ASTV ผู้จัดการรายวัน - ราคาน้ำมันอ่อนตัวลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 6 ปีฉุดดัชนีหุ้นทั่วโลกร่วงระนาว ด้านปัจจัยลบในประเทศแรงขาย LTF ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดหุ้นไทยร่วงหนักกว่า 24 จุด ก่อนจะมีแรงซื้อหนุนให้เด้งกลับมาปิดที่ 1,477.58 จุด ลดลงแค่ 5.67 จุด นักวิเคราะห์ระบุแนวรับที่ 1,460 จุดทำหน้าที่ได้อย่างแข็งแกร่ง นักวิเคราะห์แนะนำทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดี
สถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อดัชนีตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะล่าสุด ราคาน้ำมันดิบตลาดไนเม็กซ์ สหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์ ลดลง 2.65 ดอลลาร์ หรือลดลง 5.03% ปิดที่ 50.04ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากความกังวลน้ำมันล้นตลาดและค่าเงินสหรัฐที่แข็งค่าขึ้น กดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อคืนที่ผ่านมา ปิดแดนลบแรงยกระดานดาวโจนส์ ลดลง 331.34 จุด หรือ -1.86 เปอร์เซ็นต์ ปิดที่17,501.65 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 37.62 จุด หรือ -1.83 เปอร์เซ็นต์ ปิดที่ 2,020.58 จุด แนสแดค ลดลง 74.24 จุด หรือ-1.57 เปอร์เซ็นต์ ปิดที่ 4,652.57 จุด
จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วานนี้ (6 ม.ค.) ปรับตัวลดลงเช่นกัน โดยปิดตลาดที่ 1,477.58 จุด ลดลง 5.67 จุด เปลี่ยนแปลง 0.38% โดยระหว่างวันแตะจุดสูงสุดที่ 1,478.35 จุด ต่ำสุดที่ 1,459.22 จุด มูลค่าการซื้อขายรวม 47,746.72 ล้านบาท
โดยนักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 1,398.34 ล้านบาท บริษัทหลักทรัพย์ ซื้อสุทธิ 578.55 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 3,965.19 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 4,784.98 ล้านบาท
นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรพัย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ระบุราคาน้ำมันดิบโลกยังคงตกต่ำต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 โดยลดลง 52.4% เหลือ 52.35 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล นับเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 6 ปี หรือใกล้เคียงกับช่วง พ.ค. 2552 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดวิกฤติซับไพร์ม ในสหรัฐ และหนี้สาธารณะในยุโรป กดดันให้เกิดแรงขายในทุกตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทย อย่างไรก็ตามแนวรับที่ 1,460 จุดสามารถตานท้านแรงขายได้อย่างแข็งแกร่งทำให้เห็น Technical Rebound เป็นบางช่วง กลยุทธ์การลงทุนในช่วงสั้นนี้ เน้นลักษณะ เทรดดิ้ง แบบ ขึ้นแรงขาย ลงแรงซื้อ เน้นหุ้นที่ผลการดำเนินงานใน 4Q57 เติบโตเด่น หรือเป็นหุ้นปันผลเด่นในงวดจ่ายนี้
พร้อมกันนี้ได้เปิดเผยผลการวิเคราะห์ความเคลื่อนไหวดัชนีไตรมาสแรกปี 2558 ว่า ตลาดหุ้นจะมีความผันผวนสูงมาก เนื่องจากเป็นปีที่มีทั้งปัจจัยบวกและลบผสมกัน ในขณะที่ราคาหุ้นในปัจจุบันถือว่าได้สะท้อนผลการดำเนินงานปี 2558 ไปบ้างแล้ว ดังนั้น หากการเติบโตของผลการดำเนินงานไม่เป็นไปตามคาดก็จะทำให้ตลาดหุ้นมีโอกาสปรับตัวลดลง โดยมีปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ 1) การคาดการณ์เรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯที่คาดว่าจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นตลอดทั้งปี โดยเราคาดว่ามีโอกาสเกิดขึ้นจริงในช่วง 2H58
2) การแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯส่งผลลบต่อตลาดหุ้นเกิดใหม่ 3) นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของยุโรป ญี่ปุ่น และ จีน คาดว่าจะส่งผลดีเพียงระยะสั้น 4) การเพิ่มสัดส่วนเงินลงทุนในหุ้นของกองทุนบำเหน็จบำนาญญี่ปุ่น (GPIF) ถือว่าเป็นบวกกับตลาดหุ้นทั่วโลก 5) ปัญหาเศรษฐกิจถดถอยของรัสเซีย การอ่อนค่าของเงินรูเบิล กระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของรัสเซีย มีโอกาสกระทบต่อตลาดการเงินโลก 6) การเมืองไทย ซึ่งต้องติดตามการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ซึ่งมีผลกระทบต่ออนาคตการเมืองไทย 7) การลดลงของราคาน้ำมันดิบจะส่งผลดีต่อการปฏิรูปพลังงาน และ ช่วยลดต้นทุนภาคธุรกิจ เพิ่มกำลังซื้อให้กับผู้บริโภค 8) การปฏิรูปภาษี โดยเฉพาะภาษี VAT หากขึ้นจะกระทบต่อตลาดหุ้น
