Research by: MBKET Research
Digital economy ความหวังใหม่ตลาดหุ้นไทย
ปี 2557 ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นด้วยสภาพคล่อง และความหวัง ภาพรวมของตลาดหุ้นปี 2557 ที่เพิ่มขึ้นไปถึง 1,600 จุด +20% ถือว่าถูกขับเคลื่อนจากปัจจัยด้านสภาพคล่องเป็นหลัก ส่งผลให้ค่า PER ปัจจุบันของตลาดฯเพิ่มขึ้นถึง 19 เท่า จาก 14.6 เท่า ณ สิ้นปี 56 ในขณะที่กำไรสุทธิงวด 9 เดือนปี 57 กับลดลง 5% สวนทางกับราคาหุ้น ภาพดังกล่าวสะท้อนว่า นักลงทุนมีความคาดหวังอย่างมากว่าผลการดำเนินงานในปี 2558 จะเติบโตได้ดี ดังนั้น หากผลการดำเนินงานปี 2558 ไม่ฟื้นตัวตามคาดก็จะกลายเป็นปัจจัยลบหลักของตลาดฯ
ไตรมาสที่ 4/57 ความร้อนแรงลดลง ตลาดหุ้นในไตรมาสที่ 4/57 ถูกกดดันจากหลายปัจจัย ได้แก่ จากความกังวลเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ ยุติมาตรการ QE ภาวะเศรษฐกิจยุโรปชะลอตัวรอบใหม่ รวมถึงปัญหาการเมืองกรีซ ถึงแม้ว่าจะมีปัจจัยหนุนจากแรงซื้อของกองทุน LTF แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้ SET Index ปรับตัวขึ้นผ่าน 1,600 จุดได้ ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มพลังงานเป็นหุ้นที่กดดันตลาดฯ ส่วนหุ้นกลุ่มหลักที่นำตลาดฯ ได้แก่ ขนส่ง และสื่อสาร เป็นต้น
ปี 2558 ความผันผวนสูงขึ้นกว่าปี 2557 เราประเมินว่า ตลาดหุ้นจะมีความผันผวนสูงมากในปี 2558 เนื่องจากเป็นปีที่มีทั้งปัจจัยบวกและลบผสมกัน ในขณะที่ราคาหุ้นในปัจจุบันถือว่าได้สะท้อนผลการดำเนินงานปี 2558 ไปบ้างแล้ว ดังนั้น หากการเติบโตของผลการดำเนินงานไม่เป็นไปตามคาดก็จะทำให้ตลาดหุ้นมีโอกาสปรับตัวลดลง ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ 1) การคาดการณ์เรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นตลอดทั้งปี โดยเราคาดว่ามีโอกาสเกิดขึ้นจริงในช่วง 2H58 2) การแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐส่งผลลบต่อตลาดหุ้นเกิดใหม่ 3) นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของยุโรป ญี่ปุ่น และจีน คาดว่าจะส่งผลดีเพียงระยะสั้น 4) การเพิ่มสัดส่วนเงินลงทุนในหุ้นของกองทุนบำเหน็จบำนาญญี่ปุ่น (GPIF) ถือว่าเป็นบวกต่อตลาดหุ้นทั่วโลก 5) ปัญหาเศรษฐกิจถดถอยของรัสเซีย การอ่อนค่าของเงินรูเบิล กระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของรัสเซีย มีโอกาสกระทบต่อตลาดการเงินโลก 6) การเมืองไทย ซึ่งต้องติดตามการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งมีผลกระทบต่ออนาคตการเมืองไทย 7) การลดลงของราคาน้ำมันดิบจะส่งผลดีต่อการปฏิรูปพลังงาน และช่วยลดต้นทุนภาคธุรกิจ เพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้บริโภค 8) การปฏิรูปภาษี โดยเฉพาะภาษี VAT หากขึ้นจะกระทบต่อตลาดหุ้น
โดยสรุปแล้ว เราประเมินว่าตลาดหุ้นในปี 2558 มีโอกาสให้ผลตอบแทนระหว่าง 0 ถึง 8% (เท่ากับค่าเฉลี่ยของผลตอบแทน 10 ปี (2546-56) ไม่รวมเงินปันผล) โดยเรายังคงยืนยันเป้าหมายของ SET Index ปี 2558 ไว้ที่เดิมที่ 1,640 จุด ทั้งนี้ เรามีโอกาสทบทวนเป้าหมาย SET Index ในช่วง 2H58 หากเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และผลสำเร็จของการปฏิรูปประเทศไทย
ไตรมาสที่ 1/58 อาจเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี เราคาดว่า SET Index มีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นไปที่ระดับ 1,640 จุดได้ในไตรมาสที่ 1/58 เพราะเป็นช่วงที่ปัจจัยเสี่ยงน้อยที่สุดของปี เนื่องจากเราประเมินว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) และ รัฐบาลจีน มีโอกาสออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม เพื่อต่อสู้กับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว โดยไม่ต้องกังวลต่อความเสี่ยงในเรื่องเงินเฟ้อ เนื่องจากคาดว่าราคาน้ำมันดิบจะยังคงทรงตัวในระดับต่ำ รวมถึงคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยังคงไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในไตรมาสนี้ ส่วนปัจจัยในประเทศคาดว่าจะเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นตามลำดับ รวมถึงความคืบหน้าของโครงการลงทุนของรัฐบาลในด้านต่างๆ โดยเฉพาะความชัดเจนของนโยบายเศรษฐกิจดิจิตอล (Digital economy) เนื่องจากประเมินว่า กฎหมายสำคัญที่เกี่ยวข้องต่อธุรกิจไอซีทีจะได้รับการอนุมัติจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ภายในไตรมาสที่ 1/58 นี้ ส่วนแรงขายจากกองทุน LTF คาดว่าจะไม่มากเท่ากับต้นปี 2557
กลยุทธ์ไตรมาสที่ 1/58 เน้นลงทุนหุ้นกลุ่มสื่อสาร ปลอดภัยจากความผันผวน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานักลงทุนมักให้ความสำคัญต่อเรื่องประเด็นการลงทุนเกี่ยวกับเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure play) ส่งผลให้ราคาหุ้นรับเหมาก่อสร้างปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก สำหรับปี 2558 เป็นต้นไปเราเชื่อว่า รัฐบาลกำลังเร่งผลักดันนโยบายเศรษฐกิจดิจิตอล ซึ่งมีมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 2 ล้านล้านบาท ถือว่าใกล้เคียงกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ดังนั้น เราจึงประเมินว่าหุ้นกลุ่มสื่อสารจะเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับประโยชน์ ประกอบกับ ราคาหุ้นกลุ่มสื่อสารยังไม่ได้สะท้อนประเด็นดังกล่าว รวมถึงเป็นหุ้นที่มีเงินปันผลรองรับความผันผวนของตลาดฯ ดังนั้น เราจึงแนะนำให้เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มสื่อสารสำหรับไตรมาสที่ 1/58 ส่วนพอร์ตการลงทุนโดยรวมในไตรมาสที่ 1/58 เรามีการเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมต่อ Theme การลงทุนมากขึ้น โดยเราเพิ่ม SCC TASCO เนื่องจากประเด็นเรื่องการก่อสร้าง และผลประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบลดลง VGI จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และธุรกิจสื่อ HMPRO GOLD เป็นตัวแทนของหุ้นบริโภค เนื่องจากคาดว่าจะได้ผลบวกจากราคาน้ำมันในประเทศที่ลดลง โดยเรายังคงหุ้น ADVANC SAMART CK BMCL และ PTT