ASTVผู้จัดการรายวัน-กบง.เคาะลอยตัวแอลพีจี ปรับสูตรต้นทุนใหม่เป็นถัวเฉลี่ยทุกแหล่ง พร้อมประกาศราคาแนะนำเป็นรายเดือน นำร่อง 2 ก.พ. ที่ 488 เหรียญสหรัฐต่อตัน แต่ขายปลีกไม่เปลี่ยน ส่วนเดือนมี.ค. ขึ้นกับตลาดโลกชี้ชะตา พร้อมแยกบัญชีแอลพีจีออกมาให้ชัด เลิกให้คนใช้น้ำมันอุ้มราคา ให้คนใช้แอลพีจีอุ้มกันเอง ส่วนคนมีรายได้น้อย 7.6 ล้านราย จะดูแลต่อไป ปตท. ยิ้มรับ ไม่ต้องแบกขาดทุนปีละหมื่นล้านบาท ส่วน NGV ลั่นต้องขยับตามต้นทุน ด้าน สปช.เตรียมสรุปรายงานสัมปทานปิโตรเลียมแปลงที่ 21สัปดาห์หน้า ก่อนเสนอนายกฯ 15 ม.ค.นี้
นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติเห็นชอบปรับโครงสร้างราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.2557 ด้วยการกำหนดการคำนวณสูตรราคาใหม่ถัวเฉลี่ยจากแหล่งกำเนิด 3 แหล่ง คือ แอลพีจีนำเข้า โรงกลั่น และโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ซึ่งจากการคำนวณราคาเฉลี่ยรวมค่าขนส่ง ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 488 เหรียญสหรัฐต่อตัน โดยราคาดังกล่าวจะใช้อ้างอิงตั้งแต่วันที่ 2 ก.พ. 2558แต่ราคาแอลพีจีจะคงเดิมที่ 24.16 บาทต่อกิโลกรัม และหลังจากนั้น จะดูราคาตลาดโลก เพื่อแจ้งปรับราคาเป็นรายเดือนทุกเดือน
“ราคาใหม่ที่ประกาศใช้ จะเป็นราคาถัวเฉลี่ยจากทุกแหล่ง คือ โรงแยกก๊าซฯ 48% โรงกลั่นน้ำมัน 25% และนำเข้า27% โดยในส่วนของราคาหน้าโรงแยกก๊าซฯ ได้ยกเลิกราคา 333 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน หน้าโรงกลั่น เปลี่ยนมาเป็นการอิงราคาตะวันออกกลางติดลบ 20 เหรียญสหรัฐต่อตัน (สมมติฐานการส่งออกไปจีน) จากเดิมที่ราคาหน้าโรงกลั่นอ้างอิงราคาตะวันออกกลาง 76% และอิงราคาหน้าโรงแยกก๊าซ 24% ขณะที่ราคานำเข้า จะใช้ราคาตะวันออกกลาง บวกค่าขนส่ง 85 เหรียญสหรัฐต่อตัน"นายณรงค์ชัยกล่าว
สำหรับราคาขายให้กับทุกกลุ่ม ทั้งครัวเรือน ขนส่ง อุตสาหกรรม และปิโตรเคมี จะใช้ราคาเดียวกันอ้างอิงสูตรใหม่ ทำให้ยกเลิกสูตรปิโตรเคมีที่ใช้ราคาอิงต้นราคาขายปิโตรเคมี
นอกจากนี้ เพื่อลดการอุดหนุนข้ามกลุ่ม ตั้งแต่วันที่ 2 ก.พ.เป็นต้นไป จะมีการแยกบัญชีสำหรับแอลพีจีออกจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และยกเลิกการจัดเก็บกองทุนน้ำมันสำหรับปิโตรเคมีที่ปัจจุบันเก็บ 1 บาทต่อกก. เพราะถือว่าเป็นต้นทุนวัตถุดิบ ส่วนผู้มีรายได้น้อยยังได้สิทธิ์ซื้อราคาก๊าซแอลพีจีคงเดิม 18.13 บาท/กก. โดย ปตท. จะเป็นผู้รับภาระส่วนนี้แทนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งขณะนี้มีผู้ใช้สิทธิ์ 7.6 ล้านครัวเรือน หรือ 200 ล้านบาทต่อปี
ดังนั้น ในวันที่ 2 ก.พ. ราคาถัวเฉลี่ยแอลพีจีจะอยู่ที่ 488 เหรียญสหรัฐต่อตัน หรือ 16.11 บาท/กก. บนฐานคำนวณราคาตะวันออกกลาง 443 เหรียญสหรัฐต่อตัน การเก็บเงินกองทุนแอลพีจี จะอยู่ที่ประมาณ 82 สต. หากราคาตะวันออกกลางไม่เปลี่ยน ทำให้ราคาขายปลีกเดือนก.พ.จะเท่าเดิมที่ 24.16 บาทต่อกก. ซึ่งจะแยกบัญชีแอลพีจีออกมาต่างหากเลย ดังนั้น สมมติเดือนมี.ค.2558 ราคาแอลพีจีตลาดโลกลดลงก็มี 2 ทางเลือก คือ ลดให้ประชาชนไปเลย หรือจะตรึงเอาไว้ แล้วเก็บเงินสะสม เมื่อต่อไปแอลพีจีขึ้น ก็จะได้ไม่มีผลกระทบมาก คล้ายบริหารน้ำมัน
นายณรงค์ชัยกล่าวว่า สำหรับราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) กบง. ไม่ได้หารือแต่อย่างใด แต่หลักการจะค่อยๆ ทยอยขยับขึ้น ทั้งราคาทั่วไปที่ปัจจุบีนอยู่ที่ 12.50 บาทต่อกก. และราคาอุดหนุนรถสาธารณะ9.50 บาทต่อกก. เพราะต้นทุน ขณะนี้ยังใกล้เคียง16 บาทต่อกก. โดยที่ผ่านมา พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รมว.คมนาคม ไม่ได้หารือ เพื่อขอให้ตรึงราคาเพื่อใม่ให้กระทบค่าโดยสารสาธารณะแต่อย่างใด และเชื่อว่า รมว.คมนาคม จะเข้าใจถึงปัญหาที่จำเป็นต้องปรับราคา
"รมว.คมนาคม และรมว.พลังงาน ทำงานคนละหน้าที่กัน ซึ่งหวังว่าจะเข้าใจถึงการทำงานของกระทรวงพลังงาน"นายณรงค์ชัยกล่าว
นอกจากนี้ กบง.ยังได้พิจารณาเห็นชอบปรับอัตราเงินนำส่งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนของดีเซล 0.60 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ราคาขายปลีกไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนกลุ่มเบนซินไม่มีการจัดเก็บ ผู้ค้าน้ำมันจึงลดราคาลงในส่วนของกลุ่มเบนซินลดลงทุกชนิด 0.60 บาทต่อลิตร ยกเว้นแก๊สโซฮอล์ E 20 ลด 0.40 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ E 85 ลดลง 0.20 บาทต่อลิตรมีผล 8 ม.ค.2558 เป็นต้นไป ซึ่งผลดังกล่าวทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นเป็น 948 ล้านบาทต่อเดือน จากเดิมมีรายรับ6,567 ล้านบาทต่อเดือน เป็นประมาณ 7,516 ล้านบาทต่อเดือน โดยฐานะสุทธิเงินกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 4 ม.ค.2558 อยู่ที่ประมาณ 17,622 ล้านบาท
