ในปี2558 น่าจะเป็นปีที่หนักหนาสาหัสอีกปีหนึ่งสำหรับธุรกิจด้านการกลั่นและปิโตรเคมีที่ต้องฝ่าไปให้ได้ หลังจากเผชิญกับภาวะราคาน้ำมันดิบที่ลดลงมาแรงจาก 108 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในปีนี้ จนประสบปัญหาการขาดทุนสต็อกน้ำมันจำนวนมาก
“ASTVผู้จัดการรายวัน”ได้สัมภาษณ์ นายสุกฤต สุรบถโสภณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน)(IRPC) ถึงแผนการดำเนินงานของบริษัทฯ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเป็นบริษัท ***
-บริษัทตั้งงบลงทุน 5ปี (2558-2562) ไว้เท่าไร
บริษัทวางงบลงทุน 5ปีนี้อยู่ที่ 2 หมื่นล้านบาท โดยปีหน้าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 1 หมื่นล้านบาทในโครงการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์สะอาด (UHV) ซึ่งขณะนี้ดำเนินการคืบหน้าไปแล้ว 80% คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 3/ 2558 ซึ่งจะทำให้โรงกลั่นน้ำมันไออาร์พีซี สามารถกลั่นเพิ่มขึ้นเป็น 2 แสนบาร์เรล/วันจากปัจจุบันที่กลั่นอยู่ 1.7-1.8 แสนบาร์เรล/วัน
ส่วนงบลงทุนที่เหลือจะใช้ในโครงการผลิตโพลีโพรพิลีน (PP) วงเงินลงทุน 200 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้บริษัทฯมีกำลังการผลิตโพลีโพรพิลีนเพิ่มขึ่นอีก 3 แสนตัน/ปีรวมเป็น 7.75 แสนตัน/ปี โครงการนี้จะแล้วเสร็จปลายปี 2559
ส่วนโครงการร่วมทุนกับบมจ.พีทีที โกบอล เคมิคอล (PTTGC) เพื่อผลิตพาราไซลีน 1.2 ล้านตัน/ปี ใช้เงินลงทุน 1.1 พันล้านเหรียญสหรัฐนั้น ขณะนี้โครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ ยังไม่ได้บรรจุอยู่ในงบลงทุน 5ปีนี้
ขณะนี้ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ (สเปรด)ของพาราไซลีนและเบนซีนต่ำมากแค่ 100 เหรียญสหรัฐ/ตัน ไม่คุ้มการลงทุน สืบเนื่องจากกำลังการผลิตพาราไซลีนยังเกินความต้องการใช้อยู่มากเพราะเป็นช่วงวัฎจักรขาลงอยู่ ทำให้มาร์จินต่ำ ดังนั้นคงต้องรอให้เศรษฐกิจดีขึ้นกว่านี้ รวมทั้งดูทิศทางราคาน้ำมันด้วย คาดว่าจะตัดสินใจลงทุนโครงการดังกล่าวในครึ่งปีหลัง 2558
-ปี 2558 บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นหรือไม่
ในปีหน้า บริษัทฯคาดว่ารายได้จะต่ำกว่าปีนี้ เนื่องจากราคาน้ำมันที่อ่อนตัวลงมาถึง 40% แต่มั่นใจว่าจะมีกำไรสุทธิสูงกว่าปี 2557 อย่างแน่นอน เนื่องจากรับรู้กำไรจากโครงการเดลต้า 4 พันล้านบาท จากปีนี้ที่รับรู้กำไรอยู่ที่ 2 พันล้านบาท และโครงการUHV ที่แล้วเสร็จในไตรมาส 3 จะทำให้บริษัทฯมีมาร์จินเพิ่มขึ้น 2 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หรือ มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย
ค่าเสื่อมและภาษี (EBITDA) เพิ่มขึ้น 2 พันล้านบาท (รับรู้ 6เดือน) และหากราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นก็จะมีกำไรจากสต็อกน้ำมันเข้ามา
ปี 2558 บริษัทฯคาดว่าค่าการกลั่น (Market GRM)จะอยู่ที่ 7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ใกล้เคียงปีนี้ แม้ว่าช่วงไตรมาส 4 GRM ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ 10 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง แต่ราคาน้ำมันสำเร็จรูปปรับตัวลงเร็วเท่า จึงมีแก๊ปอยู่ โดยไม่มั่นใจว่าGRM จะยืนไปถึงช่วงต้นปี 2558 ได้หรือไม่
-จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงมาก มีผลการดำเนินงานปี 2557 อย่างไร
ในไตรมาส 4 นี้บริษัทประสบปัญหาขาดทุนสต็อกน้ำมันมาก เนื่องจากราคาน้ำมันปรับตัวลงแรง ขณะที่มีการบันทึกเงินจากค่าประกันภัยเข้ามาก็ไม่มากพอ เพราะราคาน้ำมันลดลงทุก 10 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล บริษัทฯจะขาดทุนสต็อกน้ำมัน 2 พันล้านบาท ดังนั้นผลการเนินงานทั้งปี 2557 บริษัทฯขาดทุนสต็อกน้ำมันกว่า 8 พันล้านบาท ทำให้ปีนี้ บริษัทฯมีผลขาดทุนแน่นอน
จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 826 ล้านบาท
แต่เชื่อว่าปีหน้าบริษัทฯจะมีกำไรสุทธิอีกครั้ง แม้ว่ารายได้จะลดลงจากปีก่อน จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงนี้เองทำให้ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงของบริษัทตลอดสายการผลิตปรับตัวลงไปมากกว่า 6%ในปี 2557 ทำให้ความสามารถในการทำกำไรเพิ่มขึ้น
-ไออาร์พีซีประเมินราคาน้ำมันดิบในปีหน้าเท่าใด
บริษัทฯคาดว่าราคาน้ำมันดิบจะอยู่ที่ 70-80 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ปรับตัวสูงขึ้นจากปัจจุบันที่อยู่ระดับ 55-60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากประเมินว่าราคาน้ำมันดิบที่ต่ำจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศผู้นำเข้าน้ำมัน รวมทั้งไทยดีขึ้น ส่งผลให้เกิดความต้องการใช้น้ำมันมากขึ้น ซึ่งอาเซียนถือเป็นกลุ่มประเทศที่มีการนำเข้าน้ำมันเป็นส่วนใหญ่
แต่ราคาน้ำมันที่จำหน่ายให้ผู้บริโภคไม่ได้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง เนื่องจากที่ผ่านมามีการอุดหนุนราคา ทำให้ต้องมีการปรับโครงสร้างราคาพลังงาน ดังนั้นราคาน้ำมันลงจึงมีผลกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี)ไม่มากนักเมื่อเทียบกับประเทศที่มีการซื้อขายเสรี เช่น สหภาพยุโรป ที่จะได้รับผลดีจากราคาน้ำมันต่ำมากกว่า
-แผนการรุกตลาดโพลียูรีเทนในอาเซียน
บริษัท ไออาร์พีซี โพลีออล ซึ่งเป็นบริษัทย่อยได้เข้าร่วมทุนกับPCCC ROKITA SA ประเทศโปแลนด์ ตั้งบริษัทร่วมทุน เพื่อพัฒนามูลค่าเพิ่มโพลียูรีเทน โดยจะเน้นเจาะตลาดในภูมิภาคนี้ โดยทางPCCC ROKITA จะให้สูตรการผลิตโพลียูรีเทนเพื่อผลิตป้อนตลาด โดยที่ผ่านมา บริษัทฯขาดเทคโนโลยีในการผลิตทำให้ผลิตโพลีออลเพียง 50%ของกำลังผลิตรวม ซึ่งเมื่อจับมือกับพันธมิตร
เชื่อว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตโพลีออลได้เต็มที่
-ความคืบหน้าการควบรวมกิจการกับPTTGC
