00 ก็เป็นไปตามคาดหมายไม่ผิดเพี้ยน สำหรับการชี้แจงข้อกล่าวหาในคดีปล่อยปละละเลยจนทำให้เกิดความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าว 6-7 แสนล้านบาท ทำให้คนไทย (รวมทั้งคนเสื้อแดงที่มีรายได้ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษี) ต้องรับภาระชดใช้หนี้กันไปชั่วลูกชั่วหลาน เพราะในการชี้แจง อ้อ ไม่ใช่เขาเรียกว่าการอ่านโพย ที่ลูกน้องเขียนไว้ให้ ว่าเธอไม่ผิด และช่างกล้าที่พูดว่า โครงการของครอบครัวเธอดำเนินการนั้น ทำให้ชาวนาได้ประโยชน์ ซึ่งก็ถูก หากชาวนาที่ว่านั้นเป็นพวกที่สมรู้ร่วมคิดกับนักการเมือง พ่อค้าโรงสีที่อยู่ในกลุ่มก๊วนเดียวกัน แต่ความเป็นจริงก็คือ เพียงแค่การรับจำนำ (รับซื้อทุกเมล็ด) เพียงแค่สองสามฤดูกาลผลิตเท่านั้น ทำเอาแทบเงินเกลี้ยงคลัง เพราะมีแต่รายจ่าย ไม่มีรายได้เข้ามาชดเชย จนหมุนไม่ทัน
00 ถ้าหากเดาไม่ผิด ในตอนนั้นคิดจะอาศัยลูกมั่ว กู้เงินนอกงบประมาณกว่า 2 ล้านล้านบาท อ้างว่าจะทำโครงการโครงสร้างพื้นฐาน รถไฟ ทำถนนสารพัด โดยเขียนกระดาษเปล่ามาขอกู้ โชคดีดีที่ถูกศาลรธน. เบรกหัวทิ่มเสียก่อน เพราะคงฝันหวานกันอยู่แล้วว่า จะนำเงินก้อนใหญ่ดังกล่าวมาหมุนใช้ชดเชยในโครงการจำนำข้าวไปก่อน อย่างน้อยก็หมุนได้ไปอีกอย่างน้อยสองสามฤดูกาล ลากยาวไปถึงการเลือกตั้งใหม่ เพื่อจะกลับมาแบบถล่มทลาย แต่เมื่อความหวังพังครืน ความแตก เงินขาดช่วง ต้องค้างหนี้ชาวนานานเกือบปี จนต้องผูกคอตายกันไปหลายราย
00 นักการเมืองบางกลุ่มบางจำพวก ถ้าลองหน้าหนา มันก็ไม่มีทางแก้ไขได้หรอก อย่างที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และเครือข่าย ทักษิณ ชินวัตร กำลังแก้ตัวว่า โครงการรับจำนำ ทำมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ก็ใช่ ไม่มีใครเถียง แต่ตอนนั้นเขาจำกัดโควตา จำกัดวงเงิน และราคาไม่สูงกว่าตลาด พอให้ชาวนามีกำไรบ้าง หรือเพื่อดึงราคาข้าวในตลาดไม่ให้ตกต่ำ อีกทั้งเป็นการจำนำจริงๆ คือ ชาวนามาไถ่ถอน ไม่ใช่ซื้อทุกเมล็ด ตั้งราคาสูงกว่าตลาด แบบนี้ถึงจะเป็นชาวนาเขาก็ไม่โง่ถึงขนาดมาไถ่ถอนเพื่อเอาไปขายให้ขาดทุนหรอก นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องการสวมสิทธิ์ คุณภาพข้าวที่เสียหายย่อยยับเพราะไม่มีการตรวจสอบแยกประเภทข้าวกันอย่างเข้มงวด ซึ่งคนที่พอมีหัวคิดก็พอรับรู้ได้ไม่ยาก แต่การชี้แจงของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อวันก่อน จึงไม่ต่างจากการ "แสดงละครน้ำเน่า" ที่มีคนเขียนบทให้ท่องมาเป็นอย่างดี รูปแบบก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการยืนยันแค่ว่า "ไม่ผิด-ถูกกลั่นแกล้ง" และหวังผลทางการเมือง เปรียบเทียบกันแล้วก็ไม่ต่างจาก "บทนางเอกถูกรังแก" หวังเรียกน้ำตาจากทั่นผู้ชม ก็อาจจะได้ผลบ้างสำหรับ "ติ่ง" ทั้งหลายที่หน้ามืด คิดว่าคนในครอบครัวชินวัตร ไม่มีทางผิด ตรรกะง่ายๆอีกอย่างก็คือ "มาจากการเลือกตั้ง" แค่นี้แหละเป็นหลักประกันความถูกต้องทั้งหมด ทุด !!
