ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -เสร็จสิ้นพิธีกรรมประทับความชอบธรรมตามกระบวนการแล้ว ที่ประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เตรียมจะส่งผลการศึกษาและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการ 18 คณะให้ 36 อรหันต์ คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญไปเจียระไน เพื่อบรรจุเอาไว้ในกติกาประเทศฉบับใหม่
ขั้นตอนหลังจากนี้ต้องจับตากันว่า ข้อเสนอที่อุตส่าห์ไปค้นคว้ากันของคณะกรรมาธิการ 18 คณะ ของสปช.ที่ส่งไป มีอะไรบ้างจะเป็นที่จะเปลี่ยนจากสิ่งที่มโนกลายเป็นรูปธรรมจับต้องได้บ้าง โดยเฉพาะข้อเสนอสุดโต่งทั้งหลายที่นั่งถกเถียงกันมาพักใหญ่ จนเกือบจะเป็นไฟลามทุ่ง ถึงขนาดที่ “ลุงจิ๋ว”พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ยังต้องหยิบเอามาจับแพะชนแกะ ให้ระวังปฏิวัติซ้อน
หรือสุดท้ายข้อเสนอเหล่านี้จะถูกหยิบไปเพียงเนื้อหาบางส่วนไปใช้ ส่วนที่เหลือเอาไปเป็นอาหารเต่าปลาในทะเล ต้องการแค่เพียงหวังให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ดูโก้ ดูมีความชอบธรรม เพราะผ่านกระบวนการคัดสรรอย่างหลากหลาย ไม่ใช่ไปนั่งเทียนเขียนกันมาไม่กี่คน
จะได้รู้ว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ของพี่น้อง 3 ป. มีธงหรือไม่มีธงก็งานนี้ เพราะขืนข้อเสนอของสปช. ที่ประเคนส่งไปให้ ไม่ได้หยิบเอาไปใช้สักเท่าไหร่ และคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญกลับไปเขียนอีกแบบสิ้นเชิง งานนี้ชัดแจ้งแดงแจ๋ แป๊ะเจ้าของเรือเขามีพิมพ์เขียวอยู่แล้ว ถ้าจะพังจะเจ๊ง ก็ให้เป็นไปด้วยน้ำมือตัวเอง
กระนั้นถ้าออกลูกหมางเมินไม่หยิบมาประกอบเลยก็น่าเกลียดเกินไป อาจจะลูบๆ คลำๆ เอาเรื่องที่เป็นวิชาการไปบรรจุ แต่เรื่องการเมือง เรื่องกระบวนการยุติธรรม เรื่องการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และเรื่องการปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่สำคัญ คงจะให้ 36 อรหันต์ทองคำ ไปนั่งดีไซน์กันเอง โดยฟังเสียงกระซิบจากซือแป๋ในเรือแป๊ะ
แต่ที่ดูแล้วน่าจะเป็นไปได้ไม่น้อย สอดคล้องกับที่คณะกรรมาธิการ สปช.ชงขึ้นมา คงน่าจะเป็นระบบเลือกตั้งแบบเยอรมัน ที่แม้จะฟังดูจะยุ่งยากเหมือนไปก๊อปปี้ฝรั่งมังค่าเขามา แต่หากจะนำมาแก้ปัญหาการเมืองไทย ที่ถูกผูกขาดโดยสองพรรคใหญ่อย่างพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดูดีสุดในเวลานี้
อย่างที่ซือแป๋ประจำเรือแป๊ะ วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี บอกวิธีคำนวนคะแนนการเลือกตั้งแบบเยอรมัน ต้องใช้เวลาทำเข้าใจเพราะมันสลับซับซ้อน ชาวบ้านฟังได้นั่งงงเป็นไก่ตาแตกแน่ แต่ถ้านำมาใช้ถือว่าคุ้ม เพราะเป็นการเฉลี่ยคะแนนจากพรรคใหญ่ไปให้พรรคขนาดกลางและพรรคขนาดเล็กได้มีโอกาสลืมตาอ้าปาก ไม่มีพรรคไหนคะแนนขาดกระจุยเหมือนอดีตอีกแล้ว เพราะต่อให้ได้คะแนนมากขนาดไหน ก็ยากที่จะกินรวบเหมือนเดิม
เพียงแต่ถ้าไปกดคลิ๊กเลือกแล้ว จะต้องใช้เวลาสร้างความเข้าใจกับประชาชนสักระยะหนึ่ง แต่ซือแป๋วิษณุ ก็แง้มประตูไว้แล้วว่าไม่ยาก อาจจะใช้พื้นที่ไหนสัก 1 - 2 แห่ง เป็นหนูทดลอง เพราะยังเหลือเวลาอีกตั้ง 1 ปี
แต่จุดมุ่งหมายจริงๆ น่าจะเป็นการจำกัดจำนวน ส.ส. ไม่ให้พรรคเพื่อไทยโกยจำนวนส.ส. เข้าสภาจนเพ่นพ่านเหมือนเดิม ทำให้พรรคใหญ่มีปริมาณส.ส.ที่ใกล้เคียงกัน งานนี้พรรคที่ได้ประโยชน์เต็มๆ เห็นจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะได้เลิกแพ้เพื่อไทยแบบขาดวิ่นสักที
จะมีปัญหาก็ตรงที่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญคงต้องไปสรรหาวิธีการป้องกันพวกนอมินีจากพรรคเพื่อไทย ที่จะกระจายกันไปตั้งพรรคเล็กพรรคน้อยขึ้นมา และกระบวนการกลั่นกรองเพื่อให้ได้คุณภาพ เพราะช่องโหว่เรื่องเฉลี่ยให้พรรคขนาดกลาง และพรรคขนาดเล็ก อาจทำให้ได้ตาสี ตาสา ที่ไม่มีคุณภาพขึ้นมาอีก
ขณะที่ข้อเสนอเรื่องการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีโดยตรง ที่นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ประธานคณะกรรมาธิการปฏิรูปด้านเมือง สปช. พ่นไอเดียออกมา การันตีเลยว่า เป็นหมันทั้งในสปช. และคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญแน่ เพราะกระแสสังคมปาก้อนอิฐให้มากกว่าดอกไม้ ขืนทะลึ่งตึงตังไม่ดูตาม้าตาเรือ ลักไก่ยกมือหนุนขึ้นมา งานนี้ตัวใครตัวมัน
วัตถุประสงค์ที่ คสช. เข้ามาทำรัฐประหารและปฏิรูปคือ ต้องการลดอำนาจรัฐที่เยอะเสียจนใช้ตามอำเภอใจเละเทะไปหมด และต้องการกระจายอำนาจหรือเพิ่มอำนาจให้ประชาชน แต่ข้อเสนอดังกล่าวกลับสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง เพราะเป็นการเพิ่มอำนาจให้กับนายกรัฐมนตรีมีอำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ในมือยาวถึง 4 ปี โดยแอบอ้างเสียงจากประชาชนที่เลือกเพื่อการอยู่รอด จะต่างอะไรจากการตีเช็กเปล่าให้ปรนเปรออำนาจนาน 4 ปีเต็ม
อีกจุดคือ ไม่สามารถแก้ปัญหาซื้อสิทธิ์ขายเสียงได้จริงอย่างที่ปากว่า เพราะเป็นระบบที่เปิดโอกาสให้มีนายทุนจ่ายตรงจากชาวบ้านเพื่อให้เลือกตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ต้องผ่านกระบวนการสลับซับซ้อนอะไร อีกอย่างเรื่องระบบไม่ใช่ปัญหาที่ทำให้ประเทศฉิบหาย แต่เป็นคน ดังนั้น การแก้คือ การสร้างระบบกลั่นกรองที่ดี
ไม่ใช่นายสมบัติไม่รู้ว่า ข้อเสนอตัวเองนั้นสุดโต่ง เพราะมันเป็นนวัตกรรมใหม่ของโลกเลยทีเดียว คนที่เป็นนักวิชาการผ่านร้อนผ่านหนาวมาไม่น่าบ้องตื้นถึงขนาดไม่รู้ว่า ประเทศไม่ใช่หนูทดลองที่ใครจะลองผิดลองถูกได้ แต่ที่นักวิชาการรายนี้ต้องชูโรงเรื่องดังกล่าวเอาไว้ เพราะมันเป็นแนวคิดหนึ่ง กปปส. เคยชูธงเอาไว้สมัยตั้งม็อบไล่ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อยู่กลางถนน ดังนั้น พอมีตำแหน่งหน้าที่ได้ดิบได้ดีในยุคคสช. จะทำเป็นอัลไซเมอร์ลืมคำสัญญาที่ให้ไว้กับมวลมหาประชาชนมันก็เหมือนวัวลืมตีนกันไปหน่อย จึงจำเป็นต้องเทกแอ็คชั่นให้เห็นว่าดิ้นรนต่อสู้ให้แล้ว
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้หลายสายตาก็คงต้องไปจับจ้องที่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังจะเริ่มนับหนึ่งเขียนกติกากันเป็นลายลักษณ์อักษรหลังช่วงปีใหม่ ทีนี้เขียนอะไรมาไม่ได้มโนแน่ ของจริงล้วนๆ จะเห็นหน้าเห็นหลังประเทศไทยในอนาคตก็คราวนี้ ส่วนพวกสปช.ก็หมดหน้าที่จัดทำกรอบรัฐธรรมนูญกันไป ต้องหันไปใส่ใจเรื่องการปฏิรูปประเทศแบบเป็นเนื้อเป็นหนัง เพราะไม่มีอะไรให้วอกแวกแล้ว
ยิ่งตอนนี้ไม่มีผลงานอะไรจับต้องได้นอกจากไอเดีย ยูโทเปีย แถมระยะเวลาที่เหลือมีอยู่อย่างน้อยนิด ต้องปั้นต้องเสกกันมาให้เห็นบ้างว่าตกลงเป็นพวกมีน้ำยาหรือแค่ราคาคุย
อย่าลืมกินเงินเดือนกันสูงหลายหมื่นบาท แถมยังมีเบี้ยประชุมให้ลาภปากกันอีกไม่รู้เท่าไหร่ จะตอบแทนความหวังจากประชาชนด้วยการมโนอย่างเดียวไม่ได้ มันเปลืองภาษี !!!