xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“ชัปปุยส์” สมบัติชาติ “ผัว” ทั้งแผ่นดิน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -คงต้องถือเป็นการ “คืนความสุข” ที่จับต้องได้ของคนไทยเลยก็ว่าได้ สำหรับการคว้า “แชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014” มาครอบครองได้เป็นผลสำเร็จหลังจากห่างหายไปเป็นเวลาถึง 12 ปีของนักเตะทีมชาติไทย

ยิ่งในโลกออนไลน์ด้วยแล้ว ชัยชนะและการคว้าแชมป์ของทีมช้างศึกในครั้งนี้ได้กลายเป็นหัวข้อที่ได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงเวลาดังกล่าว กลายเป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกมาโพสต์เกลื่อนกลาดอยู่เต็มหน้าวอลล์ของผู้คนทุกเพศทุกวัย

แม้กระทั่งคนที่ไม่เคยสนใจทีมฟุตบอลไทยมาก่อน ยังต้องเทหัวใจให้กับขุนพลทีมชาติไทยภายใต้การนำทัพของ “ซิโก้-เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง” ในครั้งนี้

นี่เป็นปรากฏการณ์ เป็นความฟีเวอร์ที่คนทั้งประเทศต้องจดจำและต้องบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ชาติไทย โดยเฉพาะกับกองกลางรูปหล่อหมายเลข 7 ลูกครึ่งไทยสวิสที่ชื่อ “ชาริล ชัปปุยส์” ซึ่งทำให้ผู้คนทุกเพศ ทุกวัย กรี๊ด ยิ่งสาวๆ ทั้งสาวปกติและสาวข้ามเพศที่อยากได้ชัปปุยส์เป็นแฟนกันใจจะขาดรอนๆ กันเลยทีเดียว

แน่นอนว่า กระแสฟีเวอร์เช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นได้ง่ายๆ สำหรับในประเทศไทย

ฟีเวอร์ทั้งประเทศ “บอลไทย”สนามแตก

วันที่ 20 ธันวาคม 2557 ต้องถูกจารึกเอาไว้ในหน้าพงศาวดารลูกหนัง เพราะวินาทีที่ทัพนักเตะทีมชาติไทย ย่างก้าวลงจากเครื่องบินพร้อมถ้วยแชมป์ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 มีแฟนบอลมาดักรอต้อนรับฮีโรท่ามกลางแสงแดดที่ร้อนระอุกว่า 2 พันคน ก่อนจะทวีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตลอดเส้นทางขบวนแห่จากสนามบินดอนเมือง ถึงที่ทำการสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ภายในสนามศุภชลาศัย

ทุกคนโห่ร้องแสดงความยินดีตลอดทางนับแสนคน โดยเฉพาะจุดสำคัญบริเวณ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และ สยามเซ็นเตอร์ จนการจราจรกลายเป็นอัมพาต

ทว่า หากย้อนกลับไปก่อนหน้าที่ทีมฟุตบอลชาติไทยจะผงาดเป็นเจ้าอาเซียนและสร้างปรากฏการณ์ฟีเวอร์ ปรากฏการณ์ชัปปุยส์ ทีมชาติไทย ชุดนี้ถูกครหาตั้งแต่เรียกตัวนักเตะ มีหลายชื่อที่ไม่ถูกใจแฟนบอล แต่ลูกทีมของ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ก็สยบเสียงวิจารณ์ด้วยผลงานในสนาม ชนะรวด 3 นัดในรอบแรก เหนือ สิงคโปร์ เจ้าภาพและแชมป์เก่า 4 สมัย 2-1 ต่อด้วย มาเลเซีย 3-2 และ เมียนมาร์ 2-0 คว้าแชมป์กลุ่ม บี ก่อนที่รอบรองชนะเลิศ นัดแรก จะบุกไปยันเสมอ ฟิลิปปินส์ 0-0 แล้วกลับมาถล่มในบ้าน 3-0 กรุยทางสู่รอบชิงชนะเลิศ