“ไตรมาสที่ 1/58 อาจเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี เราคาดว่า SET Index มีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นไปที่ระดับ 1640 จุด ได้ในไตรมาสที่ 1/58 เพราะเป็นช่วงที่ปัจจัยเสี่ยงน้อยที่สุดของปี เนื่องจาก เราประเมินว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) และ รัฐบาลจีน มีโอกาสออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม เพื่อต่อสู้กับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว โดยไม่ต้องกังวลกับความเสี่ยงในเรื่องเงินเฟ้อ เนื่องจาก คาดว่าราคาน้ำมันดิบจะยังคงทรงตัวในระดับต่ำ รวมถึงคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ(Fed) ยังคงไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในไตรมาสนี้” นางสาวมยุรี กล่าว
ส่วนปัจจัยในประเทศ คาดว่าจะเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นตามลำดับ รวมถึง ความคืบหน้าของโครงการลงทุนของรัฐบาลในด้านต่างๆ โดยเฉพาะ ความชัดเจนของนโยบายเศรษฐกิจดิจิทรัล (Digital economy) เนื่องจาก ประเมินว่า กฏหมายสำคัญที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจไอซีทีจะได้รับการอนุมัติจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ภายในไตรมาสที่ 1/58 นี้ ส่วนแรงขายจากกองทุน LTF คาดว่าจะไม่มากเท่ากับต้นปี 2557
ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง แนะนำกลยุทธ์ไตรมาสที่ 1/58 เน้นลงทุนหุ้นกลุ่มสื่อสาร เพราะปลอดภัยจากความผันผวน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานักลงทุนมักให้ความสำคัญกับเรื่องประเด็นการลงทุนเกี่ยวกับเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure play) ส่งผลให้ราคาหุ้นรับเหมาก่อสร้างปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก
สถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อดัชนีตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะล่าสุด ราคาน้ำมันดิบตลาดไนเม็กซ์ สหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์ ลดลง 2.65 ดอลลาร์ หรือลดลง 5.03% ปิดที่ 50.04ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากความกังวลน้ำมันล้นตลาดและค่าเงินสหรัฐที่แข็งค่าขึ้น กดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อคืนที่ผ่านมา ปิดแดนลบแรงยกระดานดาวโจนส์ ลดลง 331.34 จุด หรือ -1.86 เปอร์เซ็นต์ ปิดที่17,501.65 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 37.62 จุด หรือ -1.83 เปอร์เซ็นต์ ปิดที่ 2,020.58 จุด แนสแดค ลดลง 74.24 จุด หรือ-1.57 เปอร์เซ็นต์ ปิดที่ 4,652.57 จุด
จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วานนี้ (6 ม.ค.) ปรับตัวลดลงเช่นกัน โดยปิดตลาดที่ 1,477.58 จุด ลดลง 5.67 จุด เปลี่ยนแปลง 0.38% โดยระหว่างวันแตะจุดสูงสุดที่ 1,478.35 จุด ต่ำสุดที่ 1,459.22 จุด มูลค่าการซื้อขายรวม 47,746.72 ล้านบาท
โดยนักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 1,398.34 ล้านบาท บริษัทหลักทรัพย์ ซื้อสุทธิ 578.55 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 3,965.19 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 4,784.98 ล้านบาท
นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรพัย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ระบุราคาน้ำมันดิบโลกยังคงตกต่ำต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 โดยลดลง 52.4% เหลือ 52.35 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล นับเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 6 ปี หรือใกล้เคียงกับช่วง พ.ค. 2552 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดวิกฤติซับไพร์ม ในสหรัฐ และหนี้สาธารณะในยุโรป กดดันให้เกิดแรงขายในทุกตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทย อย่างไรก็ตามแนวรับที่ 1,460 จุดสามารถตานท้านแรงขายได้อย่างแข็งแกร่งทำให้เห็น Technical Rebound เป็นบางช่วง กลยุทธ์การลงทุนในช่วงสั้นนี้ เน้นลักษณะ เทรดดิ้ง แบบ ขึ้นแรงขาย ลงแรงซื้อ เน้นหุ้นที่ผลการดำเนินงานใน 4Q57 เติบโตเด่น หรือเป็นหุ้นปันผลเด่นในงวดจ่ายนี้
พร้อมกันนี้ได้เปิดเผยผลการวิเคราะห์ความเคลื่อนไหวดัชนีไตรมาสแรกปี 2558 ว่า ตลาดหุ้นจะมีความผันผวนสูงมาก เนื่องจากเป็นปีที่มีทั้งปัจจัยบวกและลบผสมกัน ในขณะที่ราคาหุ้นในปัจจุบันถือว่าได้สะท้อนผลการดำเนินงานปี 2558 ไปบ้างแล้ว ดังนั้น หากการเติบโตของผลการดำเนินงานไม่เป็นไปตามคาดก็จะทำให้ตลาดหุ้นมีโอกาสปรับตัวลดลง โดยมีปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ 1) การคาดการณ์เรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯที่คาดว่าจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นตลอดทั้งปี โดยเราคาดว่ามีโอกาสเกิดขึ้นจริงในช่วง 2H58
2) การแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯส่งผลลบต่อตลาดหุ้นเกิดใหม่ 3) นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของยุโรป ญี่ปุ่น และ จีน คาดว่าจะส่งผลดีเพียงระยะสั้น 4) การเพิ่มสัดส่วนเงินลงทุนในหุ้นของกองทุนบำเหน็จบำนาญญี่ปุ่น (GPIF) ถือว่าเป็นบวกกับตลาดหุ้นทั่วโลก 5) ปัญหาเศรษฐกิจถดถอยของรัสเซีย การอ่อนค่าของเงินรูเบิล กระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของรัสเซีย มีโอกาสกระทบต่อตลาดการเงินโลก 6) การเมืองไทย ซึ่งต้องติดตามการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ซึ่งมีผลกระทบต่ออนาคตการเมืองไทย 7) การลดลงของราคาน้ำมันดิบจะส่งผลดีต่อการปฏิรูปพลังงาน และ ช่วยลดต้นทุนภาคธุรกิจ เพิ่มกำลังซื้อให้กับผู้บริโภค 8) การปฏิรูปภาษี โดยเฉพาะภาษี VAT หากขึ้นจะกระทบต่อตลาดหุ้น
“ไตรมาสที่ 1/58 อาจเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี เราคาดว่า SET Index มีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นไปที่ระดับ 1640 จุด ได้ในไตรมาสที่ 1/58 เพราะเป็นช่วงที่ปัจจัยเสี่ยงน้อยที่สุดของปี เนื่องจาก เราประเมินว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) และ รัฐบาลจีน มีโอกาสออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม เพื่อต่อสู้กับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว โดยไม่ต้องกังวลกับความเสี่ยงในเรื่องเงินเฟ้อ เนื่องจาก คาดว่าราคาน้ำมันดิบจะยังคงทรงตัวในระดับต่ำ รวมถึงคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ(Fed) ยังคงไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในไตรมาสนี้” นางสาวมยุรี กล่าว
ส่วนปัจจัยในประเทศ คาดว่าจะเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นตามลำดับ รวมถึง ความคืบหน้าของโครงการลงทุนของรัฐบาลในด้านต่างๆ โดยเฉพาะ ความชัดเจนของนโยบายเศรษฐกิจดิจิทรัล (Digital economy) เนื่องจาก ประเมินว่า กฏหมายสำคัญที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจไอซีทีจะได้รับการอนุมัติจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ภายในไตรมาสที่ 1/58 นี้ ส่วนแรงขายจากกองทุน LTF คาดว่าจะไม่มากเท่ากับต้นปี 2557
ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง แนะนำกลยุทธ์ไตรมาสที่ 1/58 เน้นลงทุนหุ้นกลุ่มสื่อสาร เพราะปลอดภัยจากความผันผวน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานักลงทุนมักให้ความสำคัญกับเรื่องประเด็นการลงทุนเกี่ยวกับเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure play) ส่งผลให้ราคาหุ้นรับเหมาก่อสร้างปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก