ผบช.น.ยอมรับมีคำสั่งเด้งนายตำรวจ เกี่ยวพันกับความผิดเรื่องป้ายโฆษณาบนป้อมจราจร 59 นายจริง ยันทำไปตามกฎระเบียบ ไม่ได้กลั่นแกล้ง ท้าฟ้องศาลปกครอง ขระที่ผลสอบป้ายไฟโฆษณาบนป้อมจราจร ยันเกือบ100% เป็นที่ราชพัสดุ แถมไม่เคยมีการยื่นหนังสือขอความเห็นชอบผ่าน สตช. ชี้ทำสัญญาพลการระหว่างทาง ผกก.-บ.เอกชน เตรียมชงเรื่องเข้า ก.ตร. 7 ม.ค.นี้ ชี้ขาดโยกพ้นหน่วยหรือไม่ ด้าน "กลุ่มผู้กำกับการตำรวจนครบาล” โดนพิษป้ายแอลอีดี ร่อนหนังสือถึง ก.ตร.ขอความเป็นธรรม อ้างผลสอบสวนทั้ง 3 ระดับยังไม่ออก ลั่นหากมีหนังสือย้ายเป็นทางการ ฟ้องศาลปกครองชัวร์
วานนี้ (5 ม.ค.) พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ในฐานะคณะกรรมการการกำหนดนโยบาย การใช้อาคาร สถานที่ และที่ดินของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กล่าวถึงกรณีการสอบสวนป้ายไฟโฆษณาที่ติดอยู่ตามป้อมจราจรทั่ว กทม.ที่ไม่ได้ขอติดตั้งตามกฎหมายว่า หลังจากได้มีการยื่นหนังสือถึงกรมธนารักษ์เพื่อสอบถามในกรณีนี้ กรมธนารักษ์ได้ตอบยืนยันกลับมาแล้วว่าป้ายโฆษณาส่วนใหญ่เกือบ 100% ที่มีรั้วรอบขอบชิดนั้นเป็นที่ของราชพัสดุอย่างแน่นอน อีกส่วนคือเป็นที่ของเอกชน ในเบื้องต้นทางกรมธนารักษ์ได้แนะนำให้ทางตำรวจดำเนินการให้ถูกต้อง โดยตรวจสอบว่าจัดทำป้ายขึ้นกี่ปีแล้ว และจ่ายค่าเช่าย้อนหลัง ซึ่งต้องให้ตรวจสอบโดยละเอียดว่าป้ายใดเป็นของพื้นที่สถานีตำรวจนครบาล (สน.) ใด ก่อนจะทำรายงานยื่นหนังสือเข้ามาแจ้งกับทาง สตช.ชี้แจงว่าบริษัทใดบ้างที่ได้จัดทำป้ายให้ใน สน.ต่างๆเพื่อขออนุญาตอย่างถูกต้อง
“ก่อนหน้านี้การจัดทำป้ายโฆษณาบนป้อมจราจรนั้นไม่เคยมีการยื่นหนังสือขอความเห็นชอบผ่าน สตช.มาก่อนเลย ส่วนใหญ่จะเป็นการทำสัญญาโดยตรงระหว่างทางผู้กำกับ สน.กับบริษัทที่ต้องการจะทำป้ายโฆษณาโดยตรง ทั้งนี้จะมีการประชุมกันอีกครั้งในวันที่ 6 ม.ค. ซึ่งจะได้ข้อสรุปอย่างชัดเจนว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป” พล.ต.อ.พงศพัศ ระบุ
ผบช.น.รับย้าย 59 ตร.จริง
ด้าน พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีมีกระแสข่าวการเสนอบัญชีโยกย้ายนายตำรวจระดับผู้กำกับการจำนวนมากในพื้นที่ บช.น.ออกนอกหน่วย หลังพบเกี่ยวพันกับความผิดเรื่องป้ายโฆษณาบนป้อมจราจร และบางนายได้ยื่นหนังสือลาออกจากราชการ และยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม โดยยอมรับว่ามีการโยกย้ายจริง ผู้ที่ถูกโยกย้ายส่วนใหญ่กระทำความผิดเกี่ยวกับคดีอาญาและแพ่ง ทั้งกรณีป้ายโฆษณา ส่วยน้ำมันเถื่อน สถานบริการ ทำให้รัฐเสียหาย ประมาณ 59 นาย นายตำรวจ 15 นาย ที่สมัครใจขอย้ายออกนอกพื้นที่ และอีก 44 นายที่ไม่สมัครใจย้าย ทั้งนี้ ยืนยันว่า ไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้ง หรือย้ายล้างบาง ซึ่งได้ชี้แจงกับคณะกรรมการข้าราชการตำรวจไปแล้ว หากไม่ดำเนินการถือว่าละเว้น
“สำหรับนายตำรวจที่คิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม จะไปยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง ก็สามารถทำได้ ยอมรับว่า รู้สึกหนักใจที่ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่เห็นด้วยกับการโยกย้าย แต่ต้องทำไปตามกฎระเบียบ” พล.ต.ท.ศรีวราห์ กล่าว
สอบสวนกลางโยกแค่ 100 นาย
ขณะที่ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร. รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) เปิดเผยว่า ขณะนี้การจัดทำบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจระดับผู้กำกับการ ถึงรองผู้บังคับการ ประจำปี 2557 ในส่วนของ บช.ก.เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วและเตรียมส่งให้ที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) พิจารณาในวันที่ 7 ม.ค. นี้ สำหรับจำนวนรายชื่อนายตำรวจที่จะถูกโยกย้ายออกนอกหน่วยนั้นมีจำนวนประมาณ 100 นายเท่านั้น ไม่มากเท่าที่มีกระแสข่าวก่อนหน้านี้ ซึ่งมีทั้งที่ย้ายเพราะเป็นการสับเปลี่ยนตำแหน่งกันภายในหน่วยงานเพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติและแนวคิดในการทำงาน แต่ก็มีตำรวจระดับ ผกก.ถึงร้อยละ 50 ที่ถูกเสนอชื่อโยกย้าย เนื่องมาจากการกระทำความผิดร่วมกับเครือข่ายอดีต ผบช.ก. ตามที่ทราบกันดี โดยมีสาเหตุหลัก 4 ประการที่นำมาพิจารณาโยกย้าย คือ 1.ในคดีน้ำมันเถื่อน 2.ผิดเกี่ยวกับการแต่งตั้งโยกย้ายโดยมิชอบ 3.ผิดคดีบ่อนการพนัน และ 4.ผิดคดีโต๊ะพนันฟุตบอลออนไลน์เครือข่ายอาบูบาก้า
ยันส่วนใหญ่สมัครใจย้ายเอง
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีแรงกระเพื่อมเกิดขึ้นในหน่วยงาน บช.ก.หรือไม่ พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า ยืนยันว่าการแต่งตั้งโยกย้ายเป็นไปด้วยความเหมาะสม พิจารณาจากประสบการณ์และความรู้ความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ โดยร้อยละ 80-90 เป็นการโยกย้ายจากความสมัครใจของเจ้าตัวเอง ไม่ได้มีการบังคับใดๆทั้งสิ้น ส่วนผู้ที่จะเข้ามาทดแทนในตำแหน่งที่ออกไปขณะนี้ก็มีครบหมดแล้ว ซึ่งจะพิจารณาจากความถนัดและความสามารถที่ต้องใกล้เคียงกับตำแหน่งเดิมที่ออกไป เพื่อมารองรับการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด อย่างไรก็ตามสำหรับประเด็นเรื่องผู้ที่ถูกย้ายอาจไปสร้างปัญหาให้กองบัญชาการปลายทางนั้น ไม่น่าจะเกิดขึ้น เนื่องจากแต่ละหน่วยมีวิธีบริหารงานที่ดีอยู่แล้ว อีกทั้งบางส่วนเป็นการย้ายเพื่อไปรับตำแหน่งหน้าที่ฝ่ายอำนวยการ เพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติและแนวคิดในการทำงานต่อไป
ปัดล้างบางรับ ผบ.ใหม่
เมื่อถามถึงการแต่งตั้งโยกย้ายในพื้นที่ บช.น.ที่มีจำนวนมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า การโยกย้ายตำรวจระดับ ผกก.ในพื้นที่ บช.น.อาจจะมีจำนวนมาก เนื่องจากหลายตำแหน่งกระทำความผิดทั้งในเรื่องวินัย ความผิดจากการรับขบวนเสด็จ และที่มีจำนวนมากที่สุดคือความผิดกรณีป้ายไฟโฆษณาบนป้อมตำรวจจราจร ซึ่งพบว่าหลายคนปล่อยปละละเลยให้มีการติดตั้งป้ายโฆษณาดังกล่าว รวมทั้งมีการอนุญาตลงนามในสัญญาทั้งที่ไม่มีอำนาจ เหล่านี้จึงทำให้มีจำนวนมาก อย่างไรก็ดีตำรวจที่รู้สึกว่าได้รับความไม่เป็นธรรมก็มีช่องทางในการต่อสู้อยู่แล้ว เชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เนื่องจากผู้บังคับบัญชาไม่สามารถย้ายผู้ที่ไม่มีความผิดได้แน่นอน ส่วนจะเป็นการโยกย้ายในพื้นที่โรงพักดังหรือ 5 ดาวหรือไม่นั้น กระบวนการยังไม่สิ้นสุด ต้องรอความชัดเจนจากมติที่ประชุม ก.ตร. อีกครั้ง อาจเปลี่ยนแปลงได้เสมอ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทุกครั้งที่เปลี่ยนตัว ผบช.น. จะมีการโยกย้ายล้างบางเกิดขึ้นตลอด พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า ก็คงมีบ้างในส่วนของทีมงานที่จำเป็นต้องเข้ามาช่วย ผบช.