ASTVผู้จัดการรายวัน – โครงการโรงกลั่นและปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ มูลค่า 2.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐที่เวียดนามส่อแววแท้ง หลังจากบริษัทลูกปตท.เมินร่วมทุนด้วยและรัฐบาลเวียดนามไม่ส่งรัฐวิสาหกิจใดเข้าร่วมทุนตามข้อเสนอของปตท.ที่ระบุต้องมีLocal Partner ถือหุ้น 20% ทำให้ปตท.ต้องทบทวนการลงทุนใหม่ว่าจะเดินหน้าโครงการต่อหรือไม่
แหล่งข่าวจากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยความคืบหน้าโครงการโรงกลั่นและปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ ที่ประเทศเวียดนามว่า ขณะนี้ทางรัฐบาลเวียดนามเห็นชอบในหลักการโครงการดังกล่าวหลังจากปตท.ส่งผลการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการอย่างละเอียดแล้ว
แต่ต้องส่งเรื่องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของเวียดนามไปศึกษาดูรายละเอียดเงื่อนไขต่างๆที่ปตท.เสนอนั้นจะยอมรับได้หรือไม่ โดยหนึ่งในเงื่อนไขหลายข้อนั้นต้องการให้มีพันธมิตรลงทุนท้องถิ่น (Local Partner) ที่รัฐบาลเวียดนามสนับสนุนให้เข้ามาร่วมลงทุน เพื่อให้โครงการมีความน่าลงทุน สามารถดำเนินโครงการและจัดหาแหล่งเงินกู้ได้
แต่หากรัฐบาลไม่มีนโยบายที่จะสนับสนุนให้หน่วยงานหรือบริษัทของรัฐเข้าร่วมในโครงการนี้ ก็เท่ากับว่ากลุ่มปตท.ไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ทำให้โครงการนี้ความเสี่ยงตกอยู่กับปตท.และซาอุดิ อารัมโก (Saudi Aramco) ในฐานะพันธมิตรร่วมทุนรายใหญ่ ส่งผลให้ความน่าสนใจลดลงทันที ทางปตท.ก็คงต้องทบทวนการลงทุนใหม่อีกครั้ง
ซึ่งขณะนี้ทางรัฐบาลเวียดนามจะเห็นชอบในหลักการ แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะให้รัฐวิสาหกิจหรือบริษัทท้องถิ่นใดเข้าร่วมถือหุ้นในโครงการนี้
อีกทั้ง บริษัทลูกของปตท.ทั้ง บมจ.พีทีที โกลบอลเคมิคอล (PTTGC) และบมจ.ไทยออยล์ (TOP) ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านปิโตรเคมี และโรงกลั่นของกลุ่มปตท.เองต่างก็มีแผนการลงทุนในการขยายธุรกิจไปสู่ต่างประเทศ เช่น PTTGCมีแผนร่วมลงทุนโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่อินโดนีเซีย และโครงการร่วมทุนในจีนและสหรัฐฯ ขณะที่ไทยออยล์ก็มีแผนปรับปรุงโรงกลั่น
รวมทั้งการขยายการลงทุนไปยังประเทศเมียนมาร์ และอินโดนีเซีย ทำให้บริษัทลูกดังกล่าวไม่สนใจที่จะร่วมลงทุนในโครงการโรงกลั่นและปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่เวียดนาม ดังนั้นโครงการดังกล่าวน่าจะมีความเป็นไปได้ยากที่จะเกิดขึ้น หากเงื่อนไขของปตท.ไม่ได้รับการยอมรับจากรัฐบาลเวียดนาม
โดยยอมรับว่า แม้โครงการนี้ทางปตท.อยากจะผลักดันโครงการให้เกิดขึ้น ก็ทำไม่ได้ หากไม่ได้รับความร่วมมือจากบริษัทลูกที่มีความเชี่ยวชาญด้านโรงกลั่นและปิโตรเคมี จำเป็นต้องพึ่งบริษัทลูก ซึ่งบริษัทในเครือปตท.เองก็มีแผนการลงทุนที่ชัดเจนอยู่แล้วใน 5ปีนี้เพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น ซึ่งล่าสุดบริษัทลูกปตท.ทั้ง 2
บริษัทก็มีทีท่าที่อาจจะไม่ร่วมลงทุน
แหล่งข่าวจากปตท. กล่าวต่อไปว่า โครงการโรงกลั่นและปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่เวียดนาม ใช้เงินลงทุนถึง 2.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินบาทสูงถึง 7 แสนกว่าล้านบาท ซึ่งเป็นเงินลงทุนจำนวนมากหากมีปัญหาขึ้น จะส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินขององค์กรปตท.ได้ ทำให้การพิจารณาการลงทุนต้องรอบคอบในทุกๆด้าน
