xs
xsm
sm
md
lg

“พระเกษม” ยอมสึกอ้างสำนึกได้ว่าปาราชิก เพราะเข้าฌานสมาธิไม่ได้ หลังตุ๋ยพระลูกวัด-ศิษย์นับสิบครั้ง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการออนไลน์ - “พระเกษม” ยอมสึก อ้างเพราะสำนึกได้ว่าปาราชิก เหตุเข้าฌานสมาธิไม่ได้ หลังตุ๋ยพระลูกวัด-ศิษย์เพราะลองวิชา-ไม่รู้ตัว แต่กลับรับทำมาเป็นสิบครั้ง บอกขอแต่งขาวอยู่วัดต่อ ยันถ้ามีเมียขอเป็นหญิง ยันไม่ชอบไม้ป่าเดียวกัน ด้านคดีเหยียดหยามวัตถุทางศาสนาครั้งเหยียบฐานพระพุทธชินราชจำลอง ใช้มือตบพระพักตร์ ศาลอุทธรณ์สั่งจำคุก 2 ปี แต่ให้รอลงอาญา

เมื่อเวลา 01.00 น. วันนี้ (18 ม.ค.) พระเกษม อาจิณณสีโล เจ้าสำนักสงฆ์ป่าสามแยก ต.วังกวาง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ ได้ลาสิกขาแล้ว โดยกล่าวกับลูกศิษย์ว่า พยายามเข้าฌานสมาธิตั้งแต่เมื่อคืนแต่ไม่สามารถเข้าได้ จึงสำนึกว่าตนได้ปาราชิก และขอสึกจากความเป็นพระ แต่ยังขอถือศีล 8 นุ่งขาวห่มขาว ปฏิบัติธรรมอยู่ที่สำนักสงฆ์ต่อไปในชื่อนายเกษม ดวงแพงมาต

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 16 ม.ค. คณะศิษย์และพระลูกวัดสำนักสงฆ์ป่าสามแยกได้ร่วมประชุมเพื่อเปิดการไต่สวนอดีตพระเกษม หลังถูกกล่าวหาว่าเสพเมถุนกับลูกศิษย์หนุ่มใกล้ชิด ซึ่งอดีตพระเกษมยอมรับว่ามีเพศสัมพันธ์กับลูกศิษย์ชายรายนี้ขณะไปรับกิจนิมนต์ที่กรุงเทพฯ แต่ทำไปโดยไม่รู้สึกตัว มาทราบภายหลังก็มีเพศสัมพันธ์กันแล้ว ทำให้ลูกศิษย์ถึงกับตกตะลึง บางส่วนรับไม่ได้ถึงขั้นประกาศผ่านเว็บไซต์สำนักสงฆ์ป่าสามแยกว่าจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับอดีตพระเกษมอีก และขอถอนตัวจากการดูแลเว็บไซต์

อย่างไรก็ตาม บรรดาลูกศิษย์แม้เห็นพ้องว่าต้องปาราชิก ควรสึกออกไป แต่ยังมีเสียงคัดค้าน โดยอ้างเหตุผลว่าทำไปโดยไม่รู้ตัว จึงมีมติให้พระสงฆ์ผู้ใหญ่และบุคคลภายทำการสอบสวนเรื่องดังกล่าว

ด้านนายเกษมกล่าวว่า ที่ยอมสึกเนื่องจากเกรงกลัวกฎหมายบ้านเมืองข้อหาแต่งกายเลียนแบบสงฆ์ แต่ยืนยันว่าที่ผ่านมาไม่ได้กระทำผิดเนื่องจากทำไปโดยไม่รู้ตัว และลูกศิษย์ก็พร้อมใจด้วย

ช่วงเช้าขณะที่พระสงฆ์ภายในวัดยังคงออกมาฉันภัตตาหารตามปกติ โดยมีนายเกษมนุ่งขาวห่มขาวและถือศีล 8 ออกมารับอาหารที่โรงทานเหมือนทุกวัน บรรดาลูกศิษย์ยังยืนยันคำเดิมว่าไม่ยึดติดที่ตัวบุคคล แต่ยึดถือคำสอนในพระไตรปิฎกเท่านั้น เมื่อผิดก็ว่ากันไปตามผิด แต่ลูกศิษย์ส่วนมากก็ยังคงให้ความนับถืออดีตพระเกษมในฐานะอาจารย์ที่เคยสั่งสอนมาก และยังคงจะทำการศึกษาพระไตรปิฎกที่วัดนี้ต่อไป

บ่ายวันเดียวกัน นายเกษมซึ่งแต่งกายในชุดปถุชนทั่วไปได้มาพบปะและร่วมเสวนากับบรรดาญาติธรรมและเหล่าศิษย์ที่มาให้กำลังใจ โดยเล่าถึงสาเหตุที่ต้องถูกปรับถึงขั้นอาบัติปาราชิก และยังอ้างว่าทำไปโดยไม่รู้ตัว และอารมณ์ชั่ววูบ มารู้สึกตัวเมื่อสำเร็จความใคร่แล้ว โดยได้ร่วมเสพเมถุนมาเป็นสิบครั้งเพื่อเป็นการลองวิชา

นายเกษมให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมอีกว่า เริ่มทดสอบวิชาหรือจิตกับพระลูกวัดบางรูปก่อนเมื่อราวปลายปี 2556 แต่ไม่รู้สึกอะไร ต่อมาจึงเริ่มทดสอบกับลูกศิษย์อุปฐาก แต่ระยะหลังเริ่มรู้สึกญาณเสื่อมจนไม่สามารถเข้าถึงได้ญาณได้ จึงเกิดความละอาย และแจ้งให้พระในวัดบอกต่อกรรมการวัด

“จะยังคงอาศัยวัดแห่งนี้อยู่ต่อไป เพื่อให้คำแนะนำเรื่องพระไตรปิฎก ส่วนจะอยู่ได้นานแค่ไหนคงขึ้นอยู่กับประชาชนที่มาปฏิบัติธรรม” นายเกษมกล่าว และว่าหากจะมีชีวิตคู่จะขอมีภรรยาที่เป็นผู้หญิง พร้อมยืนยันด้วยว่าไม่ได้ชอบผู้ชายหรือไม้ป่าเดียวกัน

สำหรับอดีตพระเกษม หรือนายเกษม ดวงแพงมาต เคยตกเป็นจำเลยในคดีเหยียดหยามวัตถุทางศาสนา โดยถูกกล่าวหาว่า เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2551 เป็นผู้นำแผ่นป้ายข้อความว่า “ทองเหลืองหล่อนี้ไม่ใช่พระพุทธเจ้าแน่ ไม่ต้องไปกราบมัน” ไปติดไว้ที่ฐานพระพุทธรูปในวัดป่าสามแยก และวันที่ 28 พฤษภาคม 2551 ใช้เท้าเหยียบฐานพระพุทธชินราชจำลอง และใช้มือตบบริเวณพระพักตร์ของพระพุทธรูป เผยแพร่ในโลกโซเชียลมีเดีย และออกรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ในวันที่ 21 กันยายน 2554 จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของสังคม การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำด้วยประการใดๆ แก่วัตถุอันเป็นที่เคารพในทางศาสนาพุทธ อันเป็นการเหยียดหยามศาสนา เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 206

วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2553 ศาลจังหวัดหล่มสักอ่านคำพิพากษายกฟ้อง เพราะเชื่อว่าจำเลยไม่มีเจตนากระทำแก่วัตถุอันเป็นที่เคารพในทางศาสนา อันเป็นการเหยียดหยามศาสนา เนื่องจากเจตนาของจำเลยที่เชิญนักข่าวมาเพื่อจะให้อ่านพระไตรปิฎกและอธิบายถึงเหตุผลของการติดป้ายข้อความ ไม่ได้มีเจตนาเชิญนักข่าวมาบันทึกภาพการเหยียบฐานพระพุทธรูปและตบพระพักตร์ แต่เนื่องจากมีนักข่าวขอให้จำเลยพาขึ้นไปบนศาลา จำเลยจึงพาขึ้นไปและมีการอธิบายถึงสิ่งต่างๆ ว่าพระธาตุนี้ให้กราบไหว้ได้ แต่พระพุทธรูปนี้ไม่ใช่พระศาสดา โดยเจตนาที่พยายามอธิบายและสอนธรรมะแก่นักข่าว จำเลยเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่ากำลังกระทำแก่ทองเหลืองที่เป็นวัตถุ มิใช่กระทำแก่สิ่งอันเป็นที่เคารพในทางพุทธศาสนา เจตนาโดยแท้จริงของจำเลยต้องการแสดงไม่ให้ชาวพุทธยึดติดกับวัตถุ

ต่อมา วันที่ 13 มีนาคม 2555 ศาลจังหวัดหล่มสักนัดอ่านคำพิพากษาที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษา ในคดีดำหมายเลข 839/2553 หรือคดีแดง หมายเลข 3943/2554 ลงวันที่ 30 ธันวาคม 2554 พิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำอันไม่สมควร และเป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามพุทธศาสนา จำเลยมีความผิดตามฟ้ออง จำเลยบวชเป็นพระมานานแล้ว ย่อมรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร การอธิบายว่าพระพุทธเจ้าสอนไม่ให้ยึดติดในวัตถุ ควรมีวิธีสอนหรือยกตัวอย่างให้เห็น โดยไม่จำต้องกระทำดังที่จำเลยกระทำมา จำเลยทราบดีอยู่แล้วว่าพระพุทธรูปเป็นที่เคารพในทางศาสนาของพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไป ย่อมแสดงให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยอันเป็นการเหยียดหยามต่อพุทธศานา

พิพากษากลับเป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 206 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรม ให้ลงโทษทุกรรมเป็นกระทงความผิดไป กระทงละ 1 ปี และปรับกระทงละ 10,000 บาท รวม 2 กระทงจำคุก 2 ปี และปรับ 20,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เมื่อคำนึงถึงพฤติการณ์แห่งคดีและสภาพความผิดแล้ว เห็นสมควรให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 2 ปี

ข่าวแจ้งว่า หลังทราบคำพิพากษา อดีตพระเกษมยืนยันจะสู้ถึงชั้นฎีกา เพราะมั่นใจว่าสิ่งที่ตนทำนั้นถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ไม่ให้ยึดติดกับรูปเคารพ



กำลังโหลดความคิดเห็น