โดยในรอบชิงชนะเลิศ เกมแรกในบ้านที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน “ช้างศึก” ตุนสกอร์ไว้ก่อน 2-0 แต่เกมนัดสองบุกไปโดน มาเลเซีย นำเร็วตั้งแต่ต้นเกมจากการเสียจุดโทษ และโดนเพิ่มอีกสองประตูจนสกอร์รวมสองนัดตามอยู่ที่ 2-3 ชั่วโมงนั้นแฟนบอลหลายคนแทบจะถอดใจ แต่แล้วในช่วง 10 นาทีสุดท้าย ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นเมื่อ ชาริล ชัปปุยส์ ตามซ้ำ ลูก ฟรีคิกตุงตาข่ายให้สกอร์รวมกลับมาเท่ากันแต่ได้เปรียบเรื่องอเวย์โกล ก่อนที่ “เมสซีเจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ จะมายิงปิดฝาโลงให้ ทีมชาติไทย ไล่เป็น 2-3 สกอร์รวมชนะ 4-3 คว้าแชมป์สมัยที่ 4 ได้สำเร็จ ต่อจากปี 1996, 2000 และ 2002

อย่างไรก็ตาม แค่ตำแหน่งเจ้าอาเซียนคงไม่สามารถทำให้แฟนบอลคลั่งปรอทแตกได้ขนาดนี้ จุดเริ่มต้นของปรากฎการณ์นี้คงต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2013 หลังจากที่ สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ตัดสินใจแต่งตั้ง เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง คุมทีมชาติสู้ศึก ซีเกมส์ ครั้งที่ 27 ที่เมียนมาร์ เรื่องชื่อเสียงไม่มีคนสงสัยเพราะ “ซิโก้” วางตัวดีเป็นมืออาชีพไม่มีด่างพร้อยตั้งแต่สมัยเป็นนักเตะจนเป็นที่รักของคนทั้งประเทศ แต่เรื่องฝีมือยังถูกตั้งคำถามเพราะนับตั้งแต่ผันตัวเป็นโค้ชเจ้าตัวยังไม่มีผลงานชิ้นโบว์แดงอะไรการันตีเลย การที่ต้องมารับเผือกร้อนกู้ชื่อเสียงให้กับประเทศชาติหลังจากที่ตกรอบแรกรายการนี้มา 2 สมัยติด จึงถูกจับตาเป็นอย่างมาก

แต่ “ซิโก้” ก็นำลูกทีมทวงแชมป์กลับสู่แผ่นดินไทยได้สำเร็จ ด้วยนักเตะสายเลือดใหม่ที่รวมตัวปั้นเองกับมือ เสมือนเป็นประกายแสงเล็กๆ ของตำนานบทใหม่ ก่อนจะดันแข้งชุดนี้สู้ศึกในรายการที่ใหญ่ขึ้นอย่าง เอเชียน เกมส์ 2014 ที่เกาหลีใต้ แม้จะไม่ประสบความสำเร็จมีเหรียญคล้องคอ แต่ก็สามารถจบอันดับ 4 ซึ่งเป็นอันดับที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์เทียบเท่าปี 1990, 1998 และ 2002 แต่สิ่งที่ได้ใจกองเชียร์มากที่สุดก็คือรูปแบบการเล่น ทรงบอลที่อดีตแข้งจอมตีลังกาขุนมาอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการต่อบอลทำชิ่งภาคพื้นที่เข้ากับรูปร่างของนักเตะ รวมถึงพลังที่วิ่งไม่มีหมด ไม่มีใครวิ่งเหยาะแหยะหรือถอดใจให้เห็น ทำให้แสงสปอร์ตไลต์เริ่มค่อยๆ หันมา

หลังจากผ่านไป 2 ทัวร์นาเมนท์ ชื่อของ “ซิโก้” ก็เป็นที่ยอมรับมากขึ้น กระทั่งได้รับมอบหมายให้ขึ้นคุมบังเหียนทีมชาติชุดใหญ่ สู้ศึกชิงแชมป์อาเซียน หรือ “เอเอฟเอฟ ซูซูกิ 2014” ที่ไทยร้างโทรฟีมานานกว่า 12 ปีเต็ม ซึ่งเป็นการพิสูจน์ฝีมือของเจ้าตัวในอีกระดับ ก่อนที่จะประสบความสำเร็จด้วยแกนหลักที่เป็นขุมกำลังชุดเดิม แต่ละคนกำลังอยู่ในวัยห่าม อายุเฉลี่ยพียงแค่ 24 ปีเท่านั้น

สำหรับปี 2015 ก้าวต่อไปของ “ช้างศึก” คงหนีไม่พ้นระดับทวีปต่อด้วยระดับโลก โดยมีทัวร์นาเมนท์สำคัญรออยู่อีก 2 รายการ คือ “เอเชียน คัพ 2019 รอบคัดเลือก” ที่จะเริ่มฟาดแข้งตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายนเป็นต้นไป ซึ่งรายการนี้นอกจากจะคัดหา 24 ทีมไปชิงแชมป์ทวีปเอเชียรอบสุดท้ายแล้ว ยังจะเป็นส่วนหนึ่งของการหา 12 ทีมไปลุ้นต่อใน “ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือกโซนเอเชีย” เพื่อเอา 4 ทีมครึ่งไปเล่นรอบสุดท้ายที่รัสเซีย อีกรายการคือ “เอเอฟซี ยู-23 แชมเปียนชิป 2016 รอบคัดเลือก” ระหว่างวันที่ 23-31 มีนาคมนี้ โดย ไทย อยู่กลุ่ม จี ร่วมกับ เกาหลีเหนือ กัมพูชา และ ฟิลิปปินส์ คัดหา 15 ทีมไปเล่นรอบสุดท้ายที่ กาตาร์ และนำอันดับ 1-3 ไป โอลิมปิก เกมส์ 2016 ที่บราซิล

นอกจากนี้แล้ว อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่เป็นกำลังใจให้ทัพ “ช้างศึก” วิ่งสู้ฟัด คือ พระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่ง “ซิโก้” เปิดเผยหลังคว้าแชมป์ว่า ในช่วงพักครึ่งระหว่างที่สกอร์ตามหลังอยู่ 0-2(สกอร์รวม 2-2) ในหลวงทรงรับสั่งให้รองราชเลขาธิการโทรศัพท์หา นายเกษม จริยวัฒน์วงศ์ ผู้จัดการทีม ว่าพระองค์ทรงทอดพระเนตรการแข่งขันอยู่และขอส่งกำลังใจมาให้ และเมื่อนักเตะได้ยินประโยคนี้ก็เกิดความฮึกเหิม มีกำลังใจเต็มเปี่ยมจนสามารถลงไปยิง 2 ประตูในช่วงท้ายเกมคว้าแชมป์ได้สำเร็จ โดย “เจ้าเอ็ม” สุทธินันท์ พุกหอม ปราการหลังตัวแกร่งของทีมที่พลาดท่าทำเสียจุดโทษจนนำมาซึ่งการเสียประตูแรกในเกมดังกล่าวถึงกับร่ำไห้เมื่อได้ยินประโยคดังกล่าวและเปิดเผยว่าสิ่งนี้คือความทรงจำที่ยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งในชีวิตของตน ในการทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติ

โดยเรื่องนี้ ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล แพทย์ผู้ถวายงานในหลวง ได้กล่าวยืนยันว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใส่พระราชหฤทัยในการแข่งขันฟุตบอลทีมชาติไทยเป็นอย่างมาก เห็นได้จากใน รอบชิงชนะเลิศนัดแรกที่เปิดบ้านรับมือมาเลเซีย พระองค์ทรงตื่นบรรทมมาทอดพระเนตรการถ่ายทอดสดในครึ่งเวลาหลัง ส่วนนัดสองที่ต้องบุกไปเยือน ทางทีมแพทย์ได้กราบบังคมทูลว่าจะมีแข่งในเวลา 19.00 น. พระองค์จึงบรรทมในช่วงบ่าย และทรงตื่นบรรทมเองในช่วงเวลาดังกล่าว พร้อมรับสั่งให้เปิดโทรทัศน์เพื่อที่จะทอดพระเนตรการแข่งขัน สิ่งนี้แสดงถึงความตั้งพระราชหฤทัยของพระองค์ท่านจริงๆ

ที่สำคัญคือ ในขณะที่ทีมตามหลังอยู่ 0-2 พระองค์มีพระราชกระแสรับสั่งให้ไปตามรองราชเลขาธิการ ซึ่งอยู่ที่ตึกเฉลิมพระเกียรติ มาเข้าเฝ้าฯแล้วโทรศัพท์ไปที่ นายเกษม จริยวัฒน์วงศ์ ผู้จัดการทีมฟุตบอลทีมชาติไทย โดยมีพระราชกระแสรับสั่งว่า “เราดูฟุตบอลอยู่ เราติดตามอยู่ ขอส่งกำลังใจไปให้” ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่ง และหลังจากที่คว้าแชมป์สำเร็จพระองค์ทรงยิ้มและตรัสสั้นๆว่า “เยี่ยม”

กรี๊ด....กรี๊ด....กรี๊ด...พ่อรูปหล่อ “ชาริล ชัปปุยส์

แน่นอนว่า ความสำเร็จของทีมชาติไทยส่วนหนึ่งมาจากผลงานที่ทำให้สามารถซื้อใจแฟนบอลกลับมาอีกครั้ง โดยเฉพาะลีลาขั้นเทพของ “เมสซี่ เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์” ผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งทัวร์นาเมนต์นี้ที่สร้างความประทับใจให้กับแฟนบอลทั่วประเทศ

แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับเช่นกันว่า “ความหล่อ” ก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้ได้กลุ่มกองเชียร์เพิ่มจากความหล่อเหลาของนักเตะ โดยเฉพาะ ชาริล ชัปปุยส์ กองกลางหมายเลข 7 ที่ทำให้ใครหลายคนที่ไม่ดูบอลต้องหันมาติดตาม

ไม่ใช่แค่เพียงสาวๆ เท่านั้นที่พากันกรี๊ดชัปปุยส์ อยากเป็นแฟนชัปปุยส์ แต่ทั้งผู้ชายข้ามเพศคือกระเทย และผู้หญิงข้ามเพศคือทอม ก็กรี๊ดซัปปุยส์

พูดง่ายๆ ว่า สาวๆ ก็อยากได้ชัปปุยส์เป็นแฟน กระเทยก็อยากได้ชัปปุยส์เป็นแฟน ทอมก็อยากได้ชับปุยส์เป็นแฟน

ยิ่งเห็นภาพชัปปุยส์ถอดเสื้อโชว์กล้ามสวยๆ ด้วยแล้ว ยิ่งอยากได้เป็นแฟน

และถ้าหากติดตามโลกโซเชียลมีเดียก็ยิ่งเห็นภาพชัด เพราะบรรดาสาวแก่แม่หม้ายต่างปวารณาตัวขอเป็นแฟน บางคนถึงขั้นเป็นภรรยาของชัปปุยส์กันเลยทีเดียว

ด้วยใบหน้าและแววตาฉบับหนุ่มลูกครึ่งที่มาพร้อมกับรอยยิ้มกระชากใจ บวกกับรอยสักห่ามๆ และการแต่งตัวเท่ๆ ยามอยู่นอกสนาม ทำให้ชื่อนี้เข้าไปอยู่ในใจของสาวน้อยใหญ่ทั่วประเทศ ถึงขนาดนำไปมโนเพ้อฝันอยากจะเป็นเจ้าของและยกให้เป็นสมบัติของชาติ ห้ามสาวประเทศอื่นมาข้องแวะ กลายเป็นนักกีฬาที่มีคนติดตามทาง “อินสตาแกรม” มากที่สุดถึงเกือบ 7 แสนคน แต่ละรูปที่โพสต์มีคนกดถูกใจไม่ต่ำกว่า 1 แสนคน

อันที่จริง ชัปปุยส์ เคยตกเป็นเป้าสนใจตั้งแต่ย้ายมาค้าแข้งประเทศไทยครั้งแรกเมื่อปี 2013 แต่ตอนนั้นยังไม่ถูกกล่าวขานถึงมากนัก กระทั่งมาดังเป็นพลุแตกในปัจจุบันโดยมีผลงานในสนามเป็นตัวชูโรง

สำหรับ ชัปปุยส์ มีแม่เป็นชาวไทย (ไพลิน ชัปปุยส์) ส่วนพ่อเป็นชาวสวิส (แดเนียล ชัปปุยส์) เริ่มเล่นฟุตบอลระดับเยาวชนให้กับสโมสรโคลเทิน ที่บ้านเกิดประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ตั้งแต่อายุ 7 ขวบ โดยมีพ่อเป็นผู้ฝึกสอนฟุตบอลให้ ก่อนจะย้ายไป เอสซี ยังเฟลโลวส์ ยูเวนตุส ต่อด้วยเล่นอาชีพกับ กราสฮอปเปอร์ สโมสรดังใน สวิส ซูเปอร์ ลีก ตอนอายุ 17 ปี ก่อนจะเลือกเล่นทีมชาติให้กับแผ่นดินเกิดผู้เป็นพ่อ ติดทีมชาติชุด 15 ปี และ 17 ปี พร้อมสร้างชื่อด้วยการพาทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ คว้าแชมป์ฟุตบอลเยาวชนอายุไม่เกิน 17 ปี ชิงแชมป์โลก เมื่อปี 2009 จนดีกรีไปเตะตา บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ยักษ์ใหญ่แห่ง โตโยต้า ไทย พรีเมียร์ ลีก คว้ามาร่วมทีมเมื่อปี 2013 ด้วยสัญญา 2 ปี และถูกจับตาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ชัปปุยส์ กลายเป็นขวัญใจสาวกเซราะกราวได้อย่างรวดเร็ว ประเดิมสนามเกมแรกบนแผ่นดินไทยด้วยการออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในเกม เอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก 2013 รอบเพลย์ออฟ กับ บริสเบน โรอา ที่ไอ-โมบาย สเตเดียม ขณะที่ในศึก โตโยต้า ไทย พรีเมียร์ ลีก ชัปปุยส์ สามารถยิงประตูได้ทันทีตั้งแต่ลงสนามเกมแรก โดยปั่นลูกเตะมุมโค้งเข้าประตูไปอย่างสวยงาม ช่วยให้ทีมตามตีเสมอ สุพรรณบุรี เอฟซี 1-1

อย่างไรก็ตามฟอร์มการเล่นของ ชัปปุยส์ เริ่มดร็อปลงหลังจากได้รับบาดเจ็บหนักที่หัวเข่าจากการกระโดดดีใจ แต่ขาขวาที่รับน้ำหนักเกิดเสียหลักจนหัวเข่าบิดอย่างหวาดเสียว ต้องพักยาวถึง 3 เดือน เมื่อกลับมาลงสนามได้อีกครั้งไม่สามารถเค้นฟอร์มเก่งออกมาโชว์ได้ ไม่สามารถเบียดแย่งตำแหน่งกับแข้งตัวเก๋ารายอื่นยึดตำแหน่งตัวจริงถาวรได้ อีกทั้งยังโดนอาการบาดเจ็บเล่นงานทำให้ได้รับโอกาสลงสนามไม่ต่อเนื่อง ได้ลงทั้งหมด 28 เกม ยิงได้อีก 4 แม้จะมีส่วนช่วยต้นสังกัดกวาด 4 แชมป์ในประเทศ ทั้งฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน ประเภท ก, ไทย พรีเมียร์ ลีก, โตโยต้า ลีก คัพ และ มูลนิธิไทยคม เอฟ เอ คัพ รวมถึงเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายฟุตบอลชิงถ้วยสโมสรเอเชีย เอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก ก็ตาม จนทำให้ชื่อของเจ้าตัวเริ่มหายจากหน้าสื่อ

หลังจากที่ค้าแข้งเมืองไทยได้ไม่นาน ชัปปุยส์ ตัดสินใจครั้งสำคัญด้วยการเลือกที่จะย้ายมาเล่นให้ทีมชาติไทย ในยุคของ วินฟรีด เชเฟอร์ กุนซือชาวเยอรมัน แต่เส้นทางก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ชัปปุยส์ ติดปัญหาเรื่องการเปลี่ยนสัญชาติ ไม่สามารถลงเล่นได้ทันในรายการ เอเชียน คัพ 2015 รอบคัดเลือก เมื่อเดือนมีนาม 2013 ต้องรอถึงเดือนสิงหาคมจึงจะได้สวมยูนิฟอร์มประดับโลโก้ช้างศึกครั้งแรก ในเกมอุ่นเครื่องกับ ลิเวอร์พูล ต่อด้วยเจอ บาร์เซโลนา ซึ่งเป็นสโมสรในดวงใจของตน

กระทั่งได้ประเดิมสนามให้กับทีมชาติไทยอย่างเป็นทางการครั้งแรกในศึก ซีเกมส์ 2013 ในยุค “ซิโก้” และเป็นกำลังหลักช่วยทีมทวงแชมป์สำเร็จ หลังจากนั้นเส้นทางของ ชัปปุยส์ หักเหอีกครั้งเมื่อตัดสินใจย้ายจากบุรีรัมย์ฯมาร่วมทัพ สุพรรณบุรี เอฟซี เมื่อมิถุนายน 2014 ด้วยสัญญายืมตัว และย้ายขาดในอีก 2 เดือนต่อมา ด้วยสัญญา 2 ปี พร้อมรับค่าเหนื่อยที่ว่ากันว่าเฉลี่ยแล้วสูงถึง 1.2 ล้านบาทต่อเดือนเลยทีเดียว ซึ่งในแดนขุนแผน ชัปปุยส์ยังเป็นขวัญใจของแฟนบอลเช่นเดิม แต่สิ่งที่ต่างคือเจ้าตัวได้รับโอกาสลงสนามต่อเนื่อง และได้ติดทีมชาติอีกครั้งในอินชอนเกมส์ โดยทัวร์นาเมนท์นี้ ชัปปุยส์ ได้รับเสียงชมมากขึ้นจากฟอร์มที่โดดเด่นในการขับเคลื่อนแดนกลาง สามารถเล่นได้ทั้งมิดฟิลด์ตัวรุกและตัวรับ อีกทั้งยังมีทีเด็ดในลูกตั้งเตะทั้ง ฟรีคิก เปิดมุม และ จุดโทษ ก่อนจะมาตีตราแจ้งเกิดเรื่องฝีเท้าเต็มตัวในซูซูกิ คัพ ด้วยผลงานยิงไปทั้งหมด 4 ประตู

โดยเฉพาะลูกสำคัญที่ปลุกความหวังของคนไทยทั้งชาติหลังตามเสือเหลือมาเลเซีย 3 ประตูต่อ 3

ขณะที่ชีวิตนอกสนามของ ชัปปุยส์ เรียบง่ายกว่าที่คิด เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการฝึกซ้อม ออกกำลังกาย และเล่นกีฬาประเภทอื่น เช่น เล่นเทนนิส และ บาสเกตบอล รวมถึงยังเป็นแฟชันนิสตาตัวยงทั้งเสื้อผ้าหน้าผมไม่ตกเทรนด์ อีกทั้งยังนิยมชมชอบในการสัก มีรอยสักเท่ๆที่แขนซ้าย ที่สลักตัวเลข 15.11.2009 หมายถึง วันเดือนปีที่ตนคว้าแชมป์เยาวชนโลก บวกกับรอยสักแนว Modern Tribal Tattoos (ลวดลายของชนเผ่า เมารี ในนิวซีแลนด์) และ Old School (รอยสักในรูปแบบสมัยเก่า เน้นลายเส้น และสีที่คมเข้ม) เช่นรูปไพ่ เอจ โพธิ์แดง และ รูปดอกกุหลา นอกจากนี้ยังทีรูปหน้ายิ้มที่ตาตุ่มด้านซ้ายเล็กๆอีกหนึ่งจุด

ด้วยลุคสปอร์ตแมนทันสมัยกับหน้าตาที่หล่อเหลาระดับอินเตอร์ยังได้ลามไปถึงประเทศเพื่อนบ้าน เห็นได้จากในเอเชียนเกมส์ ที่เกาหลีใต้ มีนักศึกษาสาวแดนกิมจิมาร่วมตามเชียร์ให้กำลังใจ รอให้เซ็นชื่อถึงหน้าบ้านพักนักกีฬา และล่าสุดที่มีแฟนบอลมาเลเซีย ลงทุนแต่งกลอนภาษาอังกฤษยาวเหยียด พร่ำเพ้อ พรรณนาถึงความรู้สึกหลงรักที่ตนมีให้กับแข้งหมายเลข 7 รายนี้

อย่างไรก็ตามเมื่อมีเวลาว่างช่วงปิดฤดูกาล ชัปปุยส์ มักจะบินกลับไปพักผ่อนที่สวิตเซอร์แลนด์ เป็นประจำ เหมือนที่ล่าสุดที่ดิ่งตรงสู่แดนนาฬิกาทันทีหลังจากนำถ้วยแชมป์กลับมาประเทศไทย เพื่อพักผ่อนกับครอบครัวและแฟนสาว เมลานี มานูเอล หญิงเชื้อสายโปรตุกีส ผู้ดับฝันหญิงไทยทั้งประเทศ

เมลานี สาวหน้าคม คบหาดูใจกับ ชัปปุยส์ มากกว่า 5 ปีแล้ว โดยเธอมีอาชีพเป็นช่างทำผมอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาทั้งสองคนอาศัยการติดต่อกันผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก เพื่อเป็นกาวใจสานสัมพันธ์ นานๆครั้งจึงจะบินมาประเทศไทยสักครั้ง ซึ่งการมีช่องโหว่นี้ทำให้สาวไทยเริ่มฝันเข้าข้างตัวเอง แก่งแย่งกันเป็นเจ้าของทางวาจา และแอบแช่งให้ทั้งคู่ร้างลาจากกันตามโลกออนไลน์ ทว่าล่าสุด ชัปปุยส์ ได้เปิดเผยเองว่าแฟนสาวเตรียมที่จะลาออกจากงานตามตนมาอยู่ที่ประเทศไทย เพื่อที่จะกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นมากขึ้น จนกองแช่งฝันล่มไปตามๆ กัน

แต่นั่นก็ไม่อาจทำให้กระแสกรี๊ดในตัวชัปปุยส์ลดลงไปประการใด ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้ว ความแรงของชัปปุยส์ชั่วโมงนี้ไม่ต่างอะไรจากดารานักแสดงรูปหล่อที่แม้แต่จะแต่งงานแล้วก็ยังไม่ลดความนิยมจากบรรดาสาวๆ เช่น ติ๊ก-เจษฏาภรณ์ ผลดี หรือเคน-ธีรเดช วงศ์พัวพันธุ์ เป็นต้น

เรียกได้ว่า ชัปปุยส์ เป็นตัวจุดประกายก็ว่าได้ เพราะก่อนหน้านี้มีเสียงวิจารณ์ว่าฟุตบอลทีมชาติไทย ไม่ได้รับความนิยม เนื่องจากว่านักเตะไม่หล่อ ไม่มีเอกลักษณ์ เหมือนพ่อค้าแข้งเมืองนอก โดยมีครั้งหนึ่งที่พยายามย้อมผมสีทอง แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ประสบความสำเร็จ เฉกเช่นตอนนี้ที่มีแข้งหน้าตาดี หล่อ ขาว หลายคน

ถ้าจะว่าไปแล้ว วันนี้ ชัปปุยส์คือคริสเตียโน โรนัลโด้ของประเทศไทยเลยก็ได้

โซเชียลมีเดียช่วยปั่นกระแส

เมื่อผลงานในสนามลงตัวจับต้องได้ สปอร์ตไลต์ก็ฉายมาเต็มดวงเห็นทะลุถึงตัวนักเตะที่เป็นชนวนสำคัญของความฟีเวอร์นี้ เพราะแต่ละคนนอกจากจะมีฝีเท้าที่เลอเลิศแล้ว รูปร่างหน้าตายังเฉิดฉายไม่แพ้กัน ปานเทพบุตรเยื้องกายมาจุติอยู่ในสนาม ต่างจากสมัยก่อนที่นักบอลมักจะโดนค่อนขอดทางรูปลักษณ์ที่ผ่านการตากตรำกรำแดดมาโชกโชน

ไม่ว่าจะเป็น ชาริล ชัปปุยส์ หรือ 2 หนุ่มหน้าตี๋ “ต้น” นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม กับ “ตัง” สารัช อยู่เย็น 2 รวมถึง “เอ็ม” สุทธินันท์ พุกหอม และ “ตอง” กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์

ทั้งนี้ นักบอลสมัยใหม่รู้จักที่จะดูแลตัวเองในด้านภาพลักษณ์ ทั้งการแต่งตัว การทำผม ที่เซตออกมาตามแฟชันไม่ตกเทรนด์ เมื่อบวกกับหุ่นเฟิร์มๆของการเป็นนักกีฬา จึงทำให้เป็นที่ต้องใจของสาวๆได้ไม่ยาก มีแฟนคลับสาวมาที่ไม่เคยสนใจฟุตบอลหันมาติดตามมากขึ้น

นอกจากนี้ยังได้พลังหนุนจากโซเชียลเน็ตเวิร์ก ที่เป็นเหมือนเชื้อเพลิงชิ้นดีจุดไฟให้ลุกโชน เพราะเมื่อแฟนบอลได้เห็นฟอร์มการเล่นและหน้าตาของนักเตะในสนามแล้วก็เกิดการอยากรู้จักมากขึ้น ขุดคุ้ยประวัติ ตามติดเฟซบุ๊กและอินสตาแกรม จนพบไลฟ์สไตล์เท่ๆของแต่ละคน นำมาซึ่งการแชร์กันจากเพจหนึ่งไปเพจหนึ่ง พูดกันปากต่อปาก มีการตั้งแฟนเพจเป็นแฟนคลับคอยเชียร์ โพสต์ภาพและคลิปวีดีโออย่างต่อเนื่อง