น. ปฏิบัติหน้าที่เพื่อความคล่องตัว ก็อาจจะมีการเลือกผู้ที่ไว้เนื้อเชื่อใจกัน หรือมีความถนัดในแต่ละด้านที่ต้องการมาร่วมงาน อาจมีประมาณ 1-2 คน แต่ไม่จำเป็นต้องมีมากมายขนาดนี้ ฉะนั้นที่การย้ายตำรวจสังกัด บช.น. ครั้งนี้มีจำนวนมากเพราะเป็นการย้ายผู้ที่เกี่ยวข้องพัวพันกับการกระทำความผิดในหลายเรื่อง ซึ่งตำรวจที่ได้รับผลกระทบสามารถไปร้องเรียนผ่านช่องทางต่างๆได้ และขณะนี้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงก็ได้มีการพูดคุยทำความเข้าใจกับผู้กำกับการในพื้นที่ที่มีปัญหาอยู่เช่นกัน ขณะที่การรวมตัวประท้วงร้องเรียนนั้นไม่เกี่ยวกับตน เป็นการยื่นหนังสือร้องเรียนถึง ผบ.ตร.โดยตรงเท่านั้นเอง
กลุ่ม ผกก.ร่อนหนังสือแจง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า “กลุ่มผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาล” ได้ยื่นหนังสือถึงจเรตำรวจแห่งชาติ รอง ผบ.ตร.ในฐานะคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เพื่อขอความเป็นธรรม โดยในหนังสือดังกล่าวระบุว่า ด้วยพวกกระผมกลุ่มข้าราชการตำรวจที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยโดยไม่ปฏิบัติตามกฎหมายกฎระเบียบของทางราชการ ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา จึงสั่งในหน้าที่ราชการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและระเบียบของทางราชการ ไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความตั้งใจอุตสาหะเพื่อให้เกิดผลดีหรือความก้าวหน้าแก่ทางราชการ เอาใจใส่ระมัดระวังรักษาผลประโยชน์ของทางราชการ ต้องไม่ประมาทเลินเล่อในหน้าที่ราชการและเป็นการกระทำหรือละเว้นการกระทำใดๆอันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ทางราชการ หรือทำให้เสียระเบียบแบบแผนของตำรวจอันเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามมาตรา78(1)(2)(9)และ(15) แห่งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547
โดยมีการหยิบยกการสร้างป้อมจราจรและป้ายผู้มีอุปการะคุณ ที่สนับสนุนในการสร้างป้อมจราจร อีกส่วนหนึ่งได้มีการติดตั้งป้ายแอลอีดี ซึ่งได้ติดตั้งตามผู้บังคับบัญชาระดับกองบัญชาการตำรวจนครบาลสั่งการลงมาให้อำนวยความสะดวก และมีการแบ่งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงออกเป็น3ระดับ คือ ระดับ ตร. บชน. และระดับบก.น.1-9 โดยคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงระดับตร.จะสืบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับป้ายโฆษณาของบริษัทแพลนบี จำกัด ซึ่งยังไม่มีผลสรุปของการสืบสวนแต่อย่างใด คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงระดับบช.น.ผลการดำเนินการสืบสวนข้อเท็จจริงยังไม่ถือเป็นที่สิ้นสุด และคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ระดับบก.น.1-9 ผลการสืบสวนข้อเท็จจริงก็ยังไม่เป็นข้อสิ้นสุดเช่นกัน. ดังนั้นกลุ่มผู้ถูกตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงยังไม่สามารถสรุปได้ ว่าผิดหรือไม่ผิดแต่อย่างใด
อ้าง 2 มาตรฐานไม่สอบหน่วยอื่น
หนังสือระบุด้วยว่า พวกกระผมกลุ่มข้าราชการตำรวจผู้ถูกกล่าวหาขอเรียนดังนี้ 1.การสร้างป้อมจราจรและป้ายผู้มีอุปการคุณที่สนับสนุนการสร้างป้อมจราจรและการติดตั้งป้ายแอลอีดีก็มีอยู่ในกองบัญชาการตำรวจภูธร 1-9 ตำรวจทางหลวง ตำรวจท่องเที่ยว แต่ไม่มีการตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงคงเลือกตั้งกรรมการสืบข้อเท็จจริงแต่เฉพาะใน บช.น.เท่านั้นอันเป็นการเลือกปฎิบัติ
2.ไม่มีมาตรฐานในการลงทัณฑ์ เนื่องจากกรรมการของแต่ละส่วนทั้งระดับ บช.น. และบก.น.ซึ่งในความผิดฐานเดียวกัน บาง บก.น.ได้ยุติเรื่อง. บาง บก.น.ได้กักยาม และบาง บก.น.ได้ภาคทัณฑ์แต่เมื่อมีการเสนอทัณฑ์ไปยัง บช.น.ก็ยังไม่มีข้อมูลยุติในการพิจารณาการลงทัณฑ์ไปในแนวทางเดียวกัน
3.สำหรับกรณีเสนอผู้ดำรงตำแหน่งครั้งสุดท้ายไม่ครบ 2 ปี ซึ่งการปรับย้ายไปดำรงตำแหน่งอีกทั้งในหน่วยและนอกหน่วย บช.น. ซึ่งต้องมีการขอยกเว้นไปยังคณะกรรมการฯยกเว้น ซึ่งตร.เป็นผู้แต่งตั้งได้มีหมายเหตุข้างท้ายว่า "ก่อให้เกิดความเสียหายสมควรปรับย้าย" แต่ได้มีการปรับย้ายโดยไม่รอผลจากคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงดังกล่าว โดยมีกรอบยกเว้นหลักเกณฑ์คือต้องเสนอรายชื่อในวันที่ 17-19 ธ.ค.2557 อีกทั้งผู้ถูกลงทัณฑ์สามารถอุทธรณ์การลงทัณฑ์ได้แต่ยังมิได้มีการรอผลการอุทธรณ์กลับนำมาประกอบการพิจารณาปรับย้ายในวาระนี้อย่างเร่งรีบ
โวยสั่งย้ายไม่รอผลสอบ
4.กรณีผู้ดำรงตำแหน่งครบกำหนดวาระระยะเวลา 2 ปี จึงได้ถูกตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง จึงน่าจะมีหมายเหตุข้างท้ายว่า “ก่อให้เกิดความเสียหายสมควรปรับย้ายแต่ไม่มีการปรับย้าย” โดยไม่รอผลจากคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงดังกล่าว อีกทั้งผู้ถูกลงทัณฑ์สามารถอุทธรณ์การลงทัณฑ์ได้แต่ยังมิได้รอผลการอุทธรณ์ แต่กลับนำมาพิจารณาปรับย้ายในวาระนี้อย่างเร่งรีบ
5. บช.น.ได้มีความพยายามเร่งรัดผลการดำเนินการทางวินัยไปยังแต่ละบก.น. และกรรมการ บช.น.ให้พิจารณาผลการสืบสวนข้อเท็จจริงโดยไม่ปฎิบัติตามกรอบและเงื่อนไขระยะเวลา ตาม กฎ ก.ตร. ว่าด้วยการสืบสวนข้อเท็จจริงโดยเล็งเห็นว่า หรือประสงค์ต่อให้ทันวาระการแต่งตั้งประจำปี เพื่อเป็นเหตุให้หยิบยกในการพิจารณาข้อบกพร่องหรือข้อเสียหายดังที่ปรากฎหนังสือทวงถามไปยังแต่ละ บก.น.หรือคณะกรรมการ บช.น. โดยเร่งรัดการรายงานผลว่า บุคคลผู้ถูกตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงเหล่านี้ได้ก่อความเสียหายให้แก่หน่วยหรือไม่ จึงเป็นการเร่งรัดคณะกรรมการเกินกรอบ และเงื่อนระยะเวลาตามที่กำหนดดังกล่าว
6.คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ยังไม่ได้รวบรวมพยาน หลักฐานหรือสอบปากคำผู้เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วนเพื่อประกอบคำพิจารณาทัณฑ์ให้แล้วเสร็จดังที่ได้ปรากฏหลักฐานตามที่ได้แจ้งกลับตามผู้ถูกกล่าวหาทุกนาย
ห้าวเป้ง!!ขู่ฟ้องศาลปกครอง
ในช่วงท้ายหนังสือระบุว่า จึงเรียนมาขอความเป็นธรรมต่อคณะกรรมการข้าราชการตำรวจคือ 1.ให้ชะลอการแต่งตั้งจนกว่าจะทราบผลการพิจารณาของคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงในความผิดที่ถูกกล่าวหา
2.หากจะนำเรื่องการสร้างป้อมจราจรและป้ายผู้มีอุปการะคุณในการสร้างป้อมจราจร อีกส่วนหนึ่งที่ได้มีการติดตั้งป้ายแอลอีดีมาพิจารณาแต่งตั้งในการโยกย้าย ให้พิจารณาให้เท่าเทียมกันทุกกองบัญชาการ เพื่อเป็นบรรทัดฐานเดียวกัน
3.ขอสงวนสิทธิ์ในการฟ้องร้องดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ทั้งนี้ ผกก.รายหนึ่ง กล่าวว่า หากมีคำสั่งออกมาเป็นทางการแล้วทางกลุ่มตนไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการแต่งข้าราชการตำรวจวาระประจำปี พ.ศ.2557 จากกรณีดังกล่าว ทางกลุ่มตนจะฟ้องขอความเป็นธรรมต่อศาลปกครอง เพื่อปกป้องสิทธิตามกฎหมายต่อไป
วานนี้ (5 ม.ค.) พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ในฐานะคณะกรรมการการกำหนดนโยบาย การใช้อาคาร สถานที่ และที่ดินของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กล่าวถึงกรณีการสอบสวนป้ายไฟโฆษณาที่ติดอยู่ตามป้อมจราจรทั่ว กทม.ที่ไม่ได้ขอติดตั้งตามกฎหมายว่า หลังจากได้มีการยื่นหนังสือถึงกรมธนารักษ์เพื่อสอบถามในกรณีนี้ กรมธนารักษ์ได้ตอบยืนยันกลับมาแล้วว่าป้ายโฆษณาส่วนใหญ่เกือบ 100% ที่มีรั้วรอบขอบชิดนั้นเป็นที่ของราชพัสดุอย่างแน่นอน อีกส่วนคือเป็นที่ของเอกชน ในเบื้องต้นทางกรมธนารักษ์ได้แนะนำให้ทางตำรวจดำเนินการให้ถูกต้อง โดยตรวจสอบว่าจัดทำป้ายขึ้นกี่ปีแล้ว และจ่ายค่าเช่าย้อนหลัง ซึ่งต้องให้ตรวจสอบโดยละเอียดว่าป้ายใดเป็นของพื้นที่สถานีตำรวจนครบาล (สน.) ใด ก่อนจะทำรายงานยื่นหนังสือเข้ามาแจ้งกับทาง สตช.ชี้แจงว่าบริษัทใดบ้างที่ได้จัดทำป้ายให้ใน สน.ต่างๆเพื่อขออนุญาตอย่างถูกต้อง
“ก่อนหน้านี้การจัดทำป้ายโฆษณาบนป้อมจราจรนั้นไม่เคยมีการยื่นหนังสือขอความเห็นชอบผ่าน สตช.มาก่อนเลย ส่วนใหญ่จะเป็นการทำสัญญาโดยตรงระหว่างทางผู้กำกับ สน.กับบริษัทที่ต้องการจะทำป้ายโฆษณาโดยตรง ทั้งนี้จะมีการประชุมกันอีกครั้งในวันที่ 6 ม.ค. ซึ่งจะได้ข้อสรุปอย่างชัดเจนว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป” พล.ต.อ.พงศพัศ ระบุ
ผบช.น.รับย้าย 59 ตร.จริง
ด้าน พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีมีกระแสข่าวการเสนอบัญชีโยกย้ายนายตำรวจระดับผู้กำกับการจำนวนมากในพื้นที่ บช.น.ออกนอกหน่วย หลังพบเกี่ยวพันกับความผิดเรื่องป้ายโฆษณาบนป้อมจราจร และบางนายได้ยื่นหนังสือลาออกจากราชการ และยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม โดยยอมรับว่ามีการโยกย้ายจริง ผู้ที่ถูกโยกย้ายส่วนใหญ่กระทำความผิดเกี่ยวกับคดีอาญาและแพ่ง ทั้งกรณีป้ายโฆษณา ส่วยน้ำมันเถื่อน สถานบริการ ทำให้รัฐเสียหาย ประมาณ 59 นาย นายตำรวจ 15 นาย ที่สมัครใจขอย้ายออกนอกพื้นที่ และอีก 44 นายที่ไม่สมัครใจย้าย ทั้งนี้ ยืนยันว่า ไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้ง หรือย้ายล้างบาง ซึ่งได้ชี้แจงกับคณะกรรมการข้าราชการตำรวจไปแล้ว หากไม่ดำเนินการถือว่าละเว้น
“สำหรับนายตำรวจที่คิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม จะไปยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง ก็สามารถทำได้ ยอมรับว่า รู้สึกหนักใจที่ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่เห็นด้วยกับการโยกย้าย แต่ต้องทำไปตามกฎระเบียบ” พล.ต.ท.ศรีวราห์ กล่าว
สอบสวนกลางโยกแค่ 100 นาย
ขณะที่ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร. รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) เปิดเผยว่า ขณะนี้การจัดทำบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจระดับผู้กำกับการ ถึงรองผู้บังคับการ ประจำปี 2557 ในส่วนของ บช.ก.เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วและเตรียมส่งให้ที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) พิจารณาในวันที่ 7 ม.ค. นี้ สำหรับจำนวนรายชื่อนายตำรวจที่จะถูกโยกย้ายออกนอกหน่วยนั้นมีจำนวนประมาณ 100 นายเท่านั้น ไม่มากเท่าที่มีกระแสข่าวก่อนหน้านี้ ซึ่งมีทั้งที่ย้ายเพราะเป็นการสับเปลี่ยนตำแหน่งกันภายในหน่วยงานเพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติและแนวคิดในการทำงาน แต่ก็มีตำรวจระดับ ผกก.ถึงร้อยละ 50 ที่ถูกเสนอชื่อโยกย้าย เนื่องมาจากการกระทำความผิดร่วมกับเครือข่ายอดีต ผบช.ก. ตามที่ทราบกันดี โดยมีสาเหตุหลัก 4 ประการที่นำมาพิจารณาโยกย้าย คือ 1.ในคดีน้ำมันเถื่อน 2.ผิดเกี่ยวกับการแต่งตั้งโยกย้ายโดยมิชอบ 3.ผิดคดีบ่อนการพนัน และ 4.ผิดคดีโต๊ะพนันฟุตบอลออนไลน์เครือข่ายอาบูบาก้า
ยันส่วนใหญ่สมัครใจย้ายเอง
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีแรงกระเพื่อมเกิดขึ้นในหน่วยงาน บช.ก.หรือไม่ พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า ยืนยันว่าการแต่งตั้งโยกย้ายเป็นไปด้วยความเหมาะสม พิจารณาจากประสบการณ์และความรู้ความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ โดยร้อยละ 80-90 เป็นการโยกย้ายจากความสมัครใจของเจ้าตัวเอง ไม่ได้มีการบังคับใดๆทั้งสิ้น ส่วนผู้ที่จะเข้ามาทดแทนในตำแหน่งที่ออกไปขณะนี้ก็มีครบหมดแล้ว ซึ่งจะพิจารณาจากความถนัดและความสามารถที่ต้องใกล้เคียงกับตำแหน่งเดิมที่ออกไป เพื่อมารองรับการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด อย่างไรก็ตามสำหรับประเด็นเรื่องผู้ที่ถูกย้ายอาจไปสร้างปัญหาให้กองบัญชาการปลายทางนั้น ไม่น่าจะเกิดขึ้น เนื่องจากแต่ละหน่วยมีวิธีบริหารงานที่ดีอยู่แล้ว อีกทั้งบางส่วนเป็นการย้ายเพื่อไปรับตำแหน่งหน้าที่ฝ่ายอำนวยการ เพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติและแนวคิดในการทำงานต่อไป
ปัดล้างบางรับ ผบ.ใหม่
เมื่อถามถึงการแต่งตั้งโยกย้ายในพื้นที่ บช.น.ที่มีจำนวนมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า การโยกย้ายตำรวจระดับ ผกก.ในพื้นที่ บช.น.อาจจะมีจำนวนมาก เนื่องจากหลายตำแหน่งกระทำความผิดทั้งในเรื่องวินัย ความผิดจากการรับขบวนเสด็จ และที่มีจำนวนมากที่สุดคือความผิดกรณีป้ายไฟโฆษณาบนป้อมตำรวจจราจร ซึ่งพบว่าหลายคนปล่อยปละละเลยให้มีการติดตั้งป้ายโฆษณาดังกล่าว รวมทั้งมีการอนุญาตลงนามในสัญญาทั้งที่ไม่มีอำนาจ เหล่านี้จึงทำให้มีจำนวนมาก อย่างไรก็ดีตำรวจที่รู้สึกว่าได้รับความไม่เป็นธรรมก็มีช่องทางในการต่อสู้อยู่แล้ว เชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เนื่องจากผู้บังคับบัญชาไม่สามารถย้ายผู้ที่ไม่มีความผิดได้แน่นอน ส่วนจะเป็นการโยกย้ายในพื้นที่โรงพักดังหรือ 5 ดาวหรือไม่นั้น กระบวนการยังไม่สิ้นสุด ต้องรอความชัดเจนจากมติที่ประชุม ก.ตร. อีกครั้ง อาจเปลี่ยนแปลงได้เสมอ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทุกครั้งที่เปลี่ยนตัว ผบช.น. จะมีการโยกย้ายล้างบางเกิดขึ้นตลอด พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า ก็คงมีบ้างในส่วนของทีมงานที่จำเป็นต้องเข้ามาช่วย ผบช.น. ปฏิบัติหน้าที่เพื่อความคล่องตัว ก็อาจจะมีการเลือกผู้ที่ไว้เนื้อเชื่อใจกัน หรือมีความถนัดในแต่ละด้านที่ต้องการมาร่วมงาน อาจมีประมาณ 1-2 คน แต่ไม่จำเป็นต้องมีมากมายขนาดนี้ ฉะนั้นที่การย้ายตำรวจสังกัด บช.น. ครั้งนี้มีจำนวนมากเพราะเป็นการย้ายผู้ที่เกี่ยวข้องพัวพันกับการกระทำความผิดในหลายเรื่อง ซึ่งตำรวจที่ได้รับผลกระทบสามารถไปร้องเรียนผ่านช่องทางต่างๆได้ และขณะนี้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงก็ได้มีการพูดคุยทำความเข้าใจกับผู้กำกับการในพื้นที่ที่มีปัญหาอยู่เช่นกัน ขณะที่การรวมตัวประท้วงร้องเรียนนั้นไม่เกี่ยวกับตน เป็นการยื่นหนังสือร้องเรียนถึง ผบ.ตร.โดยตรงเท่านั้นเอง
กลุ่ม ผกก.ร่อนหนังสือแจง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า “กลุ่มผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาล” ได้ยื่นหนังสือถึงจเรตำรวจแห่งชาติ รอง ผบ.ตร.ในฐานะคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เพื่อขอความเป็นธรรม โดยในหนังสือดังกล่าวระบุว่า ด้วยพวกกระผมกลุ่มข้าราชการตำรวจที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยโดยไม่ปฏิบัติตามกฎหมายกฎระเบียบของทางราชการ ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา จึงสั่งในหน้าที่ราชการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและระเบียบของทางราชการ ไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความตั้งใจอุตสาหะเพื่อให้เกิดผลดีหรือความก้าวหน้าแก่ทางราชการ เอาใจใส่ระมัดระวังรักษาผลประโยชน์ของทางราชการ ต้องไม่ประมาทเลินเล่อในหน้าที่ราชการและเป็นการกระทำหรือละเว้นการกระทำใดๆอันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ทางราชการ หรือทำให้เสียระเบียบแบบแผนของตำรวจอันเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามมาตรา78(1)(2)(9)และ(15) แห่งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547
โดยมีการหยิบยกการสร้างป้อมจราจรและป้ายผู้มีอุปการะคุณ ที่สนับสนุนในการสร้างป้อมจราจร อีกส่วนหนึ่งได้มีการติดตั้งป้ายแอลอีดี ซึ่งได้ติดตั้งตามผู้บังคับบัญชาระดับกองบัญชาการตำรวจนครบาลสั่งการลงมาให้อำนวยความสะดวก และมีการแบ่งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงออกเป็น3ระดับ คือ ระดับ ตร. บชน. และระดับบก.น.1-9 โดยคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงระดับตร.จะสืบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับป้ายโฆษณาของบริษัทแพลนบี จำกัด ซึ่งยังไม่มีผลสรุปของการสืบสวนแต่อย่างใด คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงระดับบช.น.ผลการดำเนินการสืบสวนข้อเท็จจริงยังไม่ถือเป็นที่สิ้นสุด และคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ระดับบก.น.1-9 ผลการสืบสวนข้อเท็จจริงก็ยังไม่เป็นข้อสิ้นสุดเช่นกัน. ดังนั้นกลุ่มผู้ถูกตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงยังไม่สามารถสรุปได้ ว่าผิดหรือไม่ผิดแต่อย่างใด
อ้าง 2 มาตรฐานไม่สอบหน่วยอื่น
หนังสือระบุด้วยว่า พวกกระผมกลุ่มข้าราชการตำรวจผู้ถูกกล่าวหาขอเรียนดังนี้ 1.การสร้างป้อมจราจรและป้ายผู้มีอุปการคุณที่สนับสนุนการสร้างป้อมจราจรและการติดตั้งป้ายแอลอีดีก็มีอยู่ในกองบัญชาการตำรวจภูธร 1-9 ตำรวจทางหลวง ตำรวจท่องเที่ยว แต่ไม่มีการตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงคงเลือกตั้งกรรมการสืบข้อเท็จจริงแต่เฉพาะใน บช.น.เท่านั้นอันเป็นการเลือกปฎิบัติ
2.ไม่มีมาตรฐานในการลงทัณฑ์ เนื่องจากกรรมการของแต่ละส่วนทั้งระดับ บช.น. และบก.น.ซึ่งในความผิดฐานเดียวกัน บาง บก.น.ได้ยุติเรื่อง. บาง บก.น.ได้กักยาม และบาง บก.น.ได้ภาคทัณฑ์แต่เมื่อมีการเสนอทัณฑ์ไปยัง บช.น.ก็ยังไม่มีข้อมูลยุติในการพิจารณาการลงทัณฑ์ไปในแนวทางเดียวกัน
3.สำหรับกรณีเสนอผู้ดำรงตำแหน่งครั้งสุดท้ายไม่ครบ 2 ปี ซึ่งการปรับย้ายไปดำรงตำแหน่งอีกทั้งในหน่วยและนอกหน่วย บช.น. ซึ่งต้องมีการขอยกเว้นไปยังคณะกรรมการฯยกเว้น ซึ่งตร.เป็นผู้แต่งตั้งได้มีหมายเหตุข้างท้ายว่า "ก่อให้เกิดความเสียหายสมควรปรับย้าย" แต่ได้มีการปรับย้ายโดยไม่รอผลจากคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงดังกล่าว โดยมีกรอบยกเว้นหลักเกณฑ์คือต้องเสนอรายชื่อในวันที่ 17-19 ธ.ค.2557 อีกทั้งผู้ถูกลงทัณฑ์สามารถอุทธรณ์การลงทัณฑ์ได้แต่ยังมิได้มีการรอผลการอุทธรณ์กลับนำมาประกอบการพิจารณาปรับย้ายในวาระนี้อย่างเร่งรีบ
โวยสั่งย้ายไม่รอผลสอบ
4.กรณีผู้ดำรงตำแหน่งครบกำหนดวาระระยะเวลา 2 ปี จึงได้ถูกตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง จึงน่าจะมีหมายเหตุข้างท้ายว่า “ก่อให้เกิดความเสียหายสมควรปรับย้ายแต่ไม่มีการปรับย้าย” โดยไม่รอผลจากคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงดังกล่าว อีกทั้งผู้ถูกลงทัณฑ์สามารถอุทธรณ์การลงทัณฑ์ได้แต่ยังมิได้รอผลการอุทธรณ์ แต่กลับนำมาพิจารณาปรับย้ายในวาระนี้อย่างเร่งรีบ
5. บช.น.ได้มีความพยายามเร่งรัดผลการดำเนินการทางวินัยไปยังแต่ละบก.น. และกรรมการ บช.น.ให้พิจารณาผลการสืบสวนข้อเท็จจริงโดยไม่ปฎิบัติตามกรอบและเงื่อนไขระยะเวลา ตาม กฎ ก.ตร. ว่าด้วยการสืบสวนข้อเท็จจริงโดยเล็งเห็นว่า หรือประสงค์ต่อให้ทันวาระการแต่งตั้งประจำปี เพื่อเป็นเหตุให้หยิบยกในการพิจารณาข้อบกพร่องหรือข้อเสียหายดังที่ปรากฎหนังสือทวงถามไปยังแต่ละ บก.น.หรือคณะกรรมการ บช.น. โดยเร่งรัดการรายงานผลว่า บุคคลผู้ถูกตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงเหล่านี้ได้ก่อความเสียหายให้แก่หน่วยหรือไม่ จึงเป็นการเร่งรัดคณะกรรมการเกินกรอบ และเงื่อนระยะเวลาตามที่กำหนดดังกล่าว
6.คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ยังไม่ได้รวบรวมพยาน หลักฐานหรือสอบปากคำผู้เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วนเพื่อประกอบคำพิจารณาทัณฑ์ให้แล้วเสร็จดังที่ได้ปรากฏหลักฐานตามที่ได้แจ้งกลับตามผู้ถูกกล่าวหาทุกนาย
ห้าวเป้ง!!ขู่ฟ้องศาลปกครอง
ในช่วงท้ายหนังสือระบุว่า จึงเรียนมาขอความเป็นธรรมต่อคณะกรรมการข้าราชการตำรวจคือ 1.ให้ชะลอการแต่งตั้งจนกว่าจะทราบผลการพิจารณาของคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงในความผิดที่ถูกกล่าวหา
2.หากจะนำเรื่องการสร้างป้อมจราจรและป้ายผู้มีอุปการะคุณในการสร้างป้อมจราจร อีกส่วนหนึ่งที่ได้มีการติดตั้งป้ายแอลอีดีมาพิจารณาแต่งตั้งในการโยกย้าย ให้พิจารณาให้เท่าเทียมกันทุกกองบัญชาการ เพื่อเป็นบรรทัดฐานเดียวกัน
3.ขอสงวนสิทธิ์ในการฟ้องร้องดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ทั้งนี้ ผกก.รายหนึ่ง กล่าวว่า หากมีคำสั่งออกมาเป็นทางการแล้วทางกลุ่มตนไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการแต่งข้าราชการตำรวจวาระประจำปี พ.ศ.2557 จากกรณีดังกล่าว ทางกลุ่มตนจะฟ้องขอความเป็นธรรมต่อศาลปกครอง เพื่อปกป้องสิทธิตามกฎหมายต่อไป