“พิชัย” ย้อน วานนี้คดี ปรส.หมดอายุความทั้งที่สังคมยังข้องใจ พฤติกรรม ปชป.สมัยนั้น ป.ป.ช.มีหลักฐานชัดแต่เอาผิดไม่ได้ โยงคดีเงินบริจาค ปชป.ก็หมดอายุความ ตอกย้ำสองมาตรฐาน สาเหตุหลักขัดแย้ง จี้รัฐแก้ ม.44 สั่งให้ดำเนินคดีเท่าเทียม ใช้มาตรฐานเดียวกัน
วันนี้ (1 ธ.ค.) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน และคณะทำงานด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เมื่อวันที่ 30 พ.ย.ที่ผ่านมา เป็นวันที่คดีที่เกี่ยวกับองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) สร้างความเสียหายให้แก่ประเทศไทยจำนวนมหาศาลได้หมดอายุความลงไปแล้ว ทั้งๆ ที่สังคมมีความแคลบแคลงสงสัยในเรื่องนี้อย่างมาก เนื่องจากมีประเด็นที่ผิดปกติมากมาย ตั้งแต่การออกกฎหมายโดยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้น เพื่อให้กองทุนรวมไม่ต้องเสียภาษีเงินได้จากการซื้อและขายทรัพย์สินนี้ การให้กองทุนรวมย้อนกลับมาเซ็นสัญญาแทนผู้ประมูลชนะเพื่อไม่ต้องเสียภาษี การไม่เปิดเผยรายชื่อผู้ได้รับประโยชน์จากกองทุนรวมนี้ และการให้บริษัทลูกของบริษัทที่ปรึกษาที่เป็นผู้จัดกองทรัพย์สินเข้าร่วมประมูล
นายพิชัยกล่าวอีกว่า กรณีของ ปรส.มีหลักฐานการกระทำผิดอย่างชัดเจนที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สามารถตรวจสอบได้ แต่กลับไม่มีการดำเนินการใดๆ ก็ไม่ต่างกับคดีการบริจาคเงินของพรรคประชาธิปัตย์ 258 ล้านบาท ที่มีความผิดปกติชัดเจน แต่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในขณะนั้นก็ปล่อยให้หมดอายุความ ทำให้ไม่สามารถดำเนินคดีได้เท่ากับเป็นการตอกย้ำการดำเนินการสองมาตรฐานที่เกิดขึ้นซ้ำซาก และเป็นสาเหตุของปัญหาของความแตกแยกของสังคมในปัจจุบัน
“หากรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่มีอำนาจเต็มจะต้องการแก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคมอย่างจริงใจก็ควรใช้กฎหมาย มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวสั่งให้มีการดำเนินการกับคดีนี้อย่างเท่าเทียม ทั้งนี้รวมถึงคดีเรื่องข้าวในสมัยของรัฐบาลประชาธิปัตย์ด้วย ใครผิดอย่างไรก็ว่าไปตามหลักฐานไม่ว่าพรรคการเมืองไหนโดยจะต้องมีมาตรฐานเดียวกันในทุกเรื่องจะเป็นจุดเริ่มต้นในการแก้ปัญหาความแตกแยกของประเทศนี้ได้” นายพิชัยกล่าว