วานนี้ (8ม.ค.) พ.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รอง ผบก.ป.ในฐานะหัวหน้าฝ่ายสืบสวน กล่าวว่า ในส่วนของผู้ต้องสงสัยเราก็ต้องรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ หากพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีก็ต้องขออนุมัติศาลออกหมายจับต่อไป สำหรับตัวนายกิตติศักดิ์ เราพบความเชื่อมโยงกับนางสมบัติ และ น.ส.จันทร์จิรา โสประดิษฐ์ สองแม่ลูกที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีนี้ ทั้งหมดต้องรู้จักกันแน่นอนอยู่แล้ว ไปมาหาสู่กันปกติ โดยที่ น.ส.จันทร์จิรา รู้จักกับนายกิตติศักดิ์ มาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย
พ.ต.อ.กรไชย กล่าวถึงกรณีที่พนักงานสอบสวนเตรียมจะพิจารณาขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มเติมอีก 4 ราย ว่ามีความเชื่อมโยงถึงนายกิตติศักดิ์ อาจจะมีความสัมพันธ์ส่วนตัวเรื่องการรับเงินกับการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร ส่วนใหญ่ก็พบว่ารับเงินตรงจากสถาบันเทคโนโลยีฯ ลาดกระบัง แต่เรายังไม่ลงไปในบุคคลต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องน้อย แต่เราจะดำเนินการกับตัวหลัก บางรายที่พบว่าอาจจะแค่รับจ้างเปิดบัญชีธนาคารก็ยังไม่ได้ข้อมูลอะไรมาก ส่วนเงินที่มีโอนให้กับบุคคลที่เตรียมออกหมายจับ 4 ราย นั้น ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าได้รับเงินโอนไปจำนวนเท่าใด
พ.ต.อ.กรไชย กล่าวว่า ขณะนี้ทางตำรวจมีหลักฐานเกี่ยวกับการโอนเงินค่อนข้างชัดเจน และทางฝ่ายสืบสวนก็ต้องทำงานคู่กันไปอย่างที่บอกว่า คนที่ผิดมันก็ไม่ได้มีแค่ตรงนี้ ยังมีบุคคลที่เกี่ยวข้องอีกมากมาย แต่เราคงจะเปิดเผยในรายละเอียดทั้งหมดไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าหลักฐานไปถึงใคร คนนั้นก็ต้องถูกดำเนินคดี โดยกลุ่มผู้ที่จะถูกออกหมายจับเพิ่มเติมส่วนใหญ่ก็จะมีความสนิทกับนายกิตติศักดิ์ ทั้งหมดน่าจะยังอยู่ในประเทศไทย ซึ่งขั้นตอนการดำเนินการก็คงเหมือนกับกรณีนางสมบัติ และ น.ส.จันทร์จิรา หากว่ามีหมายจับแล้วยังไม่ติดต่อเข้ามอบตัว เราก็ต้องติดตามจับกุมมาดำเนินคดี
พ.ต.อ.กรไชย กล่าวต่อว่า ทุกครั้งเราก็ทำงานแบบถูกต้องคือเมื่อมีหมายจับ เราถึงดำเนินการจับกุม ผมอยู่ฝ่ายสืบสวนก็มีหน้าที่ตรวจค้นจับกุม นำพยานหลักฐานในคดีมอบให้กับทางพนักงานสอบสวน โดยข้อมูลที่ให้ไปนั้นก็มีผู้ที่เกี่ยวข้องหลายคน แต่จะมีการเสนอให้ขออนุมัติศาลออกหมายจับใครได้บ้างคงขึ้นอยู่ที่ดุลพินิจของพนักงานสอบสวนโดยต้องดูที่หลักฐานและความเชื่อมโยงเพราะการจะขออนุมัติศาลออกหมายจับเราต้องมีหลักฐานที่เด่นชัด ไม่เช่นนั้นศาลก็อาจจะไม่อนุมัติก็ได้ และหากการดำเนินการไม่รอบคอบก็อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อรูปคดี
