xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“คสช.-มะกัน” ใส่กันพอเป็นพิธี แอบจูบปากกันที่สัมปทานฯ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายแดเนียล รัสเซล ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ฝ่ายกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ขณะพบนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ท่าทีของ “คุณพ่อรู้ดี” ที่จุ้นจ้านการเมืองภายในของไทยทำราวกับว่าราชอาณาจักรไทยเป็นอาณานิคมหรือมลรัฐหนึ่งของสหรัฐอเมริกาคราวนี้ ถ้าหากมองโลกตามความเป็นจริงก็จะเห็นชัดเจนว่า คำอวดอ้างภายใต้ “เสื้อคลุมประชาธิปไตย” ของสหรัฐฯ ซึ่งย้ำนักย้ำหนานั้น แท้ ที่จริงก็คือการเคลื่อนไหวปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐฯล้วนๆ และดูทีท่าแล้วการฟัดกันของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กับมหามิตรสหรัฐฯ คราวนี้ก็อาจเป็นการตบตีกันพอเป็นพิธี แล้วไปแอบจูบกันที่สัมปทานปิโตรเลียมประมาณนั้น

คำถามก็คือ เวลานี้สหรัฐฯ ที่แสดงอาการตบจูบทั้งปลอบทั้งข่มขู่ เพื่อต่อรองอะไร ? หากไม่มีอะไรที่กำลังต่อรองกับไทย สหรัฐฯจะทำท่าฮึดฮัดต่อการถอดถอนน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งมิได้มีวีรกรรมอะไรให้โลกต้องจดจำไปทำไม?

ถามอีกครั้ง สหรัฐฯจะฮึดฮัดต่อการทำรัฐประหาร การประกาศกฎอัยการศึก ไปเพื่ออะไร ถ้าหากมองเห็นความจริงว่าในอดีตที่ผ่านมาสหรัฐฯ เคยหนุนหลังคณะรัฐประหารยึดอำนาจในหลายประเทศมาแล้วทั่วโลก รวมกระทั่งประเทศไทยเองด้วย

สหรัฐฯ กำลังต้องการผลประโยชน์อะไรกับไทย ถึงข่มขู่ฟาดงวงฟาดงา เชือดเฉือน เพื่อสร้าง “บาดแผลในหัวใจของคนไทย” ดังคำคร่ำครวญทำไมถึงทำกับมิตรที่ดีและซื่อสัตย์เสมอมาเยี่ยงนี้ได้ของนายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเรียกรักษาการเอกอัครราชทูตสหรัฐฯปรับความเข้าใจกระบวนการถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และข้อเสนอเลิกกฎอัยการศึก ในตอนเช้าของวันที่ 28 ม.ค. 2558

วาจาของมหามิตรสหรัฐฯ ที่ออกจากปาก นายแดเนียล รัสเซล ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ฝ่ายกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ในการปาฐกถาที่สถาบันศึกษาความมั่นคงและนานาชาติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2558 ที่ทิ่มแทงใจของคณะผู้นำประเทศไทยอย่างจังนั้น มีอยู่ว่า

“....ผมขอกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า เมื่อผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งถูกปลดออกจากตำแหน่ง ถูกถอดถอนโดยผู้มีอำนาจที่ก่อรัฐประหาร และตกเป็นเป้าด้วยข้อหาอาญาในขณะที่กระบวนการและสถาบันพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตยต้องหยุดชะงักลง  ประชาคมโลกจึงเกิดความรู้สึกว่า ขั้นตอนเหล่านี้อาจเกิดจากแรงจูงใจทางการเมือง....”

การแสดงความเห็นอกเห็นใจอดีตนายกรัฐมนตรีที่เพิ่งถูกถอดถอนโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) การแสดงความห่วงใยถึงประชาชนคนไทยที่ต้องมีสิทธิ เสรีภาพ ได้รับความเป็นธรรม และการปฏิรูปอย่างมีส่วนร่วมของประชาชนคนไทยอย่างแท้จริงที่พรั่งพรูออกจากปากนายแดเนียล เป็นโวหารที่ชวนให้น้ำหูน้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้งอย่างยิ่ง หากนั่นมันเป็น ความจริงใจอย่างใสซื่อบริสุทธิ์ แต่เชื่อได้หรือว่าการเข้ามาดิสเครดิตรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารถึงถิ่นคราวนี้จะไม่มีอะไรเคลือบแฝงเพื่อกดดันหรือต่อรองผลประโยชน์อะไรบางอย่าง

อย่างเช่น ผลประโยชน์อันดับแรกสุด อิทธิพลของสองชาติมหาอำนาจที่มีต่อไทย ถามว่านาทีนี้ใครเฉือนใคร จีนหรือสหรัฐฯ ที่กำลังถือแต้มต่อ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) รู้ตัวยังว่า สหรัฐฯ ชักขวางหูขวางตาและเห็นว่า ผู้นำประเทศของไทยหันไปอี๋อ๋อกับมหาอำนาจจีนออกนอกหน้าเกินไปแล้ว

พล.อ.ประยุทธ์ รู้ตัวยังว่า ปลื้มจีนมากมายเพราะจีนไม่เคยแสดงท่าทีหรือเอ่ยคำตำหนิผู้นำของไทยที่มาจากการยึดอำนาจรัฐประหารให้ต้องชอกช้ำระกำใจแม้แต่น้อย ผิดกับสหรัฐฯฯที่เอาแต่ตำหนิติเตียนวางกล้ามใหญ่โต ข่มขู่ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

มิหนำซ้ำ จีนยังมีแต่คำหวานหูจนแทบจะกลายเป็นว่ามหาอำนาจตะวันออกอยู่ในใจ ผู้นำ ไทยเสมอทุกลมหายใจเข้าออก มีโครงการอะไรก็คิดถึงแต่จีน อยากจะประเคนให้จีนอย่างที่เห็น ขายข้าวไม่ได้ หาคนสร้างรถไฟทางคู่ก็ให้นึกถึงจะพึ่งแต่จีน สหรัฐฯ ยุโรป หรือแม้แต่ญี่ปุ่นไม่อยู่ในสายตา

แล้วจะไม่ให้สหรัฐฯ หวั่นว่าผลประโยชน์ของตนเองที่เคยมีอยู่ และจะมีขึ้นในอนาคตจะไม่แปรเปลี่ยนไปได้อย่างไร

ผลประโยชน์ในอันดับต่อมา อย่างที่รู้กันดีว่า บรรษัทพลังงานยักษ์ใหญ่คือหนึ่งในผู้เบื้องหลังรัฐบาลสหรัฐฯมาทุกยุคทุกสมัย และเวลานี้ผลประโยชน์ด้านพลังงานของสหรัฐฯ ในประเทศไทย กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ ทั้งเรื่องการต่ออายุสัมปทานปิโตรเลียมที่ใกล้จะหมดลงและกำลังอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะจัดการอย่างไรดี และการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่ ที่ยังอยู่ในภาวะลูกผีลูกคน ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐบาลทหารที่มาจากการยึดอำนาจนี่แหละ

การออกมาชี้หน้าประณามว่ารัฐบาลทหารของไทยไม่มีความเป็นประชาธิปไตย จึงเป็นลูกเล่นของมหาอำนาจจอมเกเร ชวนให้คิดไปว่านี่ไม่ใช่อื่นใดเลยนอกจากการข่มขู่เพื่อต่อรองผลประโยชน์ของสหรัฐฯ อย่าให้ได้รับผลกระทบ เหตุที่ว่าเช่นนั้นก็เพราะมีเหตุบังเอิญช่างประจวบเหมาะกันเสียจริงๆ

โปรดอย่าลืมว่า การมาเยือนไทยของนายแดเนียล รัสเซล ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐฯ ฝ่ายกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก เมื่อวันที่ 25 - 26 ม.ค. 2558 เป็นการเคลื่อนไหวของผู้แทนสหรัฐฯ ในเวลาไล่เลี่ยกันไม่นาน หลังจากที่ Mr. Patrick Murphy อุปทูตรักษาราชการแทนเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะนายณรงค์ชัย อัครเศรณี รมว.กระทรวงพลังงาน เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศและชื่นชมถึงความร่วมมืออันดีของทั้งสองประเทศโดยเฉพาะด้านพลังงานที่ดำเนินมาอย่างดียิ่งกระทั่งเป็นแบบอย่างในบรรดาชาติอาเซียน

อย่าเพิ่งลืมไปว่า นาย Patrick Murphy เข้าพบนายณรงค์ชัย หลังจากที่ประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) มีมติไม่เห็นด้วยกับการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่ และให้ศึกษาทบทวนระบบการให้สัมปทานเปรียบเทียบกับระบบแบ่งปันผลผลิตเสียใหม่ ขณะที่สัมปทานปิโตรเลียมที่กำลังจะหมดอายุลง นายณรงค์ชัย ยืนยันว่า กระทรวงพลังงานจะไม่ต่ออายุสัญญาสัมปทานแหล่งปิโตรเลียมที่จะสิ้นสุดภายใน 7 ปี ข้างหน้า เพราะมีปัญหาด้านข้อกฎหมาย ตอนนี้กำลังพิจารณาว่าจะทำอย่างไร

อย่าเพิ่งลืมไปว่า บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด สัญชาติอเมริกา คือผู้รับสัมปทานแหล่งก๊าซธรรมชาติเอราวัณในอ่าวไทย ซึ่งกำลังใกล้เวลาจะสิ้นสุดสัญญาสัมปทานดังกล่าว

อย่าเพิ่งลืมว่า สัมปทานปิโตรเลียมของไทยในเวลานี้ มียักษ์ใหญ่เชฟรอนจากสหรัฐฯ ครอบครองอยู่มากมายมหาศาล มากเสียยิ่งกว่ากลุ่มปตท.เสียอีก โดยดูได้จากสัญญาซื้อขายก๊าซฯที่ปตท.ซื้อจากผู้ผลิตหรือผู้ได้รับสัมปทานจากแหล่งต่างๆ

ปัจจุบัน ปตท. มีสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติจากแหล่งในทะเลจำนวน 8 ฉบับ คือ สัญญาแหล่งยูโนแคล 123 ของเชฟรอนไทยแลนด์ สัญญาแหล่งไพลินของเชฟรอนไทยแลนด์ สัญญาแหล่ง B8/32 ของเชฟรอนออฟชอร์ รวมปริมาณซื้อก๊าซจากเชฟรอนคิดเป็น 47% ของก๊าซที่ ปตท. ซื้อจากแหล่งภายในประเทศ

อันดับสองคือของ ปตท.สผ. บริษัทลูกของ ปตท. ในสัญญาแหล่งบงกช และสัญญาแหล่งอาทิตย์ คิดเป็น 30% ของก๊าซที่ ปตท. ซื้อจากแหล่งในประเทศ อันดับสามคือ จากแหล่งเจดีเอไทย-มาเลย์ 20% และอันดับ 4 คือจากแหล่งบนบก 3%

ผลประโยชน์อีกเรื่องที่สะท้อนชัดว่า สหรัฐฯ มาเพื่อผลประโยชน์ของตนเองก็คือ การกดดันให้ไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิกความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Trans-Pacific Strategic Economic Partnership Agreement : TPP) หรือทีพีพี เขตเศรษฐกิจใหม่ที่มีสหรัฐฯ เป็นตัวตั้งตัวตีและหวังใช้ปิดล้อมจีน

เรื่องนี้นายแดเนียล ได้กล่าวไว้ในการให้สัมภาษณ์พิเศษสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐฯ ได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์ฉบับเต็มผ่านทางเว็บไซต์เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2558 นายแดเนียลไม่ได้พูดถึงเฉพาะเรื่องการเมืองภายในของประเทศไทยเท่านั้น แต่พูดถึงเรื่องความร่วมมือทางเศรษฐกิจคือ ทีพีพี ในบริบทของกฎอัยการศึกด้วย โดยบอกว่า ตราบใดที่กฎอัยการศึกยังคงอยู่ ตราบใดที่ยังใช้เวลาในการเจรจาปรองดองและการร่างรัฐธรรมนูญยาวนานเท่าไหร่ และตราบใดที่การเลือกตั้งยืดยาวออกไป ก็เป็นการยากสำหรับประเทศไทยที่จะบอกกับสากลว่าเรื่องพวกนี้จะจบลงได้ด้วยดีขณะที่รัฐบาลสัญญาว่าจะฟื้นฟูประชาธิปไตยโดยเร็ว

“ผมกลับมีความกังวลว่าปัญหาทางการเมืองของไทยจะกระทบต่อเรื่องเศรษฐกิจในปีนี้ ซึ่งเป็นปีที่สำคัญในการรวมตัวของอาเซียน และที่สำคัญการเจรจาในเรื่องทีพีพี ก็กำลังจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้ ความสำคัญก็คือทีพีพี มีแชร์ถึง 40% ของจีดีพีของโลก ประเทศไทยไม่ได้เข้าร่วมการเจรจานี้ แต่ว่าเพื่อนบ้านของไทยหลายประเทศเข้าร่วมแล้ว เวียดนาม มาเลย์ สิงคโปร์ บรูไน และเมื่อทีพีพีเปิดการแข่งขันจะมากขึ้น

“ประเด็นที่ผมเน้นย้ำคือ โลกกำลังจะเปลี่ยนแปลง มีความท้าทายมากมายซึ่งหมายความว่าสหรัฐฯและประเทศไทยควรร่วมมือกันอย่างกระตือรือร้น ดังนั้นปัญหาการเมืองภายในของไทย ถ้าแก้ไขให้เร็ว จบเร็วเท่าไหร่ก็จะเป็นการดี” นายแดเนียล กล่าวอย่างชัดเจนว่าไม่อยากให้ไทยตกรถไฟขบวนสายทีพีพี ที่สหรัฐฯ เป็นหัวเรือใหญ่  

ที่ผ่านมา ความตกลงภายใต้กรอบทีพีพีนี้ ไม่มีรัฐบาลไทยหน้าไหนกล้าตัดสินใจเข้าร่วม แม้แต่รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่นายโอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เดินทางมาเกี้ยวถึงไทยเพื่อชักชวนให้เข้าร่วม จนปรากฏมีภาพฉาวระหว่างผู้นำหนุ่มมะกันกับอดีตผู้นำหญิงของไทยให้ขายหน้าชาวโลก ด้วยเพราะผลกระทบด้านลบของทีพีพี โดยเฉพาะการผูกขาดสิทธิบัตรยาในรูปแบบใหม่ ที่จะทำให้ไทยต้องจ่ายเงินค่านำเข้ายาจากต่างประเทศและค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นเกือบแสนล้านต่อปี
  
ว่าแต่ว่า เรื่องผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ดังกล่าวข้างต้น “เสธ.น้ำเงิน” รู้ยัง เพราะเห็นเขียนวิพากษ์วิจารณ์ “กลุ่มอิลลูนิมาติ” ว่าอยู่เบื้องหลังรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นคุ้งเป็นแคว และเสธ.ยังบอกด้วยว่ากลุ่มคนพวกนี้เป็นนักการเมือง เจ้าของธนาคาร บริษัทจัดอันดับ สื่อ บริษัทยา บริษัทค้าอาวุธ และพลังงาน
       
      ถ้ารู้ว่าบริษัทยา กลุ่มธุรกิจพลังงาน อยู่ในกลุ่มอิลลูนิมาติอย่างว่าแล้ววิเคราะห์ไม่ออกหรืออย่างไรว่า ยักษ์ใหญ่พลังงานนั้น มีอิทธิพลต่อรัฐบาลสหรัฐฯ ขนาดไหน เผลอๆ รายการส่งตัวแทนมาข่มขู่คุกคามหรือทำทีชื่นชมทำนองตบหัวแล้วลูบหลัง และตบหลังแล้วลูบหัว “รัฐบาลทหารอนุรักษ์นิยม” คราวนี้ อาจเกี่ยวข้องเป็นเรื่องเดียวกันก็เป็นได้
      
   เสธ.น้ำเงิน เค้นสมองเขียนถึงกลุ่มอิลลูนิมาติ เสียยืดยาวว่าอยู่เบื้องหลังการทำริยำตำ บอนเพื่อจะครอบครองโลกและจัดระเบียบโลกใหม่ (New World Order) แล้วจะทำเป็นหลับตาข้างเดียวทำเป็นไม่รู้ได้อย่างไรถึงได้เชียร์ระบบสัมปทานปิโตรเลียมแบบสุดจิตสุดใจ ทั้งๆ ที่มองเห็นชัดๆ อยู่แล้วว่า ระบบสัมปทานปิโตรเลียม เป็นผลประโยชน์ของบริษัทพลังงานข้ามชาติโดยเฉพาะสหรัฐฯ มากกว่าผลประโยชน์ของประเทศชาติประชาชนคนไทย และกลุ่มบริษัทพลังงานของสหรัฐฯที่ว่าตามตรรกะของเสธ.น้ำเงิน ก็น่าจะอยู่ในกลุ่มอิลลูนิมาตินั่นเอง
          
     เสธ.น้ำเงิน บอกว่า กลุ่มอิลลูนิมาตินี้มีสมาชิกอย่างเช่น จอร์จ บุช อดีต ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ผู้เคยกล่าวสุนทรพจน์ระเบียบโลกใหม่ และครอบครัวของบุช กับครอบครัวบินลาเด็น ก็มีความเชื่อมโยงและสัมพันธ์แนบแน่นโดยมีธุรกิจน้ำมันร่วมกันภายใต้ ชื่อ “คาไลด์กรุ๊ป” กลุ่มบริษัทลงทุนระดับโลก แล้วบุชกับบิลลาเด็นมาแตกคอขัดผลประโยชน์กันในภายหลังจนกลายมาเป็นโศกนาฎกรรม 9/11 และสุดท้ายบิลลาเด็นก็ต้องตาย
          
      ถึงแม้ว่า เสธ.น้ำเงิน จะผูกพล็อตเรื่องราวของกลุ่มอิลลูนิมาติที่วางแผนครอบครอง โลกเป็นฉากๆ ราวกับหนังฮอลลีวูด แต่ด้วยอคติบังตาจึงทำให้เสธ.น้ำเงินสร้างตรรกะวิบัติ ดัง ตอนหนึ่งในข้อเขียนที่ขึ้นเฟสบุ๊กเมื่อวันที่ 14 ม.ค. 2558 หัวข้อ “เผย ... การจัดระเบียบโลกใหม่ของกลุ่มอิลลูมินาติ จะส่งผลอย่างไร (ตอนจบ)” ว่า “.... ช่วงนี้จะมีกลไกป่วนที่เป็น NGO พลังงานที่รับงานจากบริษัทน้ำมันอเมริกา อีลิทในกลุ่มอิลลูมินาติ ที่จะเสีย ประโยชน์ จะออกมาโจมตีใส่ร้ายรัฐบาลเรื่องพลังงาน พอเงินมาพวกนี้ก็เคลื่อนไหวอีก”
        
        จะอธิบายตรรกะวิบัติของเสธ.น้ำเงินว่าอย่างไรดี เพราะเสธ.น้ำเงิน บอกว่า กลุ่ม อิลลูนิมาติ ซึ่งมีบรรดาบริษัทพลังงานเป็นสมาชิกอยู่ด้วยนั้นเป็นพวกโลภโมโทสันอยากครอบครองโลก และอยู่เบื้องหลังรัฐบาลสหรัฐฯ เข้าแก่งแย่งและแสวงหาประโยชน์จากทุกซอกทุกมุมทั่วโลก

และหากมองกรณีของไทยก็คือ การเข้ามาครอบครองสัมปทานปิโตรเลียมไปเกือบครึ่งค่อนของบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่จากอเมริกา แต่เสธ.น้ำเงิน กลับเห็นว่า ระบบสัมปทาน ปิโตรเลียมนั้นดีเลิศสุดยอดไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องเปลี่ยนแปลงไปเป็นระบบแบ่งปันผลผลิตตามที่ภาคประชาชนเรียกร้องและสปช.มีมติให้ทบทวนใหม่ ซึ่ง “รัฐบาลบิ๊กตู่” ก็ปกป้องระบบสัมปทานสุดใจขาดดิ้นเช่นกัน เสธ.น้ำเงิน ไม่ยักกะบอกว่านี่เป็นความชั่วช้าของกลุ่มอิลลูนิมาติ แม้แต่น้อย

ทั้งๆ ที่ เสธ.น้ำเงิน ก็บอกว่า “ตอนนี้ยักษ์ 2 ศาสนากำลังรบกัน ...ไทยจะรอดถ้าสงวนท่าทีอย่างมีเชิง แต่ต้องไม่ให้อิลลูนิมาติครอบงำประเทศโดยใช้คำว่าเลือกตั้งประชาธิปไตยได้...”

หนำซ้ำจู่ๆ เสธ.น้ำเงิน กลับมาบอกว่า มีเอ็นจีโอรับเงินจากบริษัทน้ำมันอเมริกา ซึ่งหาก พิจารณาตามตรรกะของเสธ.น้ำเงิน บริษัทน้ำมันอเมริกาคงจะเป็นสมาชิกของกลุ่มอิลลูนิมาติอยู่ด้วยนั้น มาโจมตีใส่ร้ายรัฐบาลเรื่องพลังงาน ตกลงกลุ่มเอ็นจีโอหรือ "รัฐบาลบิ๊กตู่" กันแน่ที่สมควรถูกตราหน้าเป็นลูกหาบรับเงินของกลุ่มอิลลูนิมาติตามตรรกะวิบัติของเสธ.น้ำเงิน
      
   แต่เหนือสิ่งอื่นใด เสธ.น้ำเงิน รู้ยัง “บิ๊กตู่” แสดงบทชอกช้ำใจมากที่ถูกมหามิตรมาเหยียบจมูก ปรามาส กดดัน ถึงบ้าน

“ยืนยันว่าในฐานะนายกฯ จะไม่ยอมให้ประเทศใดเข้ามาแทรกแซงบ้านเรา ทุกประเทศมีศักดิ์ศรี ประเทศไทยก็ต้องมีศักดิ์ศรีประเทศไทยความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเราให้เกียรติกับทุกๆ ประเทศ ผมไม่เคยไปต่อต้านใคร ...แต่ผมเสียใจในการแสดงความคิดเห็นบางอย่างที่มันไม่ใช่ ไปฟังข้างนี้แล้วออกมาพูดแบบนี้ มันไม่ใช่ ผมก็เสียใจที่เราเป็นมิตรกันมายาวนาน แต่ผมไม่ใช่ศัตรูของเขา อนาคตวันหน้าเราก็ต้องเดินหน้าต่อไป...”
 
แน่จริง เสธ.น้ำเงิน ล่อมหาอำนาจมหามิตรจอมปลิ้นปล้อนสักหน่อยดีมั๊ย เผื่อท่านผู้นำจะ รู้สึกดีขึ้น แต่ถ้าหากเสธ.น้ำเงิน เล่นแรงไป ระวังมหามิตรไม่สบอารมณ์ไม่ให้ร่วมซ้อมรบ “คอบบร้าโกลด์” อย่ามาโทษกันและอย่ามาหาว่าไม่เตือน

ส่วนเรื่องสัมปทานปิโตรเลียมทั้งสัมปทานเก่าที่จะหมดอายุลงและการเปิดสัมปทานรอบใหม่ รวมทั้งการเข้าร่วมเป็นสมาชิพีทีที รับรองได้ว่ารัฐบาลบิ๊กตู่ มีข่าวดีสำหรับสหรัฐอเมริกามหามิตรแน่นอน เพราะถึงวันนี้ไม่มีท่าทีใดๆ ที่รัฐบาลบิ๊กตู่จะเปลี่ยนใจให้ไปใช้ระบบแบ่งปันผลผลิตแทนระบบสัมปทานแม้แต่น้อย

อาการกระทบกระทั่งระหว่างคสช.กับมหามิตรอเมริกาที่อาศัยฉากน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกถอดถอนและถูกฟ้องอาญามาบังหน้าในเวลานี้ จึงเป็นเพียงแค่ละครตบจูบที่จบลงแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง เท่านั้น.


กำลังโหลดความคิดเห็น