ASTVผู้จัดการรายวัน-ตำรวจเร่งติดตามทรัพย์สินแก๊งลักเงิน สจล. ป้องกันยักย้ายถ่ายโอน เชื่อนำไปสู่การจับกุมผู้เกี่ยวข้องเพิ่มมากขึ้น ส่วน “บอส” ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ แต่น่าจะอยู่เบื้องหลัง แฉแก๊งลักเงินกระทำกันเป็นขบวนการ ฟอกเงินโดยการซื้อรถหรูอีกหลายคันโดยเฉพาะรถเบนซ์ ด้าน "กิตติ" อดีตอธิการบดี 2 สมัย ทำจดหมายเปิดผนึก ขอให้ สจล. ชี้แจงให้กระจ่างเงินที่ถูกยักยอกไป
วานนี้ (14 ม.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นำรถยนต์เมอร์เซเดส เบนซ์ รุ่นเอส 400 สีขาว ทะเบียน ฐ 8649 กรุงเทพมหานคร ราคา 11 ล้านบาท และรถโตโยต้า อัลพาร์ท ทะเบียน ก 5983 กรุงเทพมหานคร สีดำ ราคา 4 ล้านบาท ที่ถูกตำรวจกองปราบปรามยึดมาจากบ้านเลขที่ 89/21 ซอย 2 หมู่บ้านคาซ่า วิว ถนนสุคนธสวัสดิ์ แขวงและเขตลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร (กทม.) บ้านของนายฐิติ วรเพียรกุล อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 99 ซอยวิภาวดีรังสิต 34 เขตจตุจักร กทม. ผู้ต้องหาตามหมายจับคดียักยอกทรัพย์ เมื่อปี 2552 ของ สน.ลุมพินี มายืนยันว่าเป็นทรัพย์สินล่าสุดที่ตำรวจยึดได้จากคดีการยักยอกเงินสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.)
พล.ต.ท.ประวุฒิกล่าวว่า ขณะนี้จะเน้นไปที่การติดตามทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำผิด เพื่อป้องกันไม่ให้มีการยักย้ายถ่ายโอน เมื่อติดตามทรัพย์สินกลับคืนมาได้เชื่อว่าจะนำไปสู่การจับกุมผู้เกี่ยวข้องในคดีนี้เพิ่มมากขึ้น
ส่วนการที่นายภาดา บัวขาว ให้การอ้างว่า นายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด ผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีในคดีนี้มักกล่าวถึงบุคคลที่อ้างว่าเป็น “บอส” จากการสืบสวนยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ แต่พฤติการณ์ของบอสน่าจะมีส่วนรู้เห็นและเป็นผู้อยู่เบื้องหลังคนสำคัญ ซึ่งตำรวจจะเร่งติดตามเบาะแสเพื่อนำตัวมาสอบสวนขยายผลในคดีนี้
นอกจากนี้ ขอให้ผู้ที่ครอบครองทรัพย์หรือซื้อทรัพย์สินมาจากนายกิตติศักดิ์ ติดต่อตำรวจกองปราบปรามเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ และนำหลักฐานการซื้อขายมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ด้วย
***แฉแก๊งลักเงินมีนายหน้าซื้อรถเบนซ์ฟอกเงิน
ที่กองปราบปราม พ.ต.อ.ณษ เศวตเลข รอง ผบก.ป.ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีลักเงิน สจล. กล่าวถึงกรณีที่ชุดสืบสวน กก.1 บก.ป. เข้าตรวจยึดรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น เอส 400 สีขาว ทะเบียน ฐ 8649 กรุงเทพมหานคร และรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า อัลพาร์ท สีดำ ทะเบียน ก-5983 กรุงเทพมหานคร ภายในบ้านพักเลขที่ 89/21 ซอย 2 หมู่บ้านคาซ่าวิว ถนนสุคนธสวัสดิ์ แขวงและเขตลาดพร้าว กทม.ซึ่งเป็นบ้านของนายฐิติ วรเพียรกุล หรือเบนซ์ อายุ 34 ปี นายหน้าขายรถให้กับนายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด ผู้ต้องหารายสำคัญในคดี ว่า หลังจากเจ้าหน้าที่ได้จับกุม นายภาดา บัวขาว หรือโอ๊ต ผู้ต้องหาในคดี และสอบสวนขยายผลทำให้ทราบว่า รถยนต์หรู 2 คัน ของนายกิตติศักดิ์นั้น ทางนายภาดา เป็นผู้นำไปฝากให้นายฐิติ เป็นนายหน้าขายต่ออีกทอดหนึ่ง เจ้าหน้าที่จึงเข้าติดตามตรวจยึดรถทั้ง 2 คันดังกล่าว
พ.ต.อ.ณษ กล่าวถึงความสัมพันธ์ของบุคคลทั้ง 3 ว่า จากคำให้การของนายภาดา ทราบว่า นายฐิติ กับนายกิตติศักดิ์ ก็รู้จักกัน ส่วนจากการตรวจสอบประวัตินายฐิติ พบว่ามีหมายจับในท้องที่ สน.ลุมพินี คดียักยอกทรัพย์ เมื่อปี 2552 จึงประสานให้ทางตำรวจ สน.ลุมพินี อายัดตัวนายฐิติ ไว้ดำเนินคดีต่อ ที่ สน.ลุมพินี ส่วนที่มาที่ไปของรถยนต์ทั้ง 2 คัน ทางพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำผู้ต้องหาไว้แล้ว พร้อมกับแจ้งไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่ออายัดไว้ตรวจสอบ
นอกจากนี้ จากการตรวจสอบยังพบว่าผู้ต้องหาได้นำเงินจากสถาบันเทคโนโลยีฯ ลาดกระบัง ไปซื้อรถหรูอีกหลายคัน ซึ่งบางคันพบว่าถูกขายไปแล้ว ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการติดตามโดยส่วนใหญ่จะเป็นรถรถยี่ห้อเบนซ์
***"กิตติ"เรียกร้อง สจล.ชี้แจงให้กระจ่าง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รศ.ดร.กิตติ ตีรเศรษฐ อดีตอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกสภาสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง , ศ.ดร.โมไนย ไกรฤกษ์ รักษาการแทนอธิการบดี สจล. คณบดีทุกคณะ และส่วนราชการอื่นๆ ในสจล. ลงวันที่ 12 ม.ค.2558 โดยเรียกร้องให้ ศ.ดร.โมไนย ชี้แจงเกี่ยวกับเงินของ สจล.ที่ถูกยักยอกไป เพื่อให้เกิดความกระจ่างแก่บุคลากรและสังคม เนื่องด้วยแถลงการณ์ฉบับที่ 3 ของ สจล.ระบุว่าพบความผิดปกติของบัญชีเงินฝาก จำนวน 4บัญชี ยอดสูญหาย 1,475 ล้านบาท โดยเกิดขึ้นในระหว่างที่ รศ.ดร.กิตติ ดำรงตำแหน่งอธิการบดี สจล.วาระที่สอง
ทั้งนี้ รศ.ดร.กิตติ ระบุในจดหมายเปิดผนึก ว่า ได้ส่งมอบงานให้กับอธิการบดีคนใหม่ เมื่อวันที่ 27ก.ค.2555 โดยมี นายกสภาสถาบันฯ เป็นประธาน และได้มีการสรุปบัญชีเงินฝากออมทรัพย์และเงินฝากประจำในธนาคารต่างๆ 5 แห่ง จำนวน 61 บัญชี ประกอบด้วยบัญชีออมทรัพย์ 29 บัญชี ยอดเงิน418.29 ล้านบาท และบัญชีเงินฝากประจำ จำนวน 32 บัญชี ยอดเงิน 2,636.36 ล้านบาท รวมยอดเงิน 3,054.66 ล้านบาท และจากการตรวจสอบสำเนาสมุดบัญชีเงินฝากทั้ง 61 บัญชีพบว่า มีจำนวนยอดเงินตรงกับยอดเงินตามตารางสรุปเงินฝากในหนังสือแสดงการรับส่งมอบงานให้กับอธิการบดีคนใหม่ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่บริหารสถาบัน 