พ.ต.อ.กรไชย กล่าวอีกว่าส่วนกรณีของ น.ส.สาวิกา ไชยเดช หรือ “พิ้งกี้” ดาราสาวชื่อดัง ซึ่งเข้าพบพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 7 มกราคมที่ผ่านมา นั้น จากการสอบปากคำก็พบว่าไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดี โดยเป็นการถูกนำชื่อไปใช้ว่าเป็นหุ้นส่วนบริษัท เคพีพี โปรดักส์ชั่น จำกัด 1 ใน 7 บริษัทในเครือของนายกิตติศักดิ์ โดยที่มีนายภูดิศ หรือคึกฤทธิ์ จันทิมา ผู้ช่วยผู้กำกับละครเป็นตัวเชื่อมโยงที่ขอเอกสารจากตัวดาราสาวไปใช้ ซึ่งที่มาของชื่อบริษัทก็คงมาจากชื่อ “กิตติศักดิ์ ภูดิศ พิ้งกี้” เป็น เคพีพี นั่นเอง แต่จากการตรวจสอบก็ยังไม่พบว่ามีการดำเนินธุรกิจหรือแบ่งปันผลประโยชน์ใดๆ กันเลย โดยที่ตัวนายภูดิศ ก็ยังถูกนายกิตติศักดิ์ ฟ้องร้องคดีฉ้อโกงที่ศาลแขวงจังหวัดสมุทรปราการ อยู่ด้วย
รอง ผบก.ป.กล่าวด้วยว่า นายภูดิศ ได้เข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนแล้ว โดยเดินทางมาพร้อมกับดาราสาว แต่สื่อมวลชนไปโฟกัสอยู่ที่ตัวพิ้งกี้ เขาก็บอกเลยว่าเงินจดทะเบียนบริษัท จำนวน 1 ล้านบาท ทางนายกิตติศักดิ์ เป็นคนออกให้ทั้งหมด เพียงแต่ดึงคนเหล่านี้เข้ามาเป็นหุ้นส่วนเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับบริษัท โดยที่พิ้งกี้ ไม่รู้มาก่อน ส่วนนายภูดิศ ก็ไม่ทราบที่มาของเงินหรือทรัพย์สินต่างๆ ของนายกิตติศักดิ์ ว่าได้มาอย่างไร สำหรับการตั้งบริษัทแห่งนี้เป็นการอ้างว่าจัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินธุรกิจด้านการผลิตละคร โดย บริษัท เคพีพี โปรดักส์ชั่น จำกัด น่าจะจดทะเบียนเมื่อประมาณปี 2555 น่าจะมีการแจ้งต่อสรรพากรไปครั้งหนึ่งแล้ว ส่วนจะมีการตั้งบริษัทขึ้นมาเพื่อจะฟอกเงินที่ได้มาจากการลักทรัพย์สถาบันเทคโนโลยีฯ ลาดกระบัง หรือไม่นั้น ยังต้องตรวจสอบต่อไป
"ขอให้ได้ตัวนายกิตติศักดิ์ มาก่อน จึงจะสามารถซักถามข้อเท็จจริงต่างๆ และการนำชื่อดารามาอ้าง ก็คงเพื่อสร้างฐานความน่าเชื่อถือมากกว่า เพราะคงไม่ช่วยให้การดำเนินธุรกิจมีกำรี้กำไรอะไร ไม่เหมือนบริษัทที่ปล่อยเงินกู้ ตรงนี้อาจทำเพื่อให้มีเครดิตในสังคมหรือแวดวงบันเทิง ส่วนกรณีของ บอย-ปกรณ์ เราตัดออกไปแล้ว หลังจากตรวจสอบแล้วไม่พบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ผมยกตัวอย่างหลายครั้งแล้วว่า เวลาไปซื้ออะไรมา คุณจะรู้ล่วงหน้าหรือไม่ว่าคนที่ไปซื้อทรัพย์สินของเขา เคยฟอกเงินเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา คงไม่มีใครรู้ แต่ต่อไปนี้ใครจะซื้อทรัพย์สินจากใครจะลำบากมากผมจะบอกให้ เพราะซื้อไปแล้วมีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะติดร่างแหในคดีฟอกเงิน หากคนที่ขายโดนคดีฟอกเงินก็จบเลยนะ” รอง ผบก.ป.กล่าว
พ.ต.อ.กรไชย กล่าวว่า ส่วนกรณีของสตรีทผับ ทาง พ.ต.อ.ณษ เศวตเลข รอง ผบก.ป.ก็มีการพิจารณาอายัดไว้ตรวจสอบด้วย เนื่องจากพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน ส่วนคอมพิวเตอร์ รวมทั้งเอกสารหลักฐานต่างๆ ที่ตรวจยึดและนำส่งให้กับทางเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) ตรวจสอบนั้น คงต้องรอผลการตรวจสอบแต่ยังตอบไม่ได้ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหน อย่างไรก็ดี หากพบว่ามีหลักฐานใดซึ่งน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีก็คงจะต้องนำส่งไปตรวจสอบด้วยทั้งหมด
*** “กิตติศักดิ์ มัทธุจัด” เผ่นจากเกาะฮ่องกงแล้ว
ด้าน พ.ต.อ.ณษ เศวตเลข รอง ผบก.ป.ในฐานะหัวหน้าชุดสอบสวนคดีลักเงินคงคลัง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวถึงความคืบหน้าคดีว่า ภายหลัง พ.ต.อ.จิรภพ ภูริเดช รักษาการ ผกก.1 บก.ป. พ.ต.ท.ต่อวงศ์ พิทักษ์โกศล สว.กก.1 บก.ป.นำกำลังจับกุมนางสมบัติ โสประดิษฐ์ และ น.ส.จันทร์จิรา โสประดิษฐ์ สองแม่ลูกผู้ต้องหา พร้อมตรวจยึดทรัพย์สินไว้ตรวจสอบหลายรายการนั้น จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้งสองยังให้การวกวน สับสน และไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลที่มาที่ไปของเงินและทรัพย์สินทั้งหมด
พ.ต.อ.ณษกล่าวว่า จากการสอบสวน น.ส.จันทร์จิรา อ้างว่าเงินได้รับการโอนมาจากนายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด ผู้ต้องหารายสำคัญในคดีนี้ โดยระบุว่าเป็นเงินที่โอนมาเพื่อใช้แทงพนันผลฟุตบอล ส่วนทรัพย์สินรายการต่างๆ ได้มาจากเงินที่ทำกิจการฟาร์มไก่ชนใน จ.สุพรรณบุรี ของนายปฐมพงศ์ ศรีโรจน์ แฟนหนุ่มของ น.ส.จันทร์จิรา และบางส่วนก็ได้มาจากการเปิดกิจการร้านรับสักคิ้ว อย่างไรก็ตาม ทางตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อ โดยพนักงานสอบสวนได้เตรียมคุมตัวผู้ต้องหาทั้งสองไปขออำนาจศาลจังหวัดมีนบุรีผัดฟ้องฝากขังเป็นครั้งแรกช่วงบ่ายวันเดียวกัน
ส่วนความคืบหน้าทางคดีนั้น พนักงานสอบสวนได้เร่งรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ เพื่อขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องในคดีเพิ่มเติมอีก 4 รายในเร็วๆ นี้ โดย 2 ใน 4 เป็นคนบุคคลที่มีความสนิทสนมกับนายกิตติศักดิ์ ตำรวจมีหลักฐานชัดเจน และมีความเชื่อมโยงกับเส้นทางการโอนเงิน แต่อีก 2 รายยังต้องหาหลักฐานเพิ่มเติม
สำหรับนายกิตติศักดิ์ผู้ต้องหารายสำคัญที่ยังหลบหนีอยู่นั้น พบว่าได้เดินทางออกจากฮ่องกงแล้ว ขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างตรวจสอบว่าหลบหนีไปประเทศใด ส่วนนายสมพงษ์ สหพรอุดมการ บิดาของนายจริวัฒน์ สหพรอุดมการ ซึ่งยังหลบหนี ล่าสุดได้รับการประสานว่าจะขอเข้ามอบต่อพนักงานสอบสวน แต่ยังไม่ได้ระบุวันเวลาใด
พ.ต.อ.กรไชย กล่าวถึงกรณีที่พนักงานสอบสวนเตรียมจะพิจารณาขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มเติมอีก 4 ราย ว่ามีความเชื่อมโยงถึงนายกิตติศักดิ์ อาจจะมีความสัมพันธ์ส่วนตัวเรื่องการรับเงินกับการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร ส่วนใหญ่ก็พบว่ารับเงินตรงจากสถาบันเทคโนโลยีฯ ลาดกระบัง แต่เรายังไม่ลงไปในบุคคลต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องน้อย แต่เราจะดำเนินการกับตัวหลัก บางรายที่พบว่าอาจจะแค่รับจ้างเปิดบัญชีธนาคารก็ยังไม่ได้ข้อมูลอะไรมาก ส่วนเงินที่มีโอนให้กับบุคคลที่เตรียมออกหมายจับ 4 ราย นั้น ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าได้รับเงินโอนไปจำนวนเท่าใด
พ.ต.อ.กรไชย กล่าวว่า ขณะนี้ทางตำรวจมีหลักฐานเกี่ยวกับการโอนเงินค่อนข้างชัดเจน และทางฝ่ายสืบสวนก็ต้องทำงานคู่กันไปอย่างที่บอกว่า คนที่ผิดมันก็ไม่ได้มีแค่ตรงนี้ ยังมีบุคคลที่เกี่ยวข้องอีกมากมาย แต่เราคงจะเปิดเผยในรายละเอียดทั้งหมดไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าหลักฐานไปถึงใคร คนนั้นก็ต้องถูกดำเนินคดี โดยกลุ่มผู้ที่จะถูกออกหมายจับเพิ่มเติมส่วนใหญ่ก็จะมีความสนิทกับนายกิตติศักดิ์ ทั้งหมดน่าจะยังอยู่ในประเทศไทย ซึ่งขั้นตอนการดำเนินการก็คงเหมือนกับกรณีนางสมบัติ และ น.ส.จันทร์จิรา หากว่ามีหมายจับแล้วยังไม่ติดต่อเข้ามอบตัว เราก็ต้องติดตามจับกุมมาดำเนินคดี
พ.ต.อ.กรไชย กล่าวต่อว่า ทุกครั้งเราก็ทำงานแบบถูกต้องคือเมื่อมีหมายจับ เราถึงดำเนินการจับกุม ผมอยู่ฝ่ายสืบสวนก็มีหน้าที่ตรวจค้นจับกุม นำพยานหลักฐานในคดีมอบให้กับทางพนักงานสอบสวน โดยข้อมูลที่ให้ไปนั้นก็มีผู้ที่เกี่ยวข้องหลายคน แต่จะมีการเสนอให้ขออนุมัติศาลออกหมายจับใครได้บ้างคงขึ้นอยู่ที่ดุลพินิจของพนักงานสอบสวนโดยต้องดูที่หลักฐานและความเชื่อมโยงเพราะการจะขออนุมัติศาลออกหมายจับเราต้องมีหลักฐานที่เด่นชัด ไม่เช่นนั้นศาลก็อาจจะไม่อนุมัติก็ได้ และหากการดำเนินการไม่รอบคอบก็อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อรูปคดี
พ.ต.อ.กรไชย กล่าวอีกว่าส่วนกรณีของ น.ส.สาวิกา ไชยเดช หรือ “พิ้งกี้” ดาราสาวชื่อดัง ซึ่งเข้าพบพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 7 มกราคมที่ผ่านมา นั้น จากการสอบปากคำก็พบว่าไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดี โดยเป็นการถูกนำชื่อไปใช้ว่าเป็นหุ้นส่วนบริษัท เคพีพี โปรดักส์ชั่น จำกัด 1 ใน 7 บริษัทในเครือของนายกิตติศักดิ์ โดยที่มีนายภูดิศ หรือคึกฤทธิ์ จันทิมา ผู้ช่วยผู้กำกับละครเป็นตัวเชื่อมโยงที่ขอเอกสารจากตัวดาราสาวไปใช้ ซึ่งที่มาของชื่อบริษัทก็คงมาจากชื่อ “กิตติศักดิ์ ภูดิศ พิ้งกี้” เป็น เคพีพี นั่นเอง แต่จากการตรวจสอบก็ยังไม่พบว่ามีการดำเนินธุรกิจหรือแบ่งปันผลประโยชน์ใดๆ กันเลย โดยที่ตัวนายภูดิศ ก็ยังถูกนายกิตติศักดิ์ ฟ้องร้องคดีฉ้อโกงที่ศาลแขวงจังหวัดสมุทรปราการ อยู่ด้วย
รอง ผบก.ป.กล่าวด้วยว่า นายภูดิศ ได้เข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนแล้ว โดยเดินทางมาพร้อมกับดาราสาว แต่สื่อมวลชนไปโฟกัสอยู่ที่ตัวพิ้งกี้ เขาก็บอกเลยว่าเงินจดทะเบียนบริษัท จำนวน 1 ล้านบาท ทางนายกิตติศักดิ์ เป็นคนออกให้ทั้งหมด เพียงแต่ดึงคนเหล่านี้เข้ามาเป็นหุ้นส่วนเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับบริษัท โดยที่พิ้งกี้ ไม่รู้มาก่อน ส่วนนายภูดิศ ก็ไม่ทราบที่มาของเงินหรือทรัพย์สินต่างๆ ของนายกิตติศักดิ์ ว่าได้มาอย่างไร สำหรับการตั้งบริษัทแห่งนี้เป็นการอ้างว่าจัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินธุรกิจด้านการผลิตละคร โดย บริษัท เคพีพี โปรดักส์ชั่น จำกัด น่าจะจดทะเบียนเมื่อประมาณปี 2555 น่าจะมีการแจ้งต่อสรรพากรไปครั้งหนึ่งแล้ว ส่วนจะมีการตั้งบริษัทขึ้นมาเพื่อจะฟอกเงินที่ได้มาจากการลักทรัพย์สถาบันเทคโนโลยีฯ ลาดกระบัง หรือไม่นั้น ยังต้องตรวจสอบต่อไป
"ขอให้ได้ตัวนายกิตติศักดิ์ มาก่อน จึงจะสามารถซักถามข้อเท็จจริงต่างๆ และการนำชื่อดารามาอ้าง ก็คงเพื่อสร้างฐานความน่าเชื่อถือมากกว่า เพราะคงไม่ช่วยให้การดำเนินธุรกิจมีกำรี้กำไรอะไร ไม่เหมือนบริษัทที่ปล่อยเงินกู้ ตรงนี้อาจทำเพื่อให้มีเครดิตในสังคมหรือแวดวงบันเทิง ส่วนกรณีของ บอย-ปกรณ์ เราตัดออกไปแล้ว หลังจากตรวจสอบแล้วไม่พบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ผมยกตัวอย่างหลายครั้งแล้วว่า เวลาไปซื้ออะไรมา คุณจะรู้ล่วงหน้าหรือไม่ว่าคนที่ไปซื้อทรัพย์สินของเขา เคยฟอกเงินเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา คงไม่มีใครรู้ แต่ต่อไปนี้ใครจะซื้อทรัพย์สินจากใครจะลำบากมากผมจะบอกให้ เพราะซื้อไปแล้วมีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะติดร่างแหในคดีฟอกเงิน หากคนที่ขายโดนคดีฟอกเงินก็จบเลยนะ” รอง ผบก.ป.กล่าว
