xs
xsm
sm
md
lg

ทุจริตปตท. ปลูกปาล์มอินโดฯ เจอโกงมโหฬารแต่ช่วยกันปิด!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

**การประกาศปฏิทินสอบโกงของ วิชา มหาคุณ หนึ่งในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ออกมาระบุถึง การทุจริตปลูกปาล์มในอินโดนีเซีย ของบริษัท ปตท. ที่ไปตั้งบริษัทลูกที่สิงคโปร์ ภายใต้ชื่อ ปตท.กรีน เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด(PTTGE)เมื่อเดือนกันยายน 2550 ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 10,860 ล้านบาท มีเป้าหมายปลูกปาล์มในอินโดนีเซียมากถึง 3.1 ล้านไร่ โดยพบว่าเป็นกิจการที่นอกจากจะขาดทุนอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังมีเงื่อน งำทั้งการทุจริต และการกระทำที่ผิดกฎหมายรวมอยู่ด้วย
หน้าที่ของ ป.ป.ช.คือการตรวจสอบและเอาผิดกับผู้บริหารปตท. ที่ทำให้เกิดความเสียหาย มีการตั้งพล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง กรรมการป.ป.ช.เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวนกรณีนี้ไปแล้ว และน่าจะมีข้อสรุปในการชี้มูลความผิดภายในปีนี้
ประเด็นที่น่าสนใจคือ นอกจากเรื่องนี้จะอยู่ในระหว่างการสอบข้อเท็จจริงของป.ป.ช.แล้ว ความจริงมีข้อสรุปถึงการกระทำความผิดจากการตรวจสอบภายในของ ปตท.เองด้วย แต่กลับไม่มีการเปิดเผยผลการตรวจสอบต่อสาธารณะ ทั้งเรื่องความเสียหาย คนทุจริต และการลงโทษคนผิด ทั้งๆ ที่มีการอนุมัตให้ฝ่ายตรวจสอบภายในปตท. สอบเรื่องนี้ตั้งแต่เดือน พ.ค.55 และตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเมื่อวันที่ 18 ก.ค.55 ก่อนจะมีข้อสรุปส่งให้ผู้บริหารปตท.ใน วันที่ 17 ธ.ค.55 โดยมีการสอบใน 3 ประเด็น มีผลสรุป ดังนี้
1. การลงทุนในโครงการ PT.Az Zhara และ PT.FBP เป็นไปตามขอบเขตและเป้าหมายที่ได้รับอนุมัติจากบอร์ดปตท. หรือไม่ กรณีไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ได้เกิดความเสียหายต่อ PTTGEอย่างไร ซึ่งพบว่า การดำเนินการทั้งหมดไม่เป็นไปตามที่บอร์ดปตท.เห็นชอบ ทั้งเงื่อนไขจำนวนพื้นที่ วงเงินลงทุน เงื่อนไขราคา สัดส่วนการซื้อ และการชำระหุ้น ถือเป็นการกระทำนอกอำนาจ และก่อให้เกิดความเสียหายต่อปตท.
2. การบริหารสัญญาลงทุนโครงการ PT.MAR(Pontianak)กรณีก่อสร้างโรงสกัดน้ำมันปาล์มโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายเป็นการกระทำที่ถูกต้องหรือไม่ ในประเด็นนี้ ผลสอบสวนระบุว่า บอร์ดปตท. อนุมัติเฉพาะเงินลงทุนเพื่อให้ได้สิทธิในที่ดินและค่าใช้จ่ายในการพัฒนา ซึ่งไม่ครอบคลุมการลงทุนสร้างโรงสกัดน้ำมันปาล์ม แต่ PTTGEได้ลงนามสัญญา Share Purchase Agreementโดยเงื่อนไขกำหนดให้ผู้ถือหุ้นฝั่งอินโดนีเซีย คือ Darmadi ต้องดำเนินการเรื่องใบอนุญาตก่อสร้างโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มตามเวลาที่กำหนด โดยมีความผิดปกติที่มีการแก้ไขสัญญาขยายเวลาให้ เมื่อบริษัทดังกล่าวไม่สามารถดำเนินการได้ ที่สำคัญคือในปี 2552 มีการลงทุนก่อสร้าง ทั้งที่ยังไม่ได้รับใบอนุญาตให้ก่อสร้าง จึงถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายทั้งทางแพ่งและอาญา
3. การใช้จ่ายและการบริหารงบประมาณเป็นไปตามระเบียบของ PTTGE หรือไม่ กรณีนี้พบว่า มีการใช้งบประมาณเกินจากกรอบที่อนุมัติถึง 10% โดยที่ไม่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการ PTTGE ถือว่า "ฝ่าฝืน"ระเบียบการเงินของบริษัท
นอกจากนี้คณะกรรมการสอบสวนฯ ยังได้สรุปการเชื่อมโยงของบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เส้นทางการใช้เงินในแต่ละช่วงด้วย
**จะเห็นได้ว่า ผลสอบสวนดังกล่าวพบทั้งปัญหา และคนที่ต้องรับผิดชอบ แต่ผู้บริหารปตท. กลับอมพะนำปิดเงียบไม่รายงานต่อสาธารณชน ทั้งๆ ที่ นอกจากปตท. เป็นรัฐวิสาหกิจที่ต้องบริหารอย่างโปร่งใสแล้วยังเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ด้วย ในขณะที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ พยายามยืนยันมาโดยตลอดว่า เอาจริงเอาจังกับการลงโทษคนโกง แต่ก็ไม่เห็นแสดงถึงความสนใจในเรื่องนี้
นอกจากนี้ ผู้บริหารปตท.ยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ก็จงใจที่จะปกปิดข้อมูลการตรวจสอบ โดยการบ่ายเบี่ยงโยนไปให้ป.ป.ช.เป็นผู้ดำเนินการ และตัดปัญหาง่ายๆ ด้วยการประกาศยกเลิกการประกอบธุรกิจปลูกปาล์มที่อินโดนีเซีย ด้วยเหตุผลว่าขาดทุนต่อเนื่อง แต่ไม่มีการระบุถึงความเสียหายจากการทุจริต และการลงโทษคนผิดในโครงการนี้
แตกต่างจากการประโคมข่าวตีปี๊บว่า ปตท.ประสบภาวะขาดทุนจากการอุดหนุนแอลพีจี และเอ็นจีวี ราวสามหมื่นล้านบาทต่อปี ส่งผลให้รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ปรับราคาก๊าซให้ประชาชนจ่ายแพงเพื่อเพิ่มกำไรให้กับปตท. แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ผู้บริหารปตท. มีปัญหาในเรื่องการให้ข้อมูลต่อสาธารณะ โดยหยิบยกเฉพาะประเด็นที่เป็นประโยชน์ สร้างผลกำไรให้กับปตท. มายัดเยียดให้คนไทยยอมรับ แต่ปกปิดข้อมูลการทุจริตที่ประชาชนควรรู้ ในฐานะที่เป็นเจ้าของปตท.ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ
**หากพล.อ.ประยุทธ์ จริงใจในการจัดการปัญหาการทุจริตดังที่พูดไว้ ต้องให้ปตท. เปิดเผยข้อมูลการสอบสวนทั้งหมด และให้มีการลงโทษคนที่กระทำความผิดอย่างจริงจังเพื่อให้เป็นกรณีตัวอย่าง เพราะการสอบสวนภายในของ ปตท. เป็นคนละส่วนกับการตรวจสอบของป.ป.ช. จึงต้องมีข้อสรุปเบื้องต้นในการจัดการปัญหาภายในองค์กรของตัวเองก่อน เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นว่า ปตท.มีการบริหารที่ยึดหลักธรรมาภิบาล ไม่ใช่การปิดตาประชาชนเพื่ออุ้มพวกพ้องตัวเอง
เรื่องนี้คนที่รู้ดีที่สุดคนหนึ่ง คือ อาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และ รมช.คมนาคม ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เพราะเป็นคณะกรรมการพิจารณาการขายที่ดินโครงการดังกล่าวซึ่งถูกตั้งข้อสังเกตว่า มีการซื้อที่ดินในราคาที่สูงเกินจริงถึง 35 % แถมบางพื้นที่ยังไม่มีเอกสารสิทธิ เป็นพื้นที่น้ำท่วมอีกด้วย
ทำไมรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ไม่สร้างความกระจ่างต่อสังคม ด้วยการเปิดเผยผลสรุปจากการตรวจสอบให้สาธารณชนรับทราบว่ามีปัญหาจริงตามที่มีการตั้งข้อสังเกตไว้หรือไม่ อย่าอ้างว่าส่งเรื่องให้ป.ป.ช.ตรวจสอบแล้วถือว่าหมดหน้าที่ เพราะเป็นคนละส่วนกัน
**การเอาผิดกับคนโกงต้องเริ่มต้นจากผู้บริหารปตท. และรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ที่ต้องดำเนินการให้เห็นเป็นอันดับแรก ถ้ายังเพิกเฉย ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ก็จะเป็นว่า วาทกรรมคำโตเกี่ยวกับการปราบโกงของท่านผู้นำเป็นแค่ลมปาก เพราะจากที่คิดว่าจะ“เปลี่ยน”กลายเป็นเรื่องที่คนไทยต้อง“ปลง”แทน !!
กำลังโหลดความคิดเห็น