ASTVผู้จัดการรายวัน /เอพี/เอเจนซีส์ - สื่อนอกตีข่าวการบินไทยระส่ำหนัก ขาดทุนบักโกรก อาจต้องเผชิญภาวะล้มละลาย “ประยุทธ์” ประกาศชัดอุ้มสายการบินแห่งชาติเต็มที่ ไม่ปล่อยให้ล้มละลายแน่ แต่ต้องยกเครื่องใหญ่เข้าสู่แผนฟื้นฟู ตัดขายเครื่องบินออก โละพนักงานขนานใหญ่ ยกเลิกเส้นทางเที่ยวบินที่ไม่คุ้ม ด้าน "ประจิน" สั่งทำแผนรายละเอียดลดลงทุนธุรกิจ Non-Core และปลดพนักงาน
บริษัทสายการบินแห่งชาติไทยแอร์เวย์ที่มีรัฐบาลไทยเป็นเจ้าของ ต้องประสบปัญหาการขาดทุนต่อเนื่องสะสมมาร่วม 2 ปีจากปัญหาสภาพอุตสาหกรรมการบินที่มีการแข่งขันสูงจากสายการบินต้นทุนต่ำ และปัญหาการบริหารขององค์กาทีไม่มีประสิทธิภาพ โดยมีรายงานตัวเลขขาดทุนในปี 2013 ร่วม 368 ล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะใน 9 เดือนแรกของปี 2014 การบินไทยขาดทุนไปแล้วถึง 282 ล้านดอลลาร์
์
บริหารขององค์การจขาประเทสผจำนวนมาก เมื่อวานนี้(26) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรียอมรับสภาพที่เตรียมล้มละลายของบริษัทสายการบินแห่งชาติ ว่าเป็นความจริง แต่อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ชี้ว่า ในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรี จะไม่ยอมให้สายการบินแห่งชาตินี้ที่ก่อตั้งมานานต้องประสบปัญหาหนีสินจนถึงกับต้องล้มละลายไป โดยยอมรับว่า ทางรัฐบาลไทยจะเข้าไปช่วยเหลือทางการเงิน โดยที่ผ่านมาทางรัฐบาลได้หาหนทางเพื่อช่วยเหลือ และล่าสุดได้อนุมัติแผนฟื้นฟูที่เสนอโดยบริษัทการบินไทย
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีไทยยอมรับว่า บริษัทการบินไทยต้องตัดรายจ่าย เพิ่มรายได้ รวมไปถึงยกเลิกเส้นทางการบินที่ไม่ทำกำไร รวมไปถึงต้องขายเครื่องบินที่ไม่ได้ใช้ โดยพบว่า ที่ผ่านมาบริษัทการบินไทยได้ทำการยกเครื่องฝูงบินใหม่โดยมีแผนสั่งซื้อเครื่องบินมาตลอดใน 4 ปีที่ผ่านมา และยังคงมีสัญญาการรับเครื่องบินใหม่ต่อเนื่องยาวไปจนถึงปี 2018 ที่คาดว่าจะมีจำนวนเครื่องบินใหม่ทั้งหมดถึง 62 ลำ ภายในปี 2018 และอาจเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้บริษัทมีตัวเลขขาดทุนหนักในกรณีของการบินไทย
เอพีรายงานเมื่อวานนี้(26)ว่า คำให้สัมภาษณ์ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีขึ้นหลังจากก่อนหน้านี้มีการคาดการณ์ว่า จะมีการประกาศแถลงการณ์ล้มละลายของบริษัทไทย์แอร์เวย์ออกมาภายในสัปดาห์นี้
เบื้องต้น บริษัทการบินไทยออกแถลงการณ์ว่า จะทำการปรับลดการขาดทุนโดยการยกเลิกเส้นทางการบินที่ไม่ทำกำไร โดยวอลสตรีทเจอร์นัลรายงานเพิ่มเติมว่า คาดว่าจะยกเลิก 1 ใน 10 ของเส้นทางทั้งหมดที่สายการบินได้ทำการบินอยู่ในขณะนี้ และเสริมเพิ่มรายได้ในเส้นทางการบินที่สามารถสร้างผลกำไร
“แผนฟื้นฟูนี้จะทำให้บริษัทสามารถกลับมาทำกำไรในระยะยาวอีกครั้ง และจะทำให้เป็นความภาคภูมิใจของประเทศได้” กรรมการผู้อำนวยการใหญ่การบินไทย จรัมพร โชติกเสถียร แถลง
อย่างไรก็ตาม ดีดีการบินไทย จรัมพร เผยกับวอลสตรีทเจอร์นัลว่า แผนฟื้นฟูยังไม่รวมไปถึง “การเลิกจ้างพนักงาน” แต่บริษัทอาจต้องขายทรัพย์สินบางส่วนของบริษัทออกไป เช่น ตึกสำนักงาน ส่วนในเส้นทางที่คาดว่าจะทำการยกเลิกบินยังไม่เปิดเผย โดยเปิดเผยเพียงว่า แผนฟื้นฟูนี้จะเป็นการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ของบริษัท
เป็นที่น่าสนใจว่า การเลิกจ้างพนักงานที่ถือเป็นตัวเลือกต้นๆในการลดค่าใช้จ่ายยังไม่ได้ถูกรวมไว้ เมื่อพิจารณาถึงต้นทุนต่อเที่ยวบินของการบินไทย ทั้งนี้พบว่า ในเที่ยวบิน 5 ชม.ของบางเส้นทาง การบินไทยมีพนักงานต้อนรับบนเครื่องอย่างน้อย 6 คน เมื่อเทียบกับสายการบินต่างชาติที่บินในเส้นทาง 12 ชม. กลับใช้จำนวนพนักงานต้อนรับจำนวนที่ต่ำกว่า และประกอบกับที่ผ่านมา ในรอบ 4 ปีล่าสุดสายการบินไทยเปิดตัวฝูงบินใหม่เข้าประจำการที่มีเครื่องบินจำนวนมากถึง 40 ลำ และยังมีกำหนดเตรียมรับมอบเครื่องบินใหม่เพิ่มอีก 22 ลำตั้งแต่ปี 2015 ไปจนถึงปี 2018
ด้านนักวิเคราะห์แห่งบัวหลวงซีคิวริตีเปิดเผยว่า เมื่อดูจากแผนฟื้นฟูที่เสนอโดยบริษัทการบินไทย โดยเฉพาะเมื่อมองไปที่ข้อเสนอยกเลิกเส้นทางเที่ยวบินที่ขาดทุน คาดว่าจะสามารถทำให้บริษัทการบินไทยฟื้นตัวไตรมาสต่อเนื่องจากการขาดทุนได้ อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์ให้ความเห็นว่า แต่กระนั้นคาดการณ์ว่าทางการบินไทยจะสามารถมีผลประกอบการเป็นบวกได้อีกครั้งก็ต่อเมื่อปี 2017 ไปแล้ว
เหตุการณ์ครั้งนี้คล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับสายการบินแห่งชาติมาเลเซีย มาเลเซียแอร์ไลน์สที่ต้องถูกรัฐบาลมาเลเซียประกาศเข้าเทกโอเวอร์ในเดือนสิงหาคม 2014 โดยคาซานาห์ แนชันแนล (Khazanah Nasional) กองทุนรัฐบาลมาเลเซียได้เข้าซื้อกิจการหลังจากบริษัทประสบปัญหาอย่างหนักหลังวิกฤต MH370 และ MH17 ซึ่งในครั้งนั้นมีการระบุถึงปัญหาการเข้าโอบอุ้มกิจการบริษัทซึ่งไม่ต่างจากปัญหาของการบินไทยมากนักคือ ปัญหาหนี้ก้อนใหญ่ของสายการบินแห่งนี้ที่สะสมมาตั้งแต่ปี 2002 มีสูงถึง 4 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากปัญหาบินในเส้นทางที่ไม่สามารถทำกำไรและมีจำนวนพนักงานมากเกินไป และเนื่องจากมาเลเซียแอร์ไลน์สเป็นสายการบินประจำชาติ จึงข้อกำหนดให้ทางบริษัทต้องบินภายในประเทศในเส้นทางที่ไม่สามารถทำกำไรได้ ประกอบกับมีสหภาพแรงงานพนักงานที่เข้มแข็งที่ต่อต้านการปฏิรูปโครงสร้างของบริษัท ในขณะที่สายการบินคู่แข่ง เช่น แอร์เอเชียเติบโตอย่างรวดเร็ว
***“ประจิน”สั่งการบินไทยทำรายละเอียด
พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงกรณีที่ผู้บริหารบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ระบุว่าตามแผนปฎิรูปองค์กรนั้น บริษัทจะต้องเร่งดำเนินการในเรื่อง การปรับลดเที่ยวบินลงโดยเฉพาะเส้นทางที่เกิดความขาดทุนและมีผู้โดยสารเดินทางปริมาณน้อยลง การขายทรัพย์สินและปลดระวางเครื่องบิน 22 ลำออกจากฝูงบิน รวมถึงการเร่งแผนด้านการตลาด การปรับโครงสร้าง และพัฒนากิจการที่ไม่ใช่ภารกิจหลักของการบินไทย (Non-Core) เช่น กิจการโรงแรม กิจการขนส่งน้ำมัน นั้น ที่ผ่านมา การบินไทยยังไม่ได้นำเสนอรายละเอียดดังกล่าว ซึ่งการบินไทยจะต้อง ศึกษารายละเอียดก่อนจึงจะสรุปได้ ซึ่งยอมรับว่า มาตรการดังกล่าวเป็นกลยุทธ์ที่ต้องเร่งดำเนินการ
***ลดธุรกิจ Non-Core -ปลดพนักงาน
“หลักการพิจารณาเกี่ยวกับธุรกิจ Non-Coreนั้น จะต้องดูว่า การลงทุนอะไรบ้างที่ไม่เกิดประโยชน์หรือไม่ทำให้เกิดผลกำไร หากพิจารณาแล้วว่าไม่เกิดประโยชน์ก็ต้องขายหุ้นในส่วนนั้นออกไป ซึ่งในส่วนของโรงแรมโนโวเทลสุวรรณภูมิ ต้องพิจารณาว่าจะต้องให้บริการผู้โดยสารควบคู่กับการให้บริการด้านการบินหรือไม่ ส่วนกิจการขนส่งน้ำมันก็เช่นกันจะต้องพิจารณาด้วยว่าสายการบินมีความจำเป็นมากน้อยเพียงใด ส่วนการขายหุ้นสายการบินนกแอร์ ที่บินไทย มีถือหุ้นอยู่ 39% นั้น เป็นอำนาจของคณะกรรมการ (บอร์ด) ต้องพิจารณาความเหมาะสม"พล.อ.อ.ประจินกล่าว
ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวออกมาว่าจะมีการยุบสายการบินไทยสมายล์นั้น พล.อ.อ.ประจิน กล่าวว่า ไม่มีแนวความคิดจะยุบดังกล่าว แต่จะต้องปรับยุทธ์ศาสตร์เส้นทางการบินให้มีความชัดเจน เพื่อเพิ่มการแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดการบิน ซึ่งสายการบินไทยสมายล์จะต้องทำหน้าที่ ให้บริการเส้นทางบินในประเทศ โดยการทำหน้าที่เชื่อมเที่ยวบินมาสู่การบินไทย
พล.อ.อ.ประจินกล่าวว่า กรณีที่ต้องมีการปรับลดพนักงานออก 5,000 คนนั้น ที่ผ่านมาได้มีการประเมินจากสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บริษัท การบินไทย ว่า อัตราการให้บริการของฝูงบินจำนวน 100 เครื่องนั้น จำเป็นต้องมีพนักงานประมาณ 16,000 -18,000 คน ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนพนักงาน 25,000 คน ทั้งนี้ การปรับลดพนักงานดังกล่าวนั้น ตัวเลขจริงอาจจะไม่ถึง 5,000 คนซึ่งการจะปรับลดอัตราพนักงานเท่าไรนั้น จะต้องทำการศึกษารายละเอียดอีกครั้งก่อนตัดสินใจ.