พ.ต.อ.กรไชย กล่าวว่า ส่วนกรณีของสตรีทผับ ทาง พ.ต.อ.ณษ เศวตเลข รอง ผบก.ป.ก็มีการพิจารณาอายัดไว้ตรวจสอบด้วย เนื่องจากพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน ส่วนคอมพิวเตอร์ รวมทั้งเอกสารหลักฐานต่างๆ ที่ตรวจยึดและนำส่งให้กับทางเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) ตรวจสอบนั้น คงต้องรอผลการตรวจสอบแต่ยังตอบไม่ได้ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหน อย่างไรก็ดี หากพบว่ามีหลักฐานใดซึ่งน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีก็คงจะต้องนำส่งไปตรวจสอบด้วยทั้งหมด
*** “กิตติศักดิ์ มัทธุจัด” เผ่นจากเกาะฮ่องกงแล้ว
ด้าน พ.ต.อ.ณษ เศวตเลข รอง ผบก.ป.ในฐานะหัวหน้าชุดสอบสวนคดีลักเงินคงคลัง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวถึงความคืบหน้าคดีว่า ภายหลัง พ.ต.อ.จิรภพ ภูริเดช รักษาการ ผกก.1 บก.ป. พ.ต.ท.ต่อวงศ์ พิทักษ์โกศล สว.กก.1 บก.ป.นำกำลังจับกุมนางสมบัติ โสประดิษฐ์ และ น.ส.จันทร์จิรา โสประดิษฐ์ สองแม่ลูกผู้ต้องหา พร้อมตรวจยึดทรัพย์สินไว้ตรวจสอบหลายรายการนั้น จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้งสองยังให้การวกวน สับสน และไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลที่มาที่ไปของเงินและทรัพย์สินทั้งหมด
พ.ต.อ.ณษกล่าวว่า จากการสอบสวน น.ส.จันทร์จิรา อ้างว่าเงินได้รับการโอนมาจากนายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด ผู้ต้องหารายสำคัญในคดีนี้ โดยระบุว่าเป็นเงินที่โอนมาเพื่อใช้แทงพนันผลฟุตบอล ส่วนทรัพย์สินรายการต่างๆ ได้มาจากเงินที่ทำกิจการฟาร์มไก่ชนใน จ.สุพรรณบุรี ของนายปฐมพงศ์ ศรีโรจน์ แฟนหนุ่มของ น.ส.จันทร์จิรา และบางส่วนก็ได้มาจากการเปิดกิจการร้านรับสักคิ้ว อย่างไรก็ตาม ทางตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อ โดยพนักงานสอบสวนได้เตรียมคุมตัวผู้ต้องหาทั้งสองไปขออำนาจศาลจังหวัดมีนบุรีผัดฟ้องฝากขังเป็นครั้งแรกช่วงบ่ายวันเดียวกัน
ส่วนความคืบหน้าทางคดีนั้น พนักงานสอบสวนได้เร่งรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ เพื่อขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องในคดีเพิ่มเติมอีก 4 รายในเร็วๆ นี้ โดย 2 ใน 4 เป็นคนบุคคลที่มีความสนิทสนมกับนายกิตติศักดิ์ ตำรวจมีหลักฐานชัดเจน และมีความเชื่อมโยงกับเส้นทางการโอนเงิน แต่อีก 2 รายยังต้องหาหลักฐานเพิ่มเติม
สำหรับนายกิตติศักดิ์ผู้ต้องหารายสำคัญที่ยังหลบหนีอยู่นั้น พบว่าได้เดินทางออกจากฮ่องกงแล้ว ขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างตรวจสอบว่าหลบหนีไปประเทศใด ส่วนนายสมพงษ์ สหพรอุดมการ บิดาของนายจริวัฒน์ สหพรอุดมการ ซึ่งยังหลบหนี ล่าสุดได้รับการประสานว่าจะขอเข้ามอบต่อพนักงานสอบสวน แต่ยังไม่ได้ระบุวันเวลาใด