยล์เป็นการผลิตแบบครบวงจรตั้งแต่โรงกลั่นน้ำมันทำให้มาร์จินดีกว่าโรงงานผลิตพาราไซลีนที่ต้องนำเข้าแนฟทาเป็นวัตถุดิบในการผลิต เนื่องจากขณะนี้ราคาแนฟทาสูงกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ 1-2 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพราะความต้องการใช้แนฟทาในการผลิตปิโตรเคมีเพิ่มสูงขึ้น
ส่วนเบนซีนพบว่า สเปรดเบนซีนอยู่ที่ 90เหรียญสหรัฐ/ตัน ต่ำกว่าปีก่อนที่เฉลี่ย 100 เหรียญสหรัฐ/ตัน เนื่องจากความต้องการใช้เบนซีนในการผลิตสไตรีนโมโนเมอร์ (SM)ลดลง
“จากราคาน้ำมันดิบโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงนี้มาอยู่ที่ 55 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แม้ว่าจะเป็นระดับราคาที่ต่ำกว่าราคาน้ำมันดิบ ณ วันที่ 31 ธ.ค. 57 ปิดอยู่ที่ 60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ก็จะมีผลทำให้ขาดทุนสต็อกน้ำมันบ้างในไตรมาส1/58 แต่ได้รับชดเชยจากค่าการกลั่นรวม(GRM)ที่สูงถึง 10 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทำให้บริษัท มีกำไรสุทธิ”
นายอธิคม กล่าวว่า ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นในช่วงนี้ จะไม่ใช่เป็นการปรับขึ้นถาวร เชื่อว่าครึ่งปีหลังนี้จะเห็นทิศทางราคาน้ำมันที่ชัดเจนขึ้น โดยกลุ่มปตท.คาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบในปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 53 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งเป็นการปรับลดประมาณการณ์ราคาน้ำมันดิบเดิมที่เคยประเมินไว้เมื่อปลายปี 57 อยู่ที่ 70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
สำหรับผลการดำเนินงานในงวดปี 2557 บริษัทฯมีผลขาดทุนสุทธิ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการขาดทุนสต็อกน้ำมันสูงถึง 1.2-1.4 หมื่นล้านบาท เพราะราคาน้ำมันดิบต้นปี57 อยู่ที่ประมาณ104 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลและปลายปีอยู่ที่ 60เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ดังนั้นบริษัทฯจึงได้วางนโยบายที่จะลดปริมาณสต็อกน้ำมันลงให้มากที่สุด ด้วยการเจรจากับคู่ค้าเพื่อเปลี่ยนการซื้อน้ำมันจากเดิมที่เป็นรูปแบบ FOB ที่จะรับน้ำมันดิบตั้งแต่เรือออกจากท่า มาเป็น CIF ซึ่งจะรับน้ำมันเมื่อเรือมาถึงท่า ทำให้ลดความเสี่ยงในการบริหารสต็อก เป็นต้น
