ASTVผู้จัดการรายวัน - "หม่อมอุ๋ย" ลั่นเร่งเบิกงบประมาณดันเศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัว 4% เชื่ออนาคตยอดลงทุน BOI พุ่งช่วยดสริมอีกแรง ขณะที่ "บัณฑิต" เห็นพ้อง มั่นใจเศรษฐกิจไทยปี 58 โตได้ 4% เหตุรัฐบาลเดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเต็มสูบ มองราคาน้ำมันที่ลดลงช่วยเพิ่มกำลังซื้อภาคประชาชน
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษภายในงาน Thai Economy 2015: The wayForward ที่จัดโดย สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) วานนี้ (19 ม.ค.) ว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 4% จากการเบิกจ่ายที่เป็นไปตามเป้าหมาย การลงทุนภาครัฐเดินหน้าได้ต่อเนื่อง และภาคเอกชนมีความเชื่อมั่นในการลงทุนมากขึ้น เห็นได้จากตัวเลขการขอรับการส่งเสริมการลงทุนที่เพิ่มสูงขึ้น
“ในอนาคตเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถกลับมาขยายตัวได้ที่ ร้อยละ 5-6 หากมีพัฒนาตามแผนระยะยาว ด้วยการที่สำนักงานส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ เปลี่ยนวิสัยทัศน์การส่งเสริมการลงทุนใหม่ โดยมุ่งเน้นสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีสูงเพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ และมุ่งผลิตสินค้าเพื่อป้อนสังคมสมัยใหม่ รวมทั้งสนับสนุนอุตสาหกรรมที่มาจากภาคการเกษตร โดยเฉพาะข้าวและยางพารา รวมถึงส่งเสริมการลงทุนในเศรษฐกิจดิจิตอล หรือ Digital Economy โดยการตั้งกองทุนร่วมลงทุน เข้ามาสนับสนุนธุรกิจ เพื่อเป็นปัจจัยพื้นฐานที่จะรองรับภาคเศรษฐกิจอื่นๆ”
นอกจากนี้ รัฐบาลกำลังดำเนินการมาตรการแพ็คเกจภาษีเพื่อทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้าขายในภูมิภาค หรือ International Trading Center ที่จะยกเว้นภาษีกำไรที่ได้จากการลงทุนในบริษัทลูกที่อยู่ในต่างประเทศ รวมทั้งภาษีจากการขายสินค้าของบริษัทลูกในต่างประเทศ เพื่อไม่ให้บริษัทไทยต้องออกไปตั้งบริษัทเทรดดิ้งในสิงคโปร์เพื่อเลี่ยงภาษี
นายบัณฑิต นิจถาวร กรรมการผู้อำนวยการ สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ในฐานะอดีตรองผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้ความเห็นในทิศทางสนับสนุนรองนายกรัฐมนตรีในประเด็นการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยระบุว่า แนวโน้มอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปีนี้น่าจะเติบโตได้ 4% ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับที่หน่วยงานภาครัฐประมาณการ
ปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจปีนี้มาจากการลงทุนของภาครัฐ ในเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงราคาน้ำมันที่ปรับลดลงที่จะช่วยเพิ่มอำนาจซื้อของประชาชนในประเทศให้สูงขึ้น ขระที่ราคาน้ำมันในประเทศน่าจะปรับลดลงอีกเพื่อให้ใกล้เคียงกับราคาน้ำมันในต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยให้อำนาจซื้อของประชาชนเพิ่มขึ้น สนับสนุนภาวะเศรษฐกิจให้คึกคักขึ้นได้
“เศรษฐกิจไทยยังต้องติดตามถึงความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและราคาน้ำมัน รวมถึงความคืบหน้าของโครงการของภาครัฐ อย่างไรก็ตาม มองว่าราคาน้ำมันในประเทศควรที่จะปรับลดลงได้อีกจำนวนหนึ่งเพื่อให้ใกล้เคียงกับต่างประเทศ” นายบัณฑิตกล่าว
นายบัณฑิตยังกล่าวถึงการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป ECB ในวันที่ 22 มกราคมนี้ ว่า เชื่อว่าจะเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยจะมีการอัดฉีดสภาพคล่องทางเศรษฐกิจเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ชะลอและปัญหาภาวะเงินฝืด ซึ่งอาจส่งผลต่อกระแสเงินทุนไหลออกจากไทยไม่มากนัก เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มฟื้นตัว รวมทั้งสหรัฐฯ เตรียมที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ย.
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษภายในงาน Thai Economy 2015: The wayForward ที่จัดโดย สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) วานนี้ (19 ม.ค.) ว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 4% จากการเบิกจ่ายที่เป็นไปตามเป้าหมาย การลงทุนภาครัฐเดินหน้าได้ต่อเนื่อง และภาคเอกชนมีความเชื่อมั่นในการลงทุนมากขึ้น เห็นได้จากตัวเลขการขอรับการส่งเสริมการลงทุนที่เพิ่มสูงขึ้น
“ในอนาคตเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถกลับมาขยายตัวได้ที่ ร้อยละ 5-6 หากมีพัฒนาตามแผนระยะยาว ด้วยการที่สำนักงานส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ เปลี่ยนวิสัยทัศน์การส่งเสริมการลงทุนใหม่ โดยมุ่งเน้นสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีสูงเพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ และมุ่งผลิตสินค้าเพื่อป้อนสังคมสมัยใหม่ รวมทั้งสนับสนุนอุตสาหกรรมที่มาจากภาคการเกษตร โดยเฉพาะข้าวและยางพารา รวมถึงส่งเสริมการลงทุนในเศรษฐกิจดิจิตอล หรือ Digital Economy โดยการตั้งกองทุนร่วมลงทุน เข้ามาสนับสนุนธุรกิจ เพื่อเป็นปัจจัยพื้นฐานที่จะรองรับภาคเศรษฐกิจอื่นๆ”
นอกจากนี้ รัฐบาลกำลังดำเนินการมาตรการแพ็คเกจภาษีเพื่อทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้าขายในภูมิภาค หรือ International Trading Center ที่จะยกเว้นภาษีกำไรที่ได้จากการลงทุนในบริษัทลูกที่อยู่ในต่างประเทศ รวมทั้งภาษีจากการขายสินค้าของบริษัทลูกในต่างประเทศ เพื่อไม่ให้บริษัทไทยต้องออกไปตั้งบริษัทเทรดดิ้งในสิงคโปร์เพื่อเลี่ยงภาษี
นายบัณฑิต นิจถาวร กรรมการผู้อำนวยการ สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ในฐานะอดีตรองผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้ความเห็นในทิศทางสนับสนุนรองนายกรัฐมนตรีในประเด็นการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยระบุว่า แนวโน้มอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปีนี้น่าจะเติบโตได้ 4% ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับที่หน่วยงานภาครัฐประมาณการ
ปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจปีนี้มาจากการลงทุนของภาครัฐ ในเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงราคาน้ำมันที่ปรับลดลงที่จะช่วยเพิ่มอำนาจซื้อของประชาชนในประเทศให้สูงขึ้น ขระที่ราคาน้ำมันในประเทศน่าจะปรับลดลงอีกเพื่อให้ใกล้เคียงกับราคาน้ำมันในต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยให้อำนาจซื้อของประชาชนเพิ่มขึ้น สนับสนุนภาวะเศรษฐกิจให้คึกคักขึ้นได้
“เศรษฐกิจไทยยังต้องติดตามถึงความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและราคาน้ำมัน รวมถึงความคืบหน้าของโครงการของภาครัฐ อย่างไรก็ตาม มองว่าราคาน้ำมันในประเทศควรที่จะปรับลดลงได้อีกจำนวนหนึ่งเพื่อให้ใกล้เคียงกับต่างประเทศ” นายบัณฑิตกล่าว
นายบัณฑิตยังกล่าวถึงการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป ECB ในวันที่ 22 มกราคมนี้ ว่า เชื่อว่าจะเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยจะมีการอัดฉีดสภาพคล่องทางเศรษฐกิจเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ชะลอและปัญหาภาวะเงินฝืด ซึ่งอาจส่งผลต่อกระแสเงินทุนไหลออกจากไทยไม่มากนัก เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มฟื้นตัว รวมทั้งสหรัฐฯ เตรียมที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ย.