คงต้องรอให้โครงการUHVแล้วเสร็จก่อน จึงตั้งทีมศึกษาร่วมกันในการควบรวมกิจการIRPCกับPTTGC เพื่อดูว่าการควบรวมกิจการดังกล่าวจะสร้างSynergy ได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งจะใช้เวลาศึกษาประมาณ 6 เดือนจึงจะมีความชัดเจนในเรื่องนี้
“ASTVผู้จัดการรายวัน”ได้สัมภาษณ์ นายสุกฤต สุรบถโสภณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน)(IRPC) ถึงแผนการดำเนินงานของบริษัทฯ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเป็นบริษัท ***
-บริษัทตั้งงบลงทุน 5ปี (2558-2562) ไว้เท่าไร
บริษัทวางงบลงทุน 5ปีนี้อยู่ที่ 2 หมื่นล้านบาท โดยปีหน้าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 1 หมื่นล้านบาทในโครงการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์สะอาด (UHV) ซึ่งขณะนี้ดำเนินการคืบหน้าไปแล้ว 80% คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 3/ 2558 ซึ่งจะทำให้โรงกลั่นน้ำมันไออาร์พีซี สามารถกลั่นเพิ่มขึ้นเป็น 2 แสนบาร์เรล/วันจากปัจจุบันที่กลั่นอยู่ 1.7-1.8 แสนบาร์เรล/วัน
ส่วนงบลงทุนที่เหลือจะใช้ในโครงการผลิตโพลีโพรพิลีน (PP) วงเงินลงทุน 200 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้บริษัทฯมีกำลังการผลิตโพลีโพรพิลีนเพิ่มขึ่นอีก 3 แสนตัน/ปีรวมเป็น 7.75 แสนตัน/ปี โครงการนี้จะแล้วเสร็จปลายปี 2559
ส่วนโครงการร่วมทุนกับบมจ.พีทีที โกบอล เคมิคอล (PTTGC) เพื่อผลิตพาราไซลีน 1.2 ล้านตัน/ปี ใช้เงินลงทุน 1.1 พันล้านเหรียญสหรัฐนั้น ขณะนี้โครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ ยังไม่ได้บรรจุอยู่ในงบลงทุน 5ปีนี้
ขณะนี้ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ (สเปรด)ของพาราไซลีนและเบนซีนต่ำมากแค่ 100 เหรียญสหรัฐ/ตัน ไม่คุ้มการลงทุน สืบเนื่องจากกำลังการผลิตพาราไซลีนยังเกินความต้องการใช้อยู่มากเพราะเป็นช่วงวัฎจักรขาลงอยู่ ทำให้มาร์จินต่ำ ดังนั้นคงต้องรอให้เศรษฐกิจดีขึ้นกว่านี้ รวมทั้งดูทิศทางราคาน้ำมันด้วย คาดว่าจะตัดสินใจลงทุนโครงการดังกล่าวในครึ่งปีหลัง 2558
-ปี 2558 บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นหรือไม่
ในปีหน้า บริษัทฯคาดว่ารายได้จะต่ำกว่าปีนี้ เนื่องจากราคาน้ำมันที่อ่อนตัวลงมาถึง 40% แต่มั่นใจว่าจะมีกำไรสุทธิสูงกว่าปี 2557 อย่างแน่นอน เนื่องจากรับรู้กำไรจากโครงการเดลต้า 4 พันล้านบาท จากปีนี้ที่รับรู้กำไรอยู่ที่ 2 พันล้านบาท และโครงการUHV ที่แล้วเสร็จในไตรมาส 3 จะทำให้บริษัทฯมีมาร์จินเพิ่มขึ้น 2 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หรือ มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย
ค่าเสื่อมและภาษี (EBITDA) เพิ่มขึ้น 2 พันล้านบาท (รับรู้ 6เดือน) และหากราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นก็จะมีกำไรจากสต็อกน้ำมันเข้ามา
ปี 2558 บริษัทฯคาดว่าค่าการกลั่น (Market GRM)จะอยู่ที่ 7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ใกล้เคียงปีนี้ แม้ว่าช่วงไตรมาส 4 GRM ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ 10 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง แต่ราคาน้ำมันสำเร็จรูปปรับตัวลงเร็วเท่า จึงมีแก๊ปอยู่ โดยไม่มั่นใจว่าGRM จะยืนไปถึงช่วงต้นปี 2558 ได้หรือไม่
-จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงมาก มีผลการดำเนินงานปี 2557 อย่างไร
ในไตรมาส 4 นี้บริษัทประสบปัญหาขาดทุนสต็อกน้ำมันมาก เนื่องจากราคาน้ำมันปรับตัวลงแรง ขณะที่มีการบันทึกเงินจากค่าประกันภัยเข้ามาก็ไม่มากพอ เพราะราคาน้ำมันลดลงทุก 10 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล บริษัทฯจะขาดทุนสต็อกน้ำมัน 2 พันล้านบาท ดังนั้นผลการเนินงานทั้งปี 2557 บริษัทฯขาดทุนสต็อกน้ำมันกว่า 8 พันล้านบาท ทำให้ปีนี้ บริษัทฯมีผลขาดทุนแน่นอน
จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 826 ล้านบาท
แต่เชื่อว่าปีหน้าบริษัทฯจะมีกำไรสุทธิอีกครั้ง แม้ว่ารายได้จะลดลงจากปีก่อน จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงนี้เองทำให้ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงของบริษัทตลอดสายการผลิตปรับตัวลงไปมากกว่า 6%ในปี 2557 ทำให้ความสามารถในการทำกำไรเพิ่มขึ้น
-ไออาร์พีซีประเมินราคาน้ำมันดิบในปีหน้าเท่าใด
บริษัทฯคาดว่าราคาน้ำมันดิบจะอยู่ที่ 70-80 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ปรับตัวสูงขึ้นจากปัจจุบันที่อยู่ระดับ 55-60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากประเมินว่าราคาน้ำมันดิบที่ต่ำจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศผู้นำเข้าน้ำมัน รวมทั้งไทยดีขึ้น ส่งผลให้เกิดความต้องการใช้น้ำมันมากขึ้น ซึ่งอาเซียนถือเป็นกลุ่มประเทศที่มีการนำเข้าน้ำมันเป็นส่วนใหญ่
แต่ราคาน้ำมันที่จำหน่ายให้ผู้บริโภคไม่ได้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง เนื่องจากที่ผ่านมามีการอุดหนุนราคา ทำให้ต้องมีการปรับโครงสร้างราคาพลังงาน ดังนั้นราคาน้ำมันลงจึงมีผลกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี)ไม่มากนักเมื่อเทียบกับประเทศที่มีการซื้อขายเสรี เช่น สหภาพยุโรป ที่จะได้รับผลดีจากราคาน้ำมันต่ำมากกว่า
-แผนการรุกตลาดโพลียูรีเทนในอาเซียน
บริษัท ไออาร์พีซี โพลีออล ซึ่งเป็นบริษัทย่อยได้เข้าร่วมทุนกับPCCC ROKITA SA ประเทศโปแลนด์ ตั้งบริษัทร่วมทุน เพื่อพัฒนามูลค่าเพิ่มโพลียูรีเทน โดยจะเน้นเจาะตลาดในภูมิภาคนี้ โดยทางPCCC ROKITA จะให้สูตรการผลิตโพลียูรีเทนเพื่อผลิตป้อนตลาด โดยที่ผ่านมา บริษัทฯขาดเทคโนโลยีในการผลิตทำให้ผลิตโพลีออลเพียง 50%ของกำลังผลิตรวม ซึ่งเมื่อจับมือกับพันธมิตร
เชื่อว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตโพลีออลได้เต็มที่
-ความคืบหน้าการควบรวมกิจการกับPTTGC
คงต้องรอให้โครงการUHVแล้วเสร็จก่อน จึงตั้งทีมศึกษาร่วมกันในการควบรวมกิจการIRPCกับPTTGC เพื่อดูว่าการควบรวมกิจการดังกล่าวจะสร้างSynergy ได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งจะใช้เวลาศึกษาประมาณ 6 เดือนจึงจะมีความชัดเจนในเรื่องนี้