xs
xsm
sm
md
lg

ปชป.จ่อฟ้องสุดาผิดม.112 แต่งดำในเดือนมหามงคล

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงการดำเนินคดีกับน.ส.สุดา รังกุพันธ์ นักวิชาการเสื้อแดง กรณีลงข้อความ และภาพในเฟซบุ๊กสุดา รังกุพันธุ์ ว่า แต่งดำเดือนธันวาไว้อาลัยคดีปรส. ทั้งที่เดือนธันวาคมเป็นเดือนมหามงคล ที่คนไทยจะแต่งสีเหลืองเพื่อถวายพระพร ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่จาบจ้วง ล่วงละเมิด ผิดกฎหมายอาญา มาตรา 112 จึงได้ยื่นเรื่องต่อพล.อ.รุ่งโรจน์ จำรัสโรมรัน ผู้ช่วยรมว.กลาโหม ให้ดำเนินการปราบปรามผู้กระทำผิดตาม มาตรา 112 อย่างจริงจัง ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
นอกจากนี้ ยังมีกรณีของบุตรชายนักการเมืองพรรคเพื่อไทย นามสกุลวลัยเสถียร ที่มีการล่วงละเมิดสถาบันเบื้องสูงอย่างร้ายแรง แต่ตำรวจมีคำสั่งไม่ฟ้อง จึงยื่นเรื่องให้ดำเนินการด้วย
นายวิรัตน์ กล่าวด้วยว่าในส่วนของน.ส.สุดา นอกจากทำผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 112 แล้ว พรรคประชาธิปัตย์ จะฟ้องดำเนินคดีหมิ่นประมาทด้วย เนื่องจากข้อความที่น.ส.สุดา โพสต์ ยังมีการกล่าวหาว่าพรรคประชาธิปัตย์ขายชาติ ทำให้เกิดความเสียหายกรณีปรส. เป็นการใส่ร้ายอย่างน่าละอาย เพราะพรรคที่ทำให้เกิดความเสียหายคือ รัฐบาลพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ แต่รัฐบาลประชาธิปัตย์ เข้าไปแก้ไข
ด้านนายศิริโชค โสภา อดีต ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ประเด็นปรส.เป็นเรื่องที่พรรคเพื่อไทย และนักวิชาการเสื้อแดง ใช้เป็นประเด็นโจมตีให้พรรคเกิดความเสียหายมาโดยตลอด จึงมีความจำเป็นต้องฟ้องดำเนินคดี และขอชี้แจงความจริง 10 ประการเกี่ยวกับปรส. ดังนี้ 1. วิกฤตเศรษฐกิจเกิดในสมัย พล.อ.ชวลิต ที่มีการดำเนินนโยบายการเงินการคลังผิดพลาด ปล่อยให้นักการเมืองนำหลักทรัพย์ที่ไม่มีมูลค่าไปกู้เงิน เช่น กรณีธนาคารบีบีซี และมีการนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศไปแทรกแซงเงินบาทจนหมดตัว ก่อนลอยตัวค่าเงินบาท
2. การลาออกของพล.อ.ชวลิต ไม่ใช่การรับผิดชอบ แต่เป็นการทิ้งปัญหา เพราะคิดว่าประเทศไทยไปไม่รอด อีกทั้งก่อนลาออกยังได้ลงนามสัญญาทาสกับกองทุนไปเอ็มเอฟ จนทำให้รัฐบาลต่อมาต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ต้น
3. องค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน หรือ ปรส. เกิดในสมัย พล.อ.ชวลิต มีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นรองนายกรัฐมนตรี มีการแยกสถาบันการเงินที่มีปัญหาออกจากสถาบันการเงินที่ยังสามารถดำเนินการได้ ด้วยการระงับสถาบันการเงินที่มีปัญหา 16 แห่ง เป็นการชั่วคราว ในวันที่ 26 มิ.ย.40 และตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจ คือ คณะกรรมการกำกับ ควบ หรือโอนกิจการของสถาบันการเงิน (คคส.) ในวันที่ 3 ก.ค.40 เพื่อกำกับดูแลการควบ หรือรวมกิจการ กำหนดหลักเกณฑ์ในการจัดทำแผนฟื้นฟูสถาบันการเงิน
ต่อมารัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยังระงับการดำเนินกิจการของสถาบันการเงินเพิ่มเติมอีก 42 แห่ง ในวันที่ 2ส.ค.40 รวมทั้งหมด 58 แห่ง โดยกำหนดให้มีการยื่นแผนฟื้นฟูให้ คคส.ภายในวันที่ 31 ต.ค.40
4 .รัฐบาลพล.อ.ชวลิต ประกาศใช้พระราชกำหนด 6 ฉบับ โดยหนึ่งในนั้นคือ พระราชกำหนดการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.)เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลสถาบันการเงินที่ถูกระงับการดำเนินการทั้ง 58 แห่ง มีผลบังคับใช้ในวันที่ 25 ต.ค.40