นายณัฐชาติ จารุจินดา ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ บมจ. ปตท. กล่าวว่า จากที่ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกลดลง ได้ส่งผลดี ทำให้ต้นทุนของเอ็นจีวีและแอลพีจีหน้าโรงแยกก๊าซธรรมชาติขยับลดลง ล่าสุดต้นทุนแอลพีจีหน้าโรงแยกก๊าซลดจาก 550 เหรียญสหรัฐต่อตัน เหลือ 448เหรียญสหรัฐต่อตัน ตามราคาเนื้อก๊าซในอ่าวไทยที่ลดลงตามราคาน้ำมันย้อนหลัง 6-12 เดือน แต่ราคาต้นทุน ต้องรวมค่าบริหารจัดการและเงินลงทุนการก่อสร้างโรงแยกก๊าซด้วย
“เฉพาะต้นทุนเนื้อก๊าซ 500 เหรียญสหรัฐต่อตัน ทาง ปตท.ต้องรับภาระ 170 เหรียญสหรัฐต่อตัน จากราคาแอลพีจีที่ภาครัฐกำหนดไว้เดิม 333 เหรียญสหรัฐต่อตัน ดังนั้น การที่ กบง. ปรับโครงสร้างแอลพีจีใหม่ จะปรับเพิ่มราคาหน้าโรงแยกก๊าซฯ จึงเป็นเรื่องที่ดีช่วยลดภาระที่ ปตท.แบกไว้ 10,000 ล้านบาทต่อปี” นายณัฐชาติกล่าว
นายอลงกรณ์ พลบุตร เลขานุการวิป สปช. ในฐานะกมธ.ปฎิรูปพลังงาน กล่าวว่า ในการประชุมวันที่ 12-13 ม.ค.นี้ จะมีวาระสำคัญ คือ การพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการปฎิรูปพลังงานเกี่ยวกับการสัมปทานปิโตรเลียมแปลงที่ 21 ภายหลังที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องการรับทราบความเห็นของ สปช. ก่อนวันที่ 15ม.ค. โดยในขณะนี้ กมธ.พลังงาน มี 3แนวทางที่จะนำเสนอต่อที่ประชุม สปช. ดังนี้ 1.ระบบสัมปทานไทยแลนด์ทรีพลัส ซึ่งยังมีการวิพากษ์วิจารณ์ ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ 2.ระบบแบ่งปันผลผลิต และ3.รอมติจากที่ประชุมสปช. โดยกมธ.ปฎิรูปพลังงาน จะมีการประชุมนัดสุดท้ายในวันที่ 12 ม.ค.นี้ และสามารถนำเข้าสู่ที่ประชุม สปช. และมีมตินำความเห็นเสนอต่อนายกรัฐมนตรีทันก่อนวันที่ 15 ม.ค.นี้ อย่างแน่นอน
นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติเห็นชอบปรับโครงสร้างราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.2557 ด้วยการกำหนดการคำนวณสูตรราคาใหม่ถัวเฉลี่ยจากแหล่งกำเนิด 3 แหล่ง คือ แอลพีจีนำเข้า โรงกลั่น และโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ซึ่งจากการคำนวณราคาเฉลี่ยรวมค่าขนส่ง ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 488 เหรียญสหรัฐต่อตัน โดยราคาดังกล่าวจะใช้อ้างอิงตั้งแต่วันที่ 2 ก.พ. 2558แต่ราคาแอลพีจีจะคงเดิมที่ 24.16 บาทต่อกิโลกรัม และหลังจากนั้น จะดูราคาตลาดโลก เพื่อแจ้งปรับราคาเป็นรายเดือนทุกเดือน