2 วาระ ได้บริหารจัดการการเงินอย่างรอบคอบ และได้ทำการตรวจสอบสถานะทางการเงินและบัญชี ตลอดจนสมุดบัญชีอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้น ขอเรียกร้องให้รักษาการแทนอธิการบดี ชี้แจงสถานะทางการเงินของบัญชีต่างๆ ให้ชัดเจน รวมทั้งยอดเงินที่สูญหายไปที่ถูกต้องเป็นจำนวนเท่าใดแน่ เนื่องจากปรากฎตามสื่อมวลชนว่ายอดเงินที่เสียหายไม่ตรงกัน ทั้ง 1,475 ล้านบาท หรือ 1,663 ล้านบาท และ 1,764 ล้านบาท
อนึ่ง รศ.ดร.กิตติ ดำรงตำแหน่งอธิการบดี สจล. 2 วาระ โดยวาระแรก วันที่ 13 ก.ค.2548-12ก.ค.2551 และวาระสอง วันที่ 13 ก.ค.2551-12 ก.ค.2555 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการระบุว่า เงินคงคลังของ สจล.ถูกยักยอกจากบัญชีไป
***นัดประชุมมหาวิทยาลัยป้องกันโกงซ้ำรอย
รศ.นพ.กำจร ตติยกวี เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (เลขาธิการ กกอ.) กล่าวภายหลังการประชุม กกอ. ว่า ตนได้แจ้งให้ที่ประชุมได้รับทราบว่า ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ได้ติดตามความคืบหน้ากรณีการยักยอกเงินคงคลังของ สจล. ที่หายไป 1,600 ล้านบาท รวมถึงกรณีการยักยอกเงินของมหาวิทยาลัยนครพนม (มนพ.) อย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ สกอ.จะยกกรณีเหล่านี้เป็นบทเรียนให้แก่มหาวิทยาลัยทุกแห่งในเพื่ออุดช่องโหว่ทั้งหลายเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยขึ้นอีก
อย่างไรก็ตาม ในเดือนก.พ.นี้ จะเชิญผู้บริหารจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วประเทศ มาร่วมประชุมในเรื่องดังกล่าว รวมทั้งจะเชิญผู้แทนจาก สจล. รวมทั้งหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น เจ้าหน้าที่ธนาคาร มาชี้แจงและร่วมกันหารือว่าจะมีแนวทางในการอุดช่องโหว่ เพื่อไม่ให้เกิดการทุจริตคอรัปชันในรั้วสถาบันอุดมศึกษาได้อย่างไร รวมทั้งจะกำชับให้มีการเน้นย้ำเรื่องจริยธรรม และธรรมาภิบาลในมหาวิทยาลัยมากขึ้นด้วย
วานนี้ (14 ม.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นำรถยนต์เมอร์เซเดส เบนซ์ รุ่นเอส 400 สีขาว ทะเบียน ฐ 8649 กรุงเทพมหานคร ราคา 11 ล้านบาท และรถโตโยต้า อัลพาร์ท ทะเบียน ก 5983 กรุงเทพมหานคร สีดำ ราคา 4 ล้านบาท ที่ถูกตำรวจกองปราบปรามยึดมาจากบ้านเลขที่ 89/21 ซอย 2 หมู่บ้านคาซ่า วิว ถนนสุคนธสวัสดิ์ แขวงและเขตลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร (กทม.) บ้านของนายฐิติ วรเพียรกุล อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 99 ซอยวิภาวดีรังสิต 34 เขตจตุจักร กทม. ผู้ต้องหาตามหมายจับคดียักยอกทรัพย์ เมื่อปี 2552 ของ สน.ลุมพินี มายืนยันว่าเป็นทรัพย์สินล่าสุดที่ตำรวจยึดได้จากคดีการยักยอกเงินสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.)
