xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

คนลงสนามบินปี 51 ปล่อยข่าวอัปมงคลทุบหุ้น “ฯพณฯ ประยุทธ์” มีน้ำยามั๊ย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -สถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงอย่างแรง บวกกับ “กระแสข่าวลืออัปมงคล” แพร่หลายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยตลอดระยะเวลาเกือบ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะราคาหุ้นในกลุ่มพลังงาน และหุ้นขนาดใหญ่ ซึ่งมีน้ำหนักต่อการคำนวณดัชนีตลาดหุ้นไทย

ดัชนีตลาดหุ้นไทยเริ่มปรับตัวลดลงตั้งแต่เปิดทำการวันจันทร์ ที่ 8 ธ.ค.57 จนเมื่อเปิดการซื้อ-ขายวันจันทร์ที่ 15 ธ.ค. ดัชนีร่วงหนักอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงเวลา 15.00-15.30 น. ที่ดัชนีปรับลงแรงสุดถึง 138.96 จุด หรือลดลง 9.17 % เป็นดัชนีต่ำสุดของวันที่ 1,375.99 จุด ก่อนมีแรงซื้อเข้ามาทำให้ดัชนีปรับขึ้นอย่างรวดเร็วมาปิดที่ 1,478.49 จุด ลดลง 36.46 จุด หรือ 2.41 % ดัชนีสูงสุดของวันอยู่ที่ 1,494.10 จุด ส่วนมูลค่าซื้อขายปิดที่ 102,662 ล้านบาท ถือเป็นมูลค่าซื้อขายที่มากที่สุดในรอบ 21 เดือนตั้งแต่เดือนมีนาคม 2556

วิกฤติแบล็คมันเดย์ครั้งนี้ ส่งผลทำให้ 3 พี่น้องบูรพาพยัคฆ์คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ต้องนั่งถกเครียดเพื่อหาทางแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน

กระทั่งในที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์โดยประกาศชัดเจนว่า ได้สั่งการให้ มรว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง เข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งสั่ง “ล่าไอ้โม่ง” ตัวการสำคัญที่ “ปล่อยข่าว” ทุบหุ้นอย่างเร่งด่วน

ทว่า ประเด็นสำคัญที่ทำให้วิกฤตแบล็คมันเดย์ทวีความร้อนแรงมากขึ้นไปอีกก็คือการที่ พล.อ.ประยุทธ์ระบุว่าขบวนการปล่อยข่าวลือทำลายตลาดหุ้นมีสายสัมพันธ์อันดีกับคนที่ลงสนามบินเมื่อปี 2551

พลันที่คำว่า คนที่ลงสนามบินปี 2551 มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปล่อยข่าวลืออัปมงคลในการทุบหุ้น ถนนทุกสายก็มุ่งไปที่การตรวจสอบทันทีว่า ใครคือคนที่ลงสนามบินเมื่อปี 2551

แน่นอน คนๆ นั้นย่อมไม่ใช่ตาสีตาสา เพราะตาสีตาสาย่อมไม่สามารถปล่อยข่าวลืออัปมงคลทุบตลาดหุ้นได้

ทั้งนี้ เมื่อตรวจสอบข้อมูลพบว่า คนสำคัญที่ลงสนามบินในปี 2551 คนหนึ่งก็คืออดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” โดยกลับมาด้วยเที่ยวบินทีจี 603 เมื่อเวลา 09.45 น.ของวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 และเมื่อถึงประเทศไทยก็ได้ก้มลงจูบแผ่นดินทันที ซึ่งเป็นการกลับมาเพื่อต่อสู้คดีที่ดินรัชดาภิเษก

ดังนั้น จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า คนที่ลงสนามบินในปี 2551 ตามความหมายของ พล.อ.ประยุทธ์ก็คือนักโทษชายหนีคดีทักษิณ ชินวัตร หรือไม่ก็เป็นวงศ์วานว่านเครือที่มีสายสัมพันธ์ดีกับนักโทษชายหนีคดีทักษิณ ชินวัตร และเมื่อเป็นเช่นนั้น ถามว่า พล.อ.ประยุทธ์จะจัดการเรื่องนี้อย่างไร หรือจะปล่อยให้ลอยนวลเช่นนั้นต่อไปโดยไม่ทำอะไรให้เห็นเป็นรูปธรรม

ที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ นี่มิใช่การปล่อยข่าวลืออัปมงคลเพื่อทุบตลาดหุ้นไทยครั้งแรก เพราะหากยังจำกันได้เคยเหตุการณ์ในลักษณะนี้เมื่อปี 2552 มาแล้ว

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 14 ตุลาคม 2552 และวันที่ 15 ตุลาคม 2552

โดยช่วงเช้าวันที่ 14 ตุลาคม 2552 ก่อนตลาดหุ้นเปิด นักวิเคราะห์หลายสำนักเชื่อว่า หุ้นไทยน่าจะปรับตัวในแดนบวก ตามเพื่อนบ้านในภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากได้รับปัจจัยหนุนจากราคาน้ำมันที่ขยับขึ้น บวกกับค่าเงินดอลลา ร์สหรัฐที่อ่อนตัวลง เปิดตลาดช่วงเช้า ดัชนีก็ปรับตัวสูงอย่างที่มีการคาดการณ์กันไว้ ที่ 752.22 จุด ทว่า ผลจากการปล่อยข่าวลืออัปมงคลได้ส่งผลทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยก็ร่วงลงเรื่อยