xs
xsm
sm
md
lg

คู่รักนักปั่น 2000 วันรอบโลก!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


มากกว่าการปั่นจักรยาน มากกว่าการเดินทางรอบโลก หากคือการไม่ละทิ้งความฝันและทำมันให้เป็นจริง!! กว่า 6 ปีของการปั่นจักรยานรอบโลก มีความประทับใจและเหตุการณ์มากมายในนั้น ฝันของพวกเขาเป็นจริงได้ยังไงในเมื่อเงินแทบไม่มี!!

ความฝันวัยเด็ก
"เจริญ โอทอง (หมู)" และ "อรวรรณ โอทอง (วรรณ)" สามีภรรยาชาวไทยคู่แรกที่ปั่นจักรยานรอบโลกได้สำเร็จ การเดินทางยาวนานกว่า 6 ปี ใน 43 ประเทศนั้นไม่ธรรมดา แต่มันมีที่มาจากอะไร?

“เป็นความฝันของวรรณค่ะ ฝันมาตั้งแต่เด็กๆ เลย เป็นความฝันมานานมากว่าอยากเดินทางรอบโลก ชอบการเดินทาง รักการเดินทาง สมัยทำงานใหม่ๆ ก็เคยเก็บเงินไปแบ็คแพ็คคนเดิยวในอเมริกา”

วรรณไม่เคยทิ้งความฝัน เธอเดินตามความฝันและได้รับแรงบันดาลใจมากมาย เริ่มต้นจากการไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่สหรัฐอเมริกา ได้เห็นคนที่มาจากทั่วโลก ซึ่งมันยิ่งจุดประกายความฝันในการเดินทางรอบโลกของเธอ แต่ก็คิดว่าสงสัยคงได้ไปตอนแก่ๆ

ผิดคาด! ไม่ต้องรอจนแก่วรรณก็ได้เดินทางรอบโลกจริงๆ หลังจากเธอได้พบกับ “หมู” คู่ชีวิต เมื่อเพื่อนแนะนำให้หมูสอนวรรณปั่นจักรยาน “ตอนนั้นปั่นจักรยานจ่ายกับข้าวเป็น แต่พี่หมูปั่นจักรยานเสือภูเขา ก็เลยมาสอนจนเป็นแฟนกัน”

หลังจากปั่นเที่ยวเล่นในประเทศก็ถึงเวลาออกนอกประเทศบ้าง โดยได้แรงบันดาลใจจากที่ไปเจอนักปั่นชาวเนเธอร์แลนด์คนหนึ่งที่ปั่นจากบ้านเกิดมาถึงไทย “ทึ่งมากเลยว่า เฮ้ย! ทำได้ยังไง ก็ถามเค้าว่าชอบประเทศอะไรมากที่สุด เค้าบอกว่าชอบประเทศลาว ก็เลยชวนเพื่อนๆ ปั่นจากหลวงพระบางไปเวียงจันทน์ เป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่เราได้เอาจักรยานไปต่างประเทศ ประทับใจมาก จากทริปตรงนั้นมันเริ่มพัฒนามาเรื่อยๆ”

อยากไปรอบโลกต้องถามคนที่เคยไป
คู่รักนักปั่นคู่นี้ ไม่ได้เก็บความฝันไว้แค่สองคน แต่พวกเขาหาที่ปรึกษาที่จะแนะนำให้การทำฝันนี้เป็นจริงให้ได้ “ทอม เคลย์เตอร์” คือนักบินที่บินไป 70 ประเทศทั่วโลกด้วยเครื่องบินส่วนตัวของเขาเอง “ตอนนั้นเราได้อ่านเรื่องราวของผู้ชายคนนี้ ก็รู้สึกว่าเค้าเก่งมาก ได้ไปรอบโลกและมีความฝันที่ยิ่งใหญ่ เก็บเงินทำงาน คลุกคลีอยู่กับการบินและบรรยากาศเหล่านั้นตั้งแต่เด็กๆ จนวันนึงที่พร้อม เค้าก็เริ่มบิน”

วรรณเล่าต่อว่าหลังจากที่ได้อ่านเรื่องของเขาก็อีเมลล์ไปคุย เล่าความฝันให้ฟัง และได้พบปะพูดคุยกันในที่สุด “พอเค้าได้ยินความฝันเรา เค้าก็บอกว่าวรรณกับหมู ฉันนะเห็นแววตาคนมาทั่วโลก เธอสองคนไม่ต้องไปชื่นชมฝรั่งนะ เธอสองคนน่ะทำได้

