xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

อหังการ “สมีเกษม” ยึดป่า-ตบพระชินราชจำลอง-ตุ๋ยศิษย์-ขยี้คำสั่งสงฆ์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

 เมื่อครั้งครองผ้าเหลือง ก็มีการอวดอุตริมากมาย  ที่ไม่เหมาะสม
ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -อื้อฉาวได้แบบซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า!! น่าจะเป็นคำจำกัดความสำหรับพฤติกรรมของ “สมีเกษม” หรือนายเกษม ดวงแพงมาต หรืออดีตพระเกษม อาจิณณสีโล เจ้าสำนักที่พักสงฆ์ห้วยผึ้ง หรือที่พักสงฆ์ป่าสามแยก ต.วังกวาง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์และวันนี้เขายังคงยืนอยู่กลางป่าน้ำหนาว ท้าทายจารีต กฎหมายบ้านเมือง รวมถึงความเชื่อแห่งพุทธ

“สมีเกษม” ที่เคยบวชเป็นพระ ที่วัดไชยาราม ต.เชียงพิณ อ.เมืองอุดรธานี ตกเป็นข่าวครึกโครมหลายครั้งหลายครา โดยเฉพาะห้วงที่ครองสมณเพศแล้วเข้ามาจำพรรษา และเป็นเจ้าสำนักที่พักสงฆ์ห้วยผึ้ง หรือที่พักสงฆ์ป่าสวมแยก ซึ่งสร้างเมื่อปี 2538 ตั้งอยู่ที่หมู่ 6 ต.วังกวาง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าน้ำหนาว และเป็นพื้นที่ปลูกป่า ปี 2540 ตามโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติฯ แปลง FBT 25/2 ร่วมโครงการอนุรักษ์และพื้นฟูป่าไม้ร่วมกับพระสงฆ์ตามมติครม. 38 เมื่อ 2 ธ.ค.2552 เนื้อที่ 100 ไร่

ที่โด่งดัง และถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก จนถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาลกัน ก็คือ ราวเดือนกรกฎาคม 2551 “สมีเกษม”นำแผ่นป้ายข้อความว่า "ทองเหลืองหล่อนี้ ไม่ใช่พระพุทธเจ้าแน่ ไม่ต้องกราบมัน" ไปติดไว้ที่ฐานองค์พระพุทธชินราชจำลอง พระคู่บ้านคู่เมืองพิษณุโลก ที่ประดิษฐานอยู่บนศาลาในบริเวณสำนักสงฆ์ ทั้งยังใช้เท้าเหยียบฐาน และใช้มือตบพระพักตร์อีก

พฤติกรรมสมีเกษม คราวนั้นทำให้ชาวพุทธทั่วประเทศสะเทือนใจกันทั่วหน้า กระทั่งคนพิษณุโลก และเพชรบูรณ์ พากันเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.น้ำหนาว ให้ดำเนินคดีกับพระเกษม ฐานลบหลู่และเหยียดหยามพระพุทธชินราชจำลอง ก่อนที่ “กลุ่มคนรักพิษณุโลก” พร้อมนายก อบจ.ในขณะนั้น จะรวมตัวกันไปทวงคืนองค์พระพุทธชินราชฯ ดังกล่าวคืน

คดีดังกล่าวแม้ศาลชั้นต้นยกฟ้อง เพราะเชื่อว่า อดีตพระเกษม ไม่มีเจตนากระทำแก่วัตถุอันเป็นที่เคารพในทางศาสนาอันเป็นการเหยียดหยามศาสนา แต่ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ ว่า อดีตพระเกษม มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 206 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ให้จำคุกกระทงละ 1 ปี และปรับกระทงละ10,000 บาท รวม 2 กระทง จำคุก 2 ปี และปรับ 20,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56

ขณะเดียวกัน ผอ.สำนักพุทธศาสนาจังหวัดเพชรบูรณ์และคำสั่งคณะสงฆ์จังหวัดเพชรบูรณ์ (ธรรมยุต) ที่ จจ.09//2551 อาศัยอำนาจตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 23(ปี2541) ว่าด้วยระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ มีคำสั่งให้พระเกษม และพระภิกษุที่พำนักอยู่ ณ ที่พักสงฆ์ป่าสามแยก ต.วังกวาง ออกจากพื้นที่การปกครองคณะสงฆ์ และกลับคืนต้นสังกัดเดิม คือ คณะสงฆ์จังหวัดอุดรธานี ภายใน 7 สิงหาคม 2551

ต่อมาก็มีคำวินิจฉัยเจ้าคณะอำเภอเมืองอุดรธานี (ธ) ที่ 1/2554 ให้ พระเกษม อาจิณณสีโล สละสมณเพศ เพราะได้ประพฤติตนไม่สมควรแก่สมณวิสัย ไม่อยู่ในทางของบรรพชิต ตามพระธรรมวินัย เผยแผ่คำสอนขัดต่อหลักพุทธพิธี โดยไม่ให้กราบไหว้พระพุทธรูป เป็นที่สะเทือนของชาวพุทธ ห้ามปราม แล้วไม่ฟัง ไม่เคารพยำเกรง อีกทั้งยังแสดงอาการใช้เท้าวางโต๊ะอาหารสำรับอาหารเช้าและเตะถีบโต๊ะเก้าอี้ ใช้คำพูดที่รุนแรง เป็นโทษแก่ตนเองและหมู่คณะ เที่ยวเร่ร่อน ไม่มีวัดเป็นที่อยู่พำนักอาศัย แม้ต้นสังกัดเรียกกลับแล้ว ไม่ยอมกลับ

แต่อดีตพระเกษม กลับเพิกเฉย ไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง

ไม่เพียงเท่านั้นสิงหาคม 2554 อดีตพระเกษม กลับแสดงพฤติกรรมท้าทายวิถีแห่งสมณเพศอีก

คราวนั้น “สมีเกษม” ที่ยังครองผ้าเหลือง ได้แสดงอาการเตะถีบโต๊ะเก้าอี้ พร้อมพูดจาหยาบคายในเวลาฉันท์เช้าบริเวณโรงอาหาร ที่มีพระสงฆ์ 3-4 รูป กำลังเดินตักอาหารบนโต๊ะกลางที่ตั้งไว้ในศาลา มีญาติโยมนั่งอยู่ด้วยจำนวนหนึ่ง และนำคลิปที่มีการถ่ายไว้โพสต์เผยแพร่ผ่านโลกโซเชียลมีเดียด้วยตนเอง เพื่อตอบโต้พระชั้นผู้ใหญ่ และกระแสวิพากษ์วิจารณ์

อดีตพระเกษม เอะอะโวยวายทำนองว่า “อย่าเสียงดังพวกสัตว์นรก” จากนั้นได้มีการเตะถีบโต๊ะ เก้าอี้ และพูดว่า “ทุเรศ กูไม่อยากให้ใครมาวัดกู แต่กูจำเป็น” ทั้งยังเตะข้าวของ และอาหารของพระภิกษุด้วยกันจนล้มระเนระนาด โดยไม่สนพระภิกษุรูปอื่นที่กำลังตักอาหารแต่อย่างใด แถมใช้คำพูดที่หยาบคายในขณะที่เทศนาต่อหน้าพระภิกษุ และแม่ชี และยกเท้าชี้หน้าใส่ต่อประชาชนที่มาเฝ้าถวายอาหาร โดยที่ญาตินั่งเงียบ แต่ไม่แสดงอาการใดๆ

“ใครว่า จะมาจับ ก็จับได้เลย” เป็นคำท้าทายที่เกิดขึ้นครานั้น

นอกจากนั้น ยังมีการท้าดวลไมค์ กับ หลวงปู่พุทธะอิสระ มาแล้ว

ขณะเดียวกัน อดีตพระเกษม ยังถูกตั้งข้อสงสัยว่า อยู่เบื้องหลังการซื้อขายที่ดิน ภบท.5 เพื่อสร้างลาน ฮ.บริเวณหมู่ 6ต.วังกวาง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ เนื้อที่ 1-1-44 ไร่ ครั้งนั้นเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้แจ้งจับลูกศิษย์ชื่อนายธรรมรัตน์ ถวิล เนื่องจากรับสมอ้างแทนอีกด้วย

กระทั่งล่าสุด “สมีเกษม” ก็ก่อเหตุเสพเมถุนกับพระลูกวัด - ลูกศิษย์ใกล้ชิด คาผ้าเหลือง นับสิบๆ ครั้ง ตั้งแต่ปลายปี 2556 เป็นต้นมา โดยอ้างว่า ไม่รู้ตัว และลองวิชา ก่อนจะถูกกดดันจนเปล่งวาจาลาสิกขาบทเอง เมื่อเวลาประมาณ 01.00 น.วันที่ 18 มกราคม 2558 ที่ผ่านมา

แต่เขายังคงยืนยันที่จะพักอาศัยอยู่ในสำนักที่พักสงฆ์ห้วยผึ้ง หรือที่พักสงฆ์ป่าสามแยก เผยแผ่คำสอนของเขาเองต่อไป

แม้ว่าล่าสุด (21 ม.ค.) คณะสงฆ์จังหวัดเพชรบูรณ์(ธรรมยุต) จะมีมติชัดเจนห้าม “สมีเกษม” บวชใหม่อีก และให้ฝ่ายบ้านเมืองดำเนินการกับที่พักสงฆ์แห่งนี้ตามระเบียบข้อกฎหมายต่อไปก็ตาม

แต่ถึงนาทีนี้ “สมีเกษม - สำนักที่พักสงฆ์ห้วยผึ้ง” ยังคงตั้งตระหง่านบนพื้นที่นับร้อยไร่กลางป่าน้ำหนาวอยู่เช่นเดิม

ท่ามกลางกระแสข่าวการเกิดลัทธิใหม่ ที่อาจสั่นสะเทือนต่อบวรพระพุทธศาสนาอีกครั้ง!!


สมีเกษม ในวันที่หลุดจากผ้าเหลือง และกำลังโดนคดีความมากมายรุมเร้า
เจ้าหน้าที่ตรวจสอบการสร้างลานเฮลิคอปเตอร์ ที่สมีเกษม มีส่วนพัวพันรุกป่า

กำลังโหลดความคิดเห็น