“ราคาใหม่ที่ประกาศใช้ จะเป็นราคาถัวเฉลี่ยจากทุกแหล่ง คือ โรงแยกก๊าซฯ 48% โรงกลั่นน้ำมัน 25% และนำเข้า27% โดยในส่วนของราคาหน้าโรงแยกก๊าซฯ ได้ยกเลิกราคา 333 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน หน้าโรงกลั่น เปลี่ยนมาเป็นการอิงราคาตะวันออกกลางติดลบ 20 เหรียญสหรัฐต่อตัน (สมมติฐานการส่งออกไปจีน) จากเดิมที่ราคาหน้าโรงกลั่นอ้างอิงราคาตะวันออกกลาง 76% และอิงราคาหน้าโรงแยกก๊าซ 24% ขณะที่ราคานำเข้า จะใช้ราคาตะวันออกกลาง บวกค่าขนส่ง 85 เหรียญสหรัฐต่อตัน"นายณรงค์ชัยกล่าว
สำหรับราคาขายให้กับทุกกลุ่ม ทั้งครัวเรือน ขนส่ง อุตสาหกรรม และปิโตรเคมี จะใช้ราคาเดียวกันอ้างอิงสูตรใหม่ ทำให้ยกเลิกสูตรปิโตรเคมีที่ใช้ราคาอิงต้นราคาขายปิโตรเคมี
นอกจากนี้ เพื่อลดการอุดหนุนข้ามกลุ่ม ตั้งแต่วันที่ 2 ก.พ.เป็นต้นไป จะมีการแยกบัญชีสำหรับแอลพีจีออกจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และยกเลิกการจัดเก็บกองทุนน้ำมันสำหรับปิโตรเคมีที่ปัจจุบันเก็บ 1 บาทต่อกก. เพราะถือว่าเป็นต้นทุนวัตถุดิบ ส่วนผู้มีรายได้น้อยยังได้สิทธิ์ซื้อราคาก๊าซแอลพีจีคงเดิม 18.13 บาท/กก. โดย ปตท. จะเป็นผู้รับภาระส่วนนี้แทนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งขณะนี้มีผู้ใช้สิทธิ์ 7.6 ล้านครัวเรือน หรือ 200 ล้านบาทต่อปี
ดังนั้น ในวันที่ 2 ก.พ. ราคาถัวเฉลี่ยแอลพีจีจะอยู่ที่ 488 เหรียญสหรัฐต่อตัน หรือ 16.11 บาท/กก. บนฐานคำนวณราคาตะวันออกกลาง 443 เหรียญสหรัฐต่อตัน การเก็บเงินกองทุนแอลพีจี จะอยู่ที่ประมาณ 82 สต. หากราคาตะวันออกกลางไม่เปลี่ยน ทำให้ราคาขายปลีกเดือนก.พ.จะเท่าเดิมที่ 24.16 บาทต่อกก. ซึ่งจะแยกบัญชีแอลพีจีออกมาต่างหากเลย ดังนั้น สมมติเดือนมี.ค.2558 ราคาแอลพีจีตลาดโลกลดลงก็มี 2 ทางเลือก คือ ลดให้ประชาชนไปเลย หรือจะตรึงเอาไว้ แล้วเก็บเงินสะสม เมื่อต่อไปแอลพีจีขึ้น ก็จะได้ไม่มีผลกระทบมาก คล้ายบริหารน้ำมัน
นายณรงค์ชัยกล่าวว่า สำหรับราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) กบง. ไม่ได้หารือแต่อย่างใด แต่หลักการจะค่อยๆ ทยอยขยับขึ้น ทั้งราคาทั่วไปที่ปัจจุบีนอยู่ที่ 12.50 บาทต่อกก. และราคาอุดหนุนรถสาธารณะ9.50 บาทต่อกก. เพราะต้นทุน ขณะนี้ยังใกล้เคียง16 บาทต่อกก. โดยที่ผ่านมา พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รมว.คมนาคม ไม่ได้หารือ เพื่อขอให้ตรึงราคาเพื่อใม่ให้กระทบค่าโดยสารสาธารณะแต่อย่างใด และเชื่อว่า รมว.คมนาคม จะเข้าใจถึงปัญหาที่จำเป็นต้องปรับราคา
"รมว.คมนาคม และรมว.พลังงาน ทำงานคนละหน้าที่กัน ซึ่งหวังว่าจะเข้าใจถึงการทำงานของกระทรวงพลังงาน"นายณรงค์ชัยกล่าว