เค้ายังบอกอีกว่า The only joy in the world is to begin, begin your dream! ขอให้เริ่มต้นความฝันนะ อย่าเก็บความฝันไว้ในใจ ที่สำคัญคือถ้าวรรณและพี่หมูทำสำเร็จจะสร้างแรงบันดาลใจให้คนไทยมากมาย และจะสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติอะไร” จากนั้นทอมก็กลายมาเป็นที่ปรึกษาให้กับทั้งคู่เพื่อเดินตามความฝัน แม้ตอนนั้นทั้งคู่จะยังไม่มีเงินพอที่จะเดินทางรอบโลกก็ตาม

ด้านหมูเอง การเดินทางรอบโลกอาจไม่ใช่ความฝันของเขาตั้งแต่ทีแรก แม้ส่วนตัวจะเป็นคนชอบปั่นจักรยานชอบเดินป่า แต่ก็ไม่ได้คิดถึงขนาดที่ว่าจะต้องเดินทางรอบโลก ซึ่งทอมก็ได้ให้คำปรึกษาหมู จนสุดท้ายเขาพร้อมและเต็มใจที่จะเดินตามฝันไปพร้อมกับวรรณ คู่ชีวิตของเขา

“ผมนี่ตกอยู่ในห้วงของความกลัวความกังวล ชีวิตที่อยู่ในกรอบ ต้องมีงานทำมีเงินเดือน ต้องดูแลพี่น้อง วิธีคิดเป็นแบบนั้น เราไม่ได้คิดต่อ ว่าความฝันมันคืออะไร รู้แหละครับว่าคนเรามีความฝัน แต่ฝันที่ยิ่งใหญ่เนี่ยทำไปทำไม

ใช้เวลาเกือบ 2 ปีที่ทำให้เราพัฒนาการและค่อยๆ คิดตามสิ่งที่คุณทอมให้ไปเรื่อยๆ เช่น จงเชื่อมั่นในพลังของความฝัน และเวลาทำฝันที่ยิ่งใหญ่เงินไม่ใช่ความหมายนะ ความตั้งใจที่แท้จริงในใจคุณคือสิ่งที่จะทำให้คุณทำได้สำเร็จ ไม่ใช่เงิน เงินเป็นเพียงตัวประกอบ

ตอนแรกเราไม่เคยเชื่อ เราเชื่อว่าเอาเงินไปตั้งแล้วทำอะไรได้ เอาเงินไปซื้อแล้วเราได้ของ นั่งคำนวณดูการเดินทางรอบโลก 3 ปีกว่า เราต้องใช้จ่าย 4-5 ล้านบาท คุณทอมบอกไม่ใช่ คุณมีเงิน 3-5 แสน คุณออกไปเลย จำได้มั้ยฝันที่ยิ่งใหญ่จะมีคนเข้ามาช่วย ทีแรกไม่เชื่อแต่พอเราเดินทางมาพบว่ามันเป็นความจริงทั้งนั้นเลย เพราะเมื่อเรากล้าเผชิญ กล้าที่จะลงมือทำความฝัน เราจะอยู่บนโลกนี้โดยเสรี”

วรรณเล่าเสริมว่าช่วงระหว่างปรับตัวนั้นหมูมีคำถามเต็มไปหมด “เราจะเอาเงินที่ไหนไป เราไม่ใช่คนรวย แล้วไปทำงี้มันจะทำได้เหรอมันยากนะ ถ้าป่วยจะทำไง” เธอเล่าว่า ทอม ที่ปรึกษาของพวกเขา ตอบอย่างเรียบง่าย “อย่าเพิ่งกลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น สิ่งที่รออยู่ข้างหน้า เราค่อยๆ วางแผนและทำไปอย่างช้าๆ” ทุกข้อความค่อยๆ ตกตะกอนในใจหมู และในที่สุดพวกเขาก็พร้อมออกเดินทาง

“เงินแทบไม่มี” แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา

การมีที่ปรึกษาที่ดีรวมถึงใจที่มุ่งมั่นทำให้คู่รักคู่นี้ได้ออกเดินทางตามฝัน แต่ก่อนที่จะเริ่มเดินทางนั้นก็ต้องเตรียมตัวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาเส้นทางอย่างละเอียดกว่า 3 เดือน เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม ทั้งจักรยาน เต็นท์ เสื้อผ้า กล้อง การขอวีซ่ากว่า 43 ประเทศ รวมถึงฉีดวัคซีนกันอีกคนละ 20 เข็ม เรียกว่าถ้าเป้าหมายไม่ชัดเจนก็อาจจะถอดใจตั้งแต่การเตรียมตัวแล้ว

การเดินทางรอบโลกของคู่รักนักปั่นคู่นี้ยังใช้เวลากว่า 6 ปี โดยใช้เงินไปเพียง 2 ล้านบาท ซึ่งถือว่าถูกมากๆ แถมตอนเริ่มออกเดินทางนั้น พวกเขาก็มีเงินตั้งต้นไม่ถึง 1 ล้านบาทเสียด้วยซ้ำ แต่พวกเขาก็สามารถเดินทางได้จนจบทริปได้ มันเป็นไปได้ยังไงกัน?

หากยังจำประโยคนี้กันได้ “ฝันที่ยิ่งใหญ่จะมีคนเข้ามาช่วย” แม้ว่าจะมีคนจำนวนมาก ทั้งครอบครัวและเพื่อนๆ ที่ไม่เห็นด้วยกับการเดินทางครั้งนี้ ผู้สนับสนุนหลายที่ก็คิดว่ามาขอสปอนเซอร์เพราะอยากดัง แต่เมื่อพวกเขายืนหยัดในเป้าหมาย ก็มีคนมากมายให้การสนับสนุน

“ได้สปอนเซอร์ เสื้อกันหนาว เต็นท์นอน เงินสนับสนุนจากที่ต่างๆ” วรรณเล่า ก่อนที่หมูจะเสริมว่า “พอมีคนรู้ถึงความฝัน ระหว่างปั่นจากกรุงเทพจนสุดชายแดนเนี่ย ไม่ได้ใช้เงินเลย ไม่ได้ใช้เงินแถมได้เพื่อน” พวกเขาเล่าด้วยความประทับใจ

นอกจากได้รับการสนับสนุนแล้ว ก็ต้องประกอบกับการใช้ชีวิตอย่างประหยัดด้วย “ไปนอนตามโรงพยาบาล ใช้ชีวิตประหยัดมาก กางเต็นท์นอน ตามป้อมยาม สถานที่ราชการ” จนเมื่อเริ่มออกนอกประเทศ การผจญภัยก็เข้มข้นขึ้นด้วยต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม พวกเขาได้เรียนรู้และพบเจออะไรมากมายระหว่างทางเหล่านั้น โดยเฉพาะค้นพบความหมายของคำว่า “มิตรภาพ”

เหตุการณ์นึงที่ทั้งคู่ประทับใจมากคือการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากเพื่อนมนุษย์ที่ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อระหว่างที่นั่งเรือข้ามเกาะมีชายคนหนึ่งเข้ามาคุยด้วย วรรณเริ่มเล่า “พอเห็นพวกเรา เค้าบอกว่านึกถึงภาพในอดีตที่เค้ากับแฟนปั่นจักรยานทั่วอินโดนีเซียตามเกาะต่างๆ เค้าบอกอยากดูแลพวกเราที่เกาะบาหลี จะจองที่พักไว้ให้แล้วให้เบอร์โทรไว้ ถ้าไปถึงที่พักเมื่อไหร่ให้โทรหาเค้า เค้าจะมาต้อนรับ”

“พอเค้าบอกแบบนี้ใจนึงเราไม่เชื่อ แต่อีกใจเราต้องเชื่อในเพื่อนมนุษย์ และเราก็เชื่อว่าเค้าจะทำตามที่พูดได้หรือไม่เรื่องของเค้า แต่เราลองเชื่อ พอไปถึงปรากฏมีที่พักจองไว้ให้จริง” หมูกล่าวเสริมด้วยความประทับใจ บ้านพักที่จองไว้ให้เป็นบ้านส่วนตัวสไตล์บาหลีอย่างหรู เมื่อมารู้ตอนหลังว่าครอบครัวเขาไม่ได้ร่ำรวย แต่ก็ยังมีใจที่ช่วยคู่รักคู่นี้

“เค้าดีมาก เค้ามีลูกยังเล็กๆ แต่เค้ายังมีใจที่จะช่วย เค้ารู้ว่าสภาพการเดินทางด้วยจักรยานแบบนี้มันเหนื่อยขนาดไหน แล้วมันเป็นความทรงจำของเค้า เค้าขับมอเตอร์ไซค์ 5 นาทีก็ถึงบ้านแล้ว แต่เราต้องไปอีกตั้งหลายปีกว่าจะกลับมาถึงบ้าน เค้าก็เลยอยากจะดูแล” วรรณพูดด้วยความซาบซึ้งใจ

ไม่ใช่แค่ที่ไทย หรืออินโดนีเซียที่พวกเขาได้รับน้ำใจและมิตรภาพดีๆ แต่ทั้งโลกถูกร้อยเรียงด้วยเรื่องราวแบบนี้เป็นร้อยๆ พันๆ เหตุการณ์ และเมื่อได้รับน้ำใจมากมาย เงินที่ต้องใช้ก็ลดลง “พอคนเห็นสองคนนี้อยู่ในทะเลทราย คนก็ไขกระจก หยิบองุ่นพวงโตมาให้บอกกินเถอะ หนึ่ง อาหารได้กิน สอง ได้เพื่อนได้มิตรภาพ” เรื่องราวเหล่านี้บวกกับการใช้อย่างประหยัด เท่านี้ก็เหลือเฟือที่จะปั่นรอบโลกแล้ว

ทริปจบ แต่ต่อยอดไม่รู้จบ

หลังจากกลับจากทริปในปี 2550 วรรณและหมูไปนั่งทบทวนถึงสิ่งที่ผ่านมาและกลั่นกรองเป็นสิ่งที่จะทำต่อจากนี้ไป “เราไปนั่งอยู่ซาปา เวียดนามเดือนนึง ไปทบทวนกันสองคนว่า 5 ปี 10 กว่าเดือนเนี่ย เราอยากเอาอะไรไปฝากคนไทย เรามานั่งตรึกตรองตั้งสติอยู่ 1 เดือนว่าเราจะทำอะไรบ้างหลังจากที่เรากลับมาถึงเมืองไทย ก็คิดไว้ 20 อย่างเลย

หนึ่งจะไปบรรยายสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนตามที่พี่ตั้งใจ สอง ถ่ายทอดประสบการณ์ผ่านหนังสือ “ปั่นข้ามฝัน 2000 วันรอบโลก” ก็ทำไปทีละอย่าง ซึ่งตอนนี้ก็ยังทำไม่หมด ค่อยๆ ทำไป”

นอกจากหนังสือปั่นข้ามฝัน 2000 วันรอบโลก การได้ไปบรรยายสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนมากมายแล้ว พวกเขายังออกหนังสือภาพชื่อ “Bicycle Wind” ที่ส่งผ่านเรื่องราว ความประทับใจในการเดินทางรอบโลกผ่านภาพถ่ายของหมูอีกด้วย ไม่ง่ายเลยที่จะหาหนังสือภาพสักเล่ม ซึ่งสามารถรวบรวมภาพถ่ายจากทั่วโลกได้แบบนี้ หนังสือเล่มนี้สามารถหาซื้อได้ที่เอเชียบุ๊ค คิโนะคุนิยะ และ bicyclewind.com

และแม้ทริปปั่นรอบโลกของพวกเขาจะจบลงไปแล้ว แต่แรงบันดาลใจของทั้งคู่ไม่เคยจบ วรรณและหมูยังมีโปรเจ็คเกี่ยวกับจักรยานอีกมากมาย ล่าสุดเมื่อ 17-18 มกราคม 2558 ก็เพิ่งมีการจัด “Bicycle Wind Camp” ที่ชวนผู้คนมาปั่นจักรยาน พูดคุยเรื่องความฝัน ดื่มด่ำกับธรรมชาติและนอนดูดาวไปด้วยกันที่ “ไร่บ่มสุข” อำเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยาว์ ซึ่งเป็นไร่ของพวกเขาเอง

แถมในอนาคตยังมีโครงการทำแผนที่เส้นทางจักรยานให้คนทุกกลุ่มได้สัมผัสความสุขบนหลังอานได้ในแบบของตัวเองอีกด้วย เพราะไม่ว่าคุณจะปั่นแบบครอบครัว ปั่นสบายๆ หรือปั่นวิบากก็สามารถเลือกเส้นทางการปั่นที่เหมาะกับตัวเองได้ ทีนี้พอจะเห็นแล้วใช่ไหมว่า ทุกความฝันมันไปต่อได้จริงๆ

สิ่งดีๆ จากการเดินทาง

ดูเผินๆ อาจคิดว่าทั้งคู่ชอบเดินทาง ชอบปั่นจักรยานเหมือนกัน คงมีอะไรที่คล้ายกันไปหมด แต่ในความเหมือนย่อมมีความต่าง วรรณมีเป้าหมายที่ชัดเจน มุ่งมั่น และบริหารจัดการได้ดี ส่วนหมูก็มีทักษะการใช้ชีวิตที่เก่งมาก เขามีจิตวิญญาณของนักเดินทางเต็มเปี่ยม ทั้งยังเก็บรายละเอียดต่างๆ ได้อย่างยอดเยี่ยม ความแตกต่างอย่างลงตัวนี้เอง เป็นส่วนผสมที่ทำให้การเดินทางครั้งนี้ของทั้งสองสำเร็จอย่างงดงาม

“ความยากที่สุดคือการไปเป็นคู่นี่แหละครับ เพราะว่าไปแล้วมันทะเลาะกัน มันอยู่ด้วยกัน มันต้องแก้ปัญหาด้วยกันตลอดเวลา แต่ถ้าเราเลยเส้นนั้นไปได้ แล้วก็จะจัดการงานยากๆ ได้มากขึ้น เพราะเราเอาความต่างมาช่วยกัน ถ้าเรารอแต่คนที่คิดเหมือน ทำเหมือน มันได้แค่เรื่องด้านเดียว” หมูกล่าว

เมื่อถามถึงสิ่งดีๆ ที่ได้จากการเดินทางครั้งนี้ หมูเล่าพร้อมน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสุข “6 ปีที่อยู่บนอานจักรยานตรงนั้น รู้สึกมีความสุขมากที่สุด ไม่เคยมีความรู้สึกแบบนั้นมาก่อน แล้วก็รู้สึกเป็นบุญมากที่ได้เห็นเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกอย่างแท้จริง เพราะถ้าเค้ามาเที่ยวบ้านเราเราจะไม่ได้เห็นเค้าแบบนั้น เค้าจะเห็นเราต่างหาก

แต่เรามีโอกาสได้ไปเห็นไปรู้เรื่องอาชีพความเป็นอยู่ ได้ไปเห็นชนบทของฝรั่ง มีชนบทมีคนรวยคนจน มีคนดีไม่ดี แต่ทั้งโลกนี้นะครับ 99.99% เป็นคนดี แล้วก็ใจดี ใจดีต่างมุมกันไป”

สำหรับวรรณ เธอเล่าว่าการเดินทางครั้งนั้นเหมือนการฝึกสติ “ได้ฝึกสติ ซึ่งการฝึกสติทำให้เราได้ชีวิตใหม่ที่เติมเต็มทุกๆ ส่วนของชีวิตที่เราไม่เคยมี ได้ไปกอดได้ไปรักคนทั่วโลก และที่สำคัญคือได้ไปกับคนที่เรารัก คือคู่ชีวิต ที่เราได้เติมเต็มความรักและเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ได้เป็นคู่ชีวิตที่สมบูรณ์ ได้เรียนรู้โลกกว้างอย่างช้าๆ และมีความสุข

ที่สำคัญคือได้ส่งต่อสิ่งที่ได้เรียนรู้จากโลกกว้างให้คนรุ่นหลัง เยาวชนไทย คนทั่วไป ได้ส่งต่อแรงบันดาลใจให้หลายๆ คนได้ฝันเร็วขึ้น ได้มีตัวอย่างที่สวยงามให้มีข้อคิดที่ดีให้กับเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกที่จะได้ทำสิ่งดีๆให้กับโลกใบนี้ต่อไป”

“ขอให้เริ่มต้นทำความฝัน” คือสิ่งคู่รักคู่นี้ฝากไว้ การมีที่ปรึกษาที่ดี โฟกัสที่เป้าหมาย วางแผนเพื่อให้ไปถึงสิ่งนั้น และลงมือทำอย่างมีวินัย สิ่งเหล่านี้จะทำให้ความฝันของเราเป็นจริงได้ ไม่ว่าความฝันจะยิ่งใหญ่เพียงใดก็ตาม สำหรับใครที่อยากติดตามทั้งคู่สามารถเข้าไปได้ที่ เฟสบุ๊ค thaibikeworld แฟนเพจWan Mou Yenta และที่ Bicyclewind.com

ขอบคุณภาพจาก ปัญญาพัฒน์ เข็มราช และเจริญ-อรวรรณ โอทอง


กำลังโหลดความคิดเห็น