ทั้งนี้โครงการดังกล่าวตั้งอยู่ในบริเวณเขตเศรษฐกิจ Nhon Hoi จังหวัดบินดินห์ ประเทศเวียดนาม ประกอบด้วย โรงกลั่นน้ำมันขนาด 4 แสนบาร์เรล/วัน และโรงงานปิโตรเคมี 5 ล้านตัน/ปี โดยกลุ่ม ปตท. ถือหุ้น 40% ซาอุดิ อารัมโก ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันซาอุดิอาระเบียรายใหญ่ของโลก 40% และเวียดนาม 20%
แหล่งข่าวจากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยความคืบหน้าโครงการโรงกลั่นและปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ ที่ประเทศเวียดนามว่า ขณะนี้ทางรัฐบาลเวียดนามเห็นชอบในหลักการโครงการดังกล่าวหลังจากปตท.ส่งผลการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการอย่างละเอียดแล้ว
แต่ต้องส่งเรื่องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของเวียดนามไปศึกษาดูรายละเอียดเงื่อนไขต่างๆที่ปตท.เสนอนั้นจะยอมรับได้หรือไม่ โดยหนึ่งในเงื่อนไขหลายข้อนั้นต้องการให้มีพันธมิตรลงทุนท้องถิ่น (Local Partner) ที่รัฐบาลเวียดนามสนับสนุนให้เข้ามาร่วมลงทุน เพื่อให้โครงการมีความน่าลงทุน สามารถดำเนินโครงการและจัดหาแหล่งเงินกู้ได้
แต่หากรัฐบาลไม่มีนโยบายที่จะสนับสนุนให้หน่วยงานหรือบริษัทของรัฐเข้าร่วมในโครงการนี้ ก็เท่ากับว่ากลุ่มปตท.ไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ทำให้โครงการนี้ความเสี่ยงตกอยู่กับปตท.และซาอุดิ อารัมโก (Saudi Aramco) ในฐานะพันธมิตรร่วมทุนรายใหญ่ ส่งผลให้ความน่าสนใจลดลงทันที ทางปตท.ก็คงต้องทบทวนการลงทุนใหม่อีกครั้ง
ซึ่งขณะนี้ทางรัฐบาลเวียดนามจะเห็นชอบในหลักการ แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะให้รัฐวิสาหกิจหรือบริษัทท้องถิ่นใดเข้าร่วมถือหุ้นในโครงการนี้
อีกทั้ง บริษัทลูกของปตท.ทั้ง บมจ.พีทีที โกลบอลเคมิคอล (PTTGC) และบมจ.ไทยออยล์ (TOP) ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านปิโตรเคมี และโรงกลั่นของกลุ่มปตท.เองต่างก็มีแผนการลงทุนในการขยายธุรกิจไปสู่ต่างประเทศ เช่น PTTGCมีแผนร่วมลงทุนโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่อินโดนีเซีย และโครงการร่วมทุนในจีนและสหรัฐฯ ขณะที่ไทยออยล์ก็มีแผนปรับปรุงโรงกลั่น
รวมทั้งการขยายการลงทุนไปยังประเทศเมียนมาร์ และอินโดนีเซีย ทำให้บริษัทลูกดังกล่าวไม่สนใจที่จะร่วมลงทุนในโครงการโรงกลั่นและปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่เวียดนาม ดังนั้นโครงการดังกล่าวน่าจะมีความเป็นไปได้ยากที่จะเกิดขึ้น หากเงื่อนไขของปตท.ไม่ได้รับการยอมรับจากรัฐบาลเวียดนาม
โดยยอมรับว่า แม้โครงการนี้ทางปตท.อยากจะผลักดันโครงการให้เกิดขึ้น ก็ทำไม่ได้ หากไม่ได้รับความร่วมมือจากบริษัทลูกที่มีความเชี่ยวชาญด้านโรงกลั่นและปิโตรเคมี จำเป็นต้องพึ่งบริษัทลูก ซึ่งบริษัทในเครือปตท.เองก็มีแผนการลงทุนที่ชัดเจนอยู่แล้วใน 5ปีนี้เพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น ซึ่งล่าสุดบริษัทลูกปตท.ทั้ง 2
บริษัทก็มีทีท่าที่อาจจะไม่ร่วมลงทุน
แหล่งข่าวจากปตท. กล่าวต่อไปว่า โครงการโรงกลั่นและปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่เวียดนาม ใช้เงินลงทุนถึง 2.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินบาทสูงถึง 7 แสนกว่าล้านบาท ซึ่งเป็นเงินลงทุนจำนวนมากหากมีปัญหาขึ้น จะส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินขององค์กรปตท.ได้ ทำให้การพิจารณาการลงทุนต้องรอบคอบในทุกๆด้าน
ทั้งนี้โครงการดังกล่าวตั้งอยู่ในบริเวณเขตเศรษฐกิจ Nhon Hoi จังหวัดบินดินห์ ประเทศเวียดนาม ประกอบด้วย โรงกลั่นน้ำมันขนาด 4 แสนบาร์เรล/วัน และโรงงานปิโตรเคมี 5 ล้านตัน/ปี โดยกลุ่ม ปตท. ถือหุ้น 40% ซาอุดิ อารัมโก ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันซาอุดิอาระเบียรายใหญ่ของโลก 40% และเวียดนาม 20%