เมื่อทุกอย่างมาบรรจบกันกระแส “บอลไทย ฟีเวอร์” จึงบังเกิดขึ้น และยิ่งก่อนหน้านี้ทัพ “ช้างศึก” ต้องเล่นเกมนอกบ้านตลอดทั้งที่ เมียนมาร์ เกาหลีใต้ และ สิงคโปร์(รอบแรก) แฟนบอลจึงได้แต่ติดตามผลงานผ่านทางหน้าจอโทรทัศน์ อารมณ์คลั่งไคล้อยากเห็นตัวนักบอลด้วยตาตัวเองจึงถูกสั่งสมเรื่อยมา จนประทุในวันที่ผู้เล่นชุดนี้ได้ลงสนามในรังเหย้าต่อหน้าแฟนบอลตัวเองครั้งแรกในเกมรับมือ ฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2557 ซึ่งตรงกับวันหยุดรัฐธรรมนูญ สนามราชมังคลากีฬาสถาน ถูกอัดแน่นเต็มความจุ 49,000 คน ทั้ง ผู้หญิง ผู้ชาย เด็ก และผู้สูงอายุ สแตนด์ทั้ง 4 ฝั่งถูกย้อมเป็นสีน้ำเงินตามยูนิฟอร์มหลักที่ใช้ ใน ทัวร์นาเมนท์ และต่อเนื่องถึงนัดชิงฯ ที่รับมือ มาเลเซีย แม้จะเป็นวันทำงาน(17 ธันวาคม 2557) แต่ก็ไม่สามารถหยุดกระแสความร้อนแรงนี้ได้ มีแฟนบอลหลายคนต้องยืนเชียร์อยู่ด้านนอกสนามเพราะซื้อบัตรเข้าชมไม่ทัน

ก่อนแข่งขันบัตรถูกขายหมดในเวลาเพียงกี่ชั่วโมงทั้งช่องทางออนไลน์และเปิดขายหน้าสนาม จนนำมาซึ่งการฉวยโอกาสจากการขายตั๋วเกินราคา หรือที่เรียกกันว่า “ตั๋วผี” ทั้งหน้าสังเวียนและโลกโซเชียล โดยราคาบัตรได้ถูกอัปขึ้น 3-4 เท่าตัว จากราคาหน้าบัตร 300 บาท ถูกขายในราคา 1,500 บาท หรือ บัตรราคา 250 บาท ที่ประกาศขายในราคา 1,200 บาท ซึ่งแม้จะแพงแต่ก็มีหลายคนที่ยอมควักกระเป๋าซื้อเพื่อที่จะได้ดูทีมรัก

เช่นเดียวกับยอดขายเสื้อทีมเหย้าสีน้ำเงินที่ขาดตลาดอย่างหนัก ทั้งที่ถูกผลิตมาเกือบ 3 หมื่นตัว เนื่องจากแฟนบอลแห่ต่อคิวเพื่อนำมาเป็นเจ้าของ โดยเบอร์สกรีนเสื้อที่ฮิตที่สุดคือ หมายเลข 7 ของ ชาริล ชัปปุยส์ และ หมายเลข 18 ของ ชนาธิป สรงกระสินธ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตอกย้ำได้อย่างดีว่าทุกวันนี้เสื้อบอลกลายเป็นแฟชั่นไปแล้ว สามารถใส่เที่ยว เดินห้างฯ ได้ อย่างไม่ต้องเขินอาย ต่างจากอดีตที่ใส่แล้วมักถูกมองว่าเชยหรือดูไม่ดี

นี่เป็นความลงตัว เป็นองค์ประกอบที่ไม่ธรรมดาสำหรับความสำเร็จของนักฟุตบอลทีมชาติไทยชุดนี้ ซึ่งต้องบอกว่า เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายที่จะเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้สำหรับวงการกีฬาไทย หรือแม้กระทั่งประเทศไทยก็ตาม

โดยเฉพาะชาริล ชัปปุยส์ที่วันนี้ได้กลายเป็นสมบัติของชาติไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
















กำลังโหลดความคิดเห็น