5. ตามข้อจำกัดที่รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ทำสัญญากับไอเอ็มเอฟ ทำให้ ปรส. ต้องพิจารณาแผนการฟื้นฟูให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 พ.ย. 40 และประกาศผลการพิจารณาในวันที่ 7 ธ.ค.40 ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์เข้าบริหารประเทศในวันที่ 14 พ.ย. 40 อีกทั้ง ปรส.เป็นองค์กรอิสระที่รัฐบาลไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้ โดยการบริหารของปรส.ในขณะนั้น มีสถาบันการเงิน 2 แห่ง จาก 58 แห่ง ได้รับอนุญาตให้ดำเนินกิจการตามแผนฟื้นฟู โดยหนึ่งในนั้นคือ บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) ซึ่งภรรยาของ นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา อดีตรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เป็นเจ้าของ นอกจากนี้ ในปี 2556ป.ป.ช.ยังมีการชี้มูลความผิดผู้บริหาร ปรส.ว่ามีการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเกียรตินาคินด้วย
6. ยอดหนี้ที่ ปรส. เข้าไปสะสางมีเจ้าหนี้รวม 93,656 ราย มูลค่า 873,973.81 ล้านบาท เป็นหนี้กองทุนฟื้นฟูฯประมาณ 769,284.83ล้านบาท
7 จากยอดหนี้ 769,284.83 ล้านบาท เป็นหนี้สินทรัพย์ไม่ใช่เป็นทรัพย์สิน ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจากการลอยตัวค่าเงินบาทจึงทำให้ยอดหนี้เพิ่มขึ้นตามค่าเงินบาทที่อ่อนลงจาก 25 บาทต่อดอลลาร์ เป็น 50 บาทต่อดอลลาร์
8 หลักทรัพย์ที่ใช้ค้ำประกัน มีมูลค่าลดลงจากวิกฤตเศรษฐกิจและยังมีปัญหาว่าหลักทรัพย์ที่นำมาค้ำประกันในขณะนั้นเป็นหลักทรัพย์มีการประเมินราคาสูงเกินความเป็นจริง
9. ยอดสินทรัพย์ที่มีการประมูลขายคือ 748,091.78 ล้านบาท ได้เงิน 264,093.99 ล้านบาท และมีสินทรัพย์จำนวน 120,868.05 ล้านบาท เป็นหนี้ที่ต้องบังคับคดีตามคำพิพากษาไม่สามารถนำไปประมูลขายได้ ดังนั้นจึงไม่มีการประมูลขายทรัพย์สินมูลค่า 873,973.81 ล้านบาท และได้เงินคืนเพียง 190,000 ล้านบาท ตามที่มีการปลุกระดมให้เกิดความเข้าใจผิด 10 กรณี อ้างว่าคดีปรส.หมดอายุความเดือนพฤศจิกายน เป็นเรื่องเท็จ เพราะปัจจุบันป.ป.ช.ได้ชี้แจงแล้วว่า ไม่มีคดีค้างอยู่ที่ ป.ป.ช. โดยมีการสั่งฟ้องไปแล้ว สองคดี คือเรื่องการวางหลักประกันการประมูลหนี้ ที่ฟ้องผู้บริหาร ปรส. ซึ่งศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษายกฟ้อง อยู่ในชั้นการพิจารณาคดีของศาลฎีกา และ กรณีกล่าวหานายมนตรี เจนวิทย์การ เลขา ปรส. กับพวก เอื้อประโยชน์บริษัทเกียรตินาคินจนทำให้รัฐได้รับความเสียหาย ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการฟ้องร้องดำเนินคดี
นายศิริโชค กล่าวว่า จากข้อมูลทั้งหมดจะเห็นได้ว่าคนที่บริหารจนเกิดความเสียหายคือ รัฐบาลพล.อ.ชวลิต ซึ่งเป็นผู้ลงนามในสัญญาเงินกู้ ไอเอ็มเอฟ และมีการตั้งปรส.เพื่อบริหารแผนฟื้นฟูสถาบันการเงิน โดยมีการออกกฎหมายให้เป็นหน่วยงานอิสระที่รัฐบาลแทรกแซงไม่ได้ อีกทั้งยังต้องปฏิบัติตามแผนของไอเอ็มเอฟตามพันธะสัญญาที่รัฐบาลพล.อ.ชวลิตไปลงนามด้วย พรรคประชาธิปัตย์จึงไม่ใช่ผู้ทำให้เกิดความเสียหายแต่เข้ามาแก้วิกฤตประเทศ ในขณะเดียวกันก็มีข้อมูลชัดเจนว่าคนที่ได้ประโยชน์จากการบริหารของ ปรส.คือบริษัทเกียรตินาคินที่มีภรรยานายพงษ์เทพ กาญจนา เป็นเจ้าของ
กำลังโหลดความคิดเห็น