00 แม้ว่าจะรู้ผลกันล่วงหน้าแล้วว่า ผลของการลงมติใน สนช. จะไม่มีเสียงเพียงพอ 3 ใน 5 ในการถอดถอนได้ นั่นคือ ต้องใช้เสียงไม่ต่ำกว่า 132 เสียง และที่อ้างว่าไม่มีตำแหน่งเพื่อให้ถอดถอนนั้น ฟังดูเผินๆ มันก็ใช่ เพื่อหวังผลเรียกน้ำตา เรียกร้องความเห็นใจ แต่ในความเป็นจริง แม้ว่าจะพ้นจากเก้าอี้นายกฯ แต่ถ้าการถอดถอนมีผล มันก็เป็นประวัติติดตัว และที่สำคัญในหลักการ การทำผิดถึงแม้จะพ้นไปแล้ว มันก็ต้องพิสูจน์การดำเนินคดีต้องเดินต่อไปจนถึงที่สุด ขณะเดียวกันสำหรับกรณีนี้ สำหรับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สมมุติเล่นๆว่า ถูกถอดถอน ก็จะมีผลไปถึงคุณสมบัติต้องห้ามทางการเมือง ที่จะถูกห้ามเข้าสู่สนามการเมืองตลอดชีวิต เหมือนกับพวกบ้านเลขที่ 111 และ บ้านเลขที่ 109 ตามข้อกำหนดที่บังคับเอาไว้ในรธน.ชั่วคราว ปี 57 นี่ยังไม่นับผลจากคำสั่งขององค์กรโดยชอบตามกม. (กรณี ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด) และการสั่งฟ้องคดีอาญาตามมา มันถึงบอกว่า น่าหวาดเสียวทั้งสิ้น ดังนั้นเมื่อสู้เรื่องหลักฐานไม่ได้ ก็ต้องมาในแบบลูกอ้อนว่าถูกรังแก ต้องแถออกมาทางนั้น !!
00 กรณีของ นิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา และ สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานสภาผู้แทนฯ ในข้อหาแก้รธน.เกี่ยวกับที่มา ส.ว.มิชอบ ก็เช่นเดียวกัน มามุกเดียวกัน ยืนยันขาเดียวว่า ไม่ผิด ตัวเองมีเอกสิทธิ์คุ้มครอง มาจากการเลือกตั้ง เป็นอำนาจของสภานิติบัญญัติ ความหมายเหมือนกับว่า หากมาแบบนี้ทำอะไรก็ไม่ผิด ซึ่งมันก็เกือบใช่ แต่มันไม่ใช่ทั้งหมด เพราะหากพิจารณาจากการแก้ไขรธน.นั้น สามารถแก้ไขได้ หากทำตามขั้นตอน รับฟังเสียงทุกฝ่าย ไม่ใช่พวกมากลากไป ตามคำสั่งของ "นายจ้าง" นั่นเป็นข้ออ้างของ นิคม ที่เข้าไปชี้แจง แต่สำหรับ สมศักดิ์ นี่มาอีกแบบ สร้างภาพสิทธิ์ตัวแทนประชาชน ไม่ยอมรับการพิจารณาตัดสินของ "สภาลากตั้ง" อะไรประมาณนั้น ดังนั้นเวลาที่เหลือ ก็ต้องจับตาดูว่า รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคสช. จะจัดการกับนักการเมืองทำผิดได้จริงหรือไม่ ตั้งใจปราบทุจริตจริงจังหรือไม่ หรือว่าจะใช้ข้ออ้าง ปรองดอง หยวนๆ กันไป ก็แล้วแต่ว่าจะเลือกแบบไหน !!
00 ถ้าหากเดาไม่ผิด ในตอนนั้นคิดจะอาศัยลูกมั่ว กู้เงินนอกงบประมาณกว่า 2 ล้านล้านบาท อ้างว่าจะทำโครงการโครงสร้างพื้นฐาน รถไฟ ทำถนนสารพัด โดยเขียนกระดาษเปล่ามาขอกู้ โชคดีดีที่ถูกศาลรธน. เบรกหัวทิ่มเสียก่อน เพราะคงฝันหวานกันอยู่แล้วว่า จะนำเงินก้อนใหญ่ดังกล่าวมาหมุนใช้ชดเชยในโครงการจำนำข้าวไปก่อน อย่างน้อยก็หมุนได้ไปอีกอย่างน้อยสองสามฤดูกาล ลากยาวไปถึงการเลือกตั้งใหม่ เพื่อจะกลับมาแบบถล่มทลาย แต่เมื่อความหวังพังครืน ความแตก เงินขาดช่วง ต้องค้างหนี้ชาวนานานเกือบปี จนต้องผูกคอตายกันไปหลายราย
00 นักการเมืองบางกลุ่มบางจำพวก ถ้าลองหน้าหนา มันก็ไม่มีทางแก้ไขได้หรอก อย่างที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และเครือข่าย ทักษิณ ชินวัตร กำลังแก้ตัวว่า โครงการรับจำนำ ทำมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ก็ใช่ ไม่มีใครเถียง แต่ตอนนั้นเขาจำกัดโควตา จำกัดวงเงิน และราคาไม่สูงกว่าตลาด พอให้ชาวนามีกำไรบ้าง หรือเพื่อดึงราคาข้าวในตลาดไม่ให้ตกต่ำ อีกทั้งเป็นการจำนำจริงๆ คือ ชาวนามาไถ่ถอน ไม่ใช่ซื้อทุกเมล็ด ตั้งราคาสูงกว่าตลาด แบบนี้ถึงจะเป็นชาวนาเขาก็ไม่โง่ถึงขนาดมาไถ่ถอนเพื่อเอาไปขายให้ขาดทุนหรอก นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องการสวมสิทธิ์ คุณภาพข้าวที่เสียหายย่อยยับเพราะไม่มีการตรวจสอบแยกประเภทข้าวกันอย่างเข้มงวด ซึ่งคนที่พอมีหัวคิดก็พอรับรู้ได้ไม่ยาก แต่การชี้แจงของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อวันก่อน จึงไม่ต่างจากการ "แสดงละครน้ำเน่า" ที่มีคนเขียนบทให้ท่องมาเป็นอย่างดี รูปแบบก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการยืนยันแค่ว่า "ไม่ผิด-ถูกกลั่นแกล้ง" และหวังผลทางการเมือง เปรียบเทียบกันแล้วก็ไม่ต่างจาก "บทนางเอกถูกรังแก" หวังเรียกน้ำตาจากทั่นผู้ชม ก็อาจจะได้ผลบ้างสำหรับ "ติ่ง" ทั้งหลายที่หน้ามืด คิดว่าคนในครอบครัวชินวัตร ไม่มีทางผิด ตรรกะง่ายๆอีกอย่างก็คือ "มาจากการเลือกตั้ง" แค่นี้แหละเป็นหลักประกันความถูกต้องทั้งหมด ทุด !!
00 แม้ว่าจะรู้ผลกันล่วงหน้าแล้วว่า ผลของการลงมติใน สนช. จะไม่มีเสียงเพียงพอ 3 ใน 5 ในการถอดถอนได้ นั่นคือ ต้องใช้เสียงไม่ต่ำกว่า 132 เสียง และที่อ้างว่าไม่มีตำแหน่งเพื่อให้ถอดถอนนั้น ฟังดูเผินๆ มันก็ใช่ เพื่อหวังผลเรียกน้ำตา เรียกร้องความเห็นใจ แต่ในความเป็นจริง แม้ว่าจะพ้นจากเก้าอี้นายกฯ แต่ถ้าการถอดถอนมีผล มันก็เป็นประวัติติดตัว และที่สำคัญในหลักการ การทำผิดถึงแม้จะพ้นไปแล้ว มันก็ต้องพิสูจน์การดำเนินคดีต้องเดินต่อไปจนถึงที่สุด ขณะเดียวกันสำหรับกรณีนี้ สำหรับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สมมุติเล่นๆว่า ถูกถอดถอน ก็จะมีผลไปถึงคุณสมบัติต้องห้ามทางการเมือง ที่จะถูกห้ามเข้าสู่สนามการเมืองตลอดชีวิต เหมือนกับพวกบ้านเลขที่ 111 และ บ้านเลขที่ 109 ตามข้อกำหนดที่บังคับเอาไว้ในรธน.ชั่วคราว ปี 57 นี่ยังไม่นับผลจากคำสั่งขององค์กรโดยชอบตามกม. (กรณี ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด) และการสั่งฟ้องคดีอาญาตามมา มันถึงบอกว่า น่าหวาดเสียวทั้งสิ้น ดังนั้นเมื่อสู้เรื่องหลักฐานไม่ได้ ก็ต้องมาในแบบลูกอ้อนว่าถูกรังแก ต้องแถออกมาทางนั้น !!
00 กรณีของ นิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา และ สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานสภาผู้แทนฯ ในข้อหาแก้รธน.เกี่ยวกับที่มา ส.ว.มิชอบ ก็เช่นเดียวกัน มามุกเดียวกัน ยืนยันขาเดียวว่า ไม่ผิด ตัวเองมีเอกสิทธิ์คุ้มครอง มาจากการเลือกตั้ง เป็นอำนาจของสภานิติบัญญัติ ความหมายเหมือนกับว่า หากมาแบบนี้ทำอะไรก็ไม่ผิด ซึ่งมันก็เกือบใช่ แต่มันไม่ใช่ทั้งหมด เพราะหากพิจารณาจากการแก้ไขรธน.นั้น สามารถแก้ไขได้ หากทำตามขั้นตอน รับฟังเสียงทุกฝ่าย ไม่ใช่พวกมากลากไป ตามคำสั่งของ "นายจ้าง" นั่นเป็นข้ออ้างของ นิคม ที่เข้าไปชี้แจง แต่สำหรับ สมศักดิ์ นี่มาอีกแบบ สร้างภาพสิทธิ์ตัวแทนประชาชน ไม่ยอมรับการพิจารณาตัดสินของ "สภาลากตั้ง" อะไรประมาณนั้น ดังนั้นเวลาที่เหลือ ก็ต้องจับตาดูว่า รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคสช. จะจัดการกับนักการเมืองทำผิดได้จริงหรือไม่ ตั้งใจปราบทุจริตจริงจังหรือไม่ หรือว่าจะใช้ข้ออ้าง ปรองดอง หยวนๆ กันไป ก็แล้วแต่ว่าจะเลือกแบบไหน !!