พล.ต.ท.ประวุฒิกล่าวว่า ขณะนี้จะเน้นไปที่การติดตามทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำผิด เพื่อป้องกันไม่ให้มีการยักย้ายถ่ายโอน เมื่อติดตามทรัพย์สินกลับคืนมาได้เชื่อว่าจะนำไปสู่การจับกุมผู้เกี่ยวข้องในคดีนี้เพิ่มมากขึ้น
ส่วนการที่นายภาดา บัวขาว ให้การอ้างว่า นายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด ผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีในคดีนี้มักกล่าวถึงบุคคลที่อ้างว่าเป็น “บอส” จากการสืบสวนยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ แต่พฤติการณ์ของบอสน่าจะมีส่วนรู้เห็นและเป็นผู้อยู่เบื้องหลังคนสำคัญ ซึ่งตำรวจจะเร่งติดตามเบาะแสเพื่อนำตัวมาสอบสวนขยายผลในคดีนี้
นอกจากนี้ ขอให้ผู้ที่ครอบครองทรัพย์หรือซื้อทรัพย์สินมาจากนายกิตติศักดิ์ ติดต่อตำรวจกองปราบปรามเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ และนำหลักฐานการซื้อขายมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ด้วย
***แฉแก๊งลักเงินมีนายหน้าซื้อรถเบนซ์ฟอกเงิน
ที่กองปราบปราม พ.ต.อ.ณษ เศวตเลข รอง ผบก.ป.ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีลักเงิน สจล. กล่าวถึงกรณีที่ชุดสืบสวน กก.1 บก.ป. เข้าตรวจยึดรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น เอส 400 สีขาว ทะเบียน ฐ 8649 กรุงเทพมหานคร และรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า อัลพาร์ท สีดำ ทะเบียน ก-5983 กรุงเทพมหานคร ภายในบ้านพักเลขที่ 89/21 ซอย 2 หมู่บ้านคาซ่าวิว ถนนสุคนธสวัสดิ์ แขวงและเขตลาดพร้าว กทม.ซึ่งเป็นบ้านของนายฐิติ วรเพียรกุล หรือเบนซ์ อายุ 34 ปี นายหน้าขายรถให้กับนายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด ผู้ต้องหารายสำคัญในคดี ว่า หลังจากเจ้าหน้าที่ได้จับกุม นายภาดา บัวขาว หรือโอ๊ต ผู้ต้องหาในคดี และสอบสวนขยายผลทำให้ทราบว่า รถยนต์หรู 2 คัน ของนายกิตติศักดิ์นั้น ทางนายภาดา เป็นผู้นำไปฝากให้นายฐิติ เป็นนายหน้าขายต่ออีกทอดหนึ่ง เจ้าหน้าที่จึงเข้าติดตามตรวจยึดรถทั้ง 2 คันดังกล่าว
พ.ต.อ.ณษ กล่าวถึงความสัมพันธ์ของบุคคลทั้ง 3 ว่า จากคำให้การของนายภาดา ทราบว่า นายฐิติ กับนายกิตติศักดิ์ ก็รู้จักกัน ส่วนจากการตรวจสอบประวัตินายฐิติ พบว่ามีหมายจับในท้องที่ สน.ลุมพินี คดียักยอกทรัพย์ เมื่อปี 2552 จึงประสานให้ทางตำรวจ สน.ลุมพินี อายัดตัวนายฐิติ ไว้ดำเนินคดีต่อ ที่ สน.ลุมพินี ส่วนที่มาที่ไปของรถยนต์ทั้ง 2 คัน ทางพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำผู้ต้องหาไว้แล้ว พร้อมกับแจ้งไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่ออายัดไว้ตรวจสอบ
นอกจากนี้ จากการตรวจสอบยังพบว่าผู้ต้องหาได้นำเงินจากสถาบันเทคโนโลยีฯ ลาดกระบัง ไปซื้อรถหรูอีกหลายคัน ซึ่งบางคันพบว่าถูกขายไปแล้ว ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการติดตามโดยส่วนใหญ่จะเป็นรถรถยี่ห้อเบนซ์
***"กิตติ"เรียกร้อง สจล.ชี้แจงให้กระจ่าง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รศ.ดร.กิตติ ตีรเศรษฐ อดีตอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกสภาสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง , ศ.ดร.โมไนย ไกรฤกษ์ รักษาการแทนอธิการบดี สจล. คณบดีทุกคณะ และส่วนราชการอื่นๆ ในสจล. ลงวันที่ 12 ม.ค.2558 โดยเรียกร้องให้ ศ.ดร.โมไนย ชี้แจงเกี่ยวกับเงินของ สจล.ที่ถูกยักยอกไป เพื่อให้เกิดความกระจ่างแก่บุคลากรและสังคม เนื่องด้วยแถลงการณ์ฉบับที่ 3 ของ สจล.ระบุว่าพบความผิดปกติของบัญชีเงินฝาก จำนวน 4บัญชี ยอดสูญหาย 1,475 ล้านบาท โดยเกิดขึ้นในระหว่างที่ รศ.ดร.กิตติ ดำรงตำแหน่งอธิการบดี สจล.วาระที่สอง
ทั้งนี้ รศ.ดร.กิตติ ระบุในจดหมายเปิดผนึก ว่า ได้ส่งมอบงานให้กับอธิการบดีคนใหม่ เมื่อวันที่ 27ก.ค.2555 โดยมี นายกสภาสถาบันฯ เป็นประธาน และได้มีการสรุปบัญชีเงินฝากออมทรัพย์และเงินฝากประจำในธนาคารต่างๆ 5 แห่ง จำนวน 61 บัญชี ประกอบด้วยบัญชีออมทรัพย์ 29 บัญชี ยอดเงิน418.29 ล้านบาท และบัญชีเงินฝากประจำ จำนวน 32 บัญชี ยอดเงิน 2,636.36 ล้านบาท รวมยอดเงิน 3,054.66 ล้านบาท และจากการตรวจสอบสำเนาสมุดบัญชีเงินฝากทั้ง 61 บัญชีพบว่า มีจำนวนยอดเงินตรงกับยอดเงินตามตารางสรุปเงินฝากในหนังสือแสดงการรับส่งมอบงานให้กับอธิการบดีคนใหม่ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่บริหารสถาบัน 2 วาระ ได้บริหารจัดการการเงินอย่างรอบคอบ และได้ทำการตรวจสอบสถานะทางการเงินและบัญชี ตลอดจนสมุดบัญชีอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้น ขอเรียกร้องให้รักษาการแทนอธิการบดี ชี้แจงสถานะทางการเงินของบัญชีต่างๆ ให้ชัดเจน รวมทั้งยอดเงินที่สูญหายไปที่ถูกต้องเป็นจำนวนเท่าใดแน่ เนื่องจากปรากฎตามสื่อมวลชนว่ายอดเงินที่เสียหายไม่ตรงกัน ทั้ง 1,475 ล้านบาท หรือ 1,663 ล้านบาท และ 1,764 ล้านบาท
อนึ่ง รศ.ดร.กิตติ ดำรงตำแหน่งอธิการบดี สจล. 2 วาระ โดยวาระแรก วันที่ 13 ก.ค.2548-12ก.ค.2551 และวาระสอง วันที่ 13 ก.ค.2551-12 ก.ค.2555 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการระบุว่า เงินคงคลังของ สจล.ถูกยักยอกจากบัญชีไป
***นัดประชุมมหาวิทยาลัยป้องกันโกงซ้ำรอย
รศ.นพ.กำจร ตติยกวี เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (เลขาธิการ กกอ.) กล่าวภายหลังการประชุม กกอ. ว่า ตนได้แจ้งให้ที่ประชุมได้รับทราบว่า ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ได้ติดตามความคืบหน้ากรณีการยักยอกเงินคงคลังของ สจล. ที่หายไป 1,600 ล้านบาท รวมถึงกรณีการยักยอกเงินของมหาวิทยาลัยนครพนม (มนพ.) อย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ สกอ.จะยกกรณีเหล่านี้เป็นบทเรียนให้แก่มหาวิทยาลัยทุกแห่งในเพื่ออุดช่องโหว่ทั้งหลายเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยขึ้นอีก
อย่างไรก็ตาม ในเดือนก.พ.นี้ จะเชิญผู้บริหารจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วประเทศ มาร่วมประชุมในเรื่องดังกล่าว รวมทั้งจะเชิญผู้แทนจาก สจล. รวมทั้งหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น เจ้าหน้าที่ธนาคาร มาชี้แจงและร่วมกันหารือว่าจะมีแนวทางในการอุดช่องโหว่ เพื่อไม่ให้เกิดการทุจริตคอรัปชันในรั้วสถาบันอุดมศึกษาได้อย่างไร รวมทั้งจะกำชับให้มีการเน้นย้ำเรื่องจริยธรรม และธรรมาภิบาลในมหาวิทยาลัยมากขึ้นด้วย