นอกจากนี้ กบง.ยังได้พิจารณาเห็นชอบปรับอัตราเงินนำส่งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนของดีเซล 0.60 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ราคาขายปลีกไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนกลุ่มเบนซินไม่มีการจัดเก็บ ผู้ค้าน้ำมันจึงลดราคาลงในส่วนของกลุ่มเบนซินลดลงทุกชนิด 0.60 บาทต่อลิตร ยกเว้นแก๊สโซฮอล์ E 20 ลด 0.40 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ E 85 ลดลง 0.20 บาทต่อลิตรมีผล 8 ม.ค.2558 เป็นต้นไป ซึ่งผลดังกล่าวทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นเป็น 948 ล้านบาทต่อเดือน จากเดิมมีรายรับ6,567 ล้านบาทต่อเดือน เป็นประมาณ 7,516 ล้านบาทต่อเดือน โดยฐานะสุทธิเงินกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 4 ม.ค.2558 อยู่ที่ประมาณ 17,622 ล้านบาท
นายณัฐชาติ จารุจินดา ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ บมจ. ปตท. กล่าวว่า จากที่ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกลดลง ได้ส่งผลดี ทำให้ต้นทุนของเอ็นจีวีและแอลพีจีหน้าโรงแยกก๊าซธรรมชาติขยับลดลง ล่าสุดต้นทุนแอลพีจีหน้าโรงแยกก๊าซลดจาก 550 เหรียญสหรัฐต่อตัน เหลือ 448เหรียญสหรัฐต่อตัน ตามราคาเนื้อก๊าซในอ่าวไทยที่ลดลงตามราคาน้ำมันย้อนหลัง 6-12 เดือน แต่ราคาต้นทุน ต้องรวมค่าบริหารจัดการและเงินลงทุนการก่อสร้างโรงแยกก๊าซด้วย
“เฉพาะต้นทุนเนื้อก๊าซ 500 เหรียญสหรัฐต่อตัน ทาง ปตท.ต้องรับภาระ 170 เหรียญสหรัฐต่อตัน จากราคาแอลพีจีที่ภาครัฐกำหนดไว้เดิม 333 เหรียญสหรัฐต่อตัน ดังนั้น การที่ กบง. ปรับโครงสร้างแอลพีจีใหม่ จะปรับเพิ่มราคาหน้าโรงแยกก๊าซฯ จึงเป็นเรื่องที่ดีช่วยลดภาระที่ ปตท.แบกไว้ 10,000 ล้านบาทต่อปี” นายณัฐชาติกล่าว
นายอลงกรณ์ พลบุตร เลขานุการวิป สปช. ในฐานะกมธ.ปฎิรูปพลังงาน กล่าวว่า ในการประชุมวันที่ 12-13 ม.ค.นี้ จะมีวาระสำคัญ คือ การพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการปฎิรูปพลังงานเกี่ยวกับการสัมปทานปิโตรเลียมแปลงที่ 21 ภายหลังที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องการรับทราบความเห็นของ สปช. ก่อนวันที่ 15ม.ค. โดยในขณะนี้ กมธ.พลังงาน มี 3แนวทางที่จะนำเสนอต่อที่ประชุม สปช. ดังนี้ 1.ระบบสัมปทานไทยแลนด์ทรีพลัส ซึ่งยังมีการวิพากษ์วิจารณ์ ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ 2.ระบบแบ่งปันผลผลิต และ3.รอมติจากที่ประชุมสปช. โดยกมธ.ปฎิรูปพลังงาน จะมีการประชุมนัดสุดท้ายในวันที่ 12 ม.ค.นี้ และสามารถนำเข้าสู่ที่ประชุม สปช. และมีมตินำความเห็นเสนอต่อนายกรัฐมนตรีทันก่อนวันที่ 15 ม.ค.นี้ อย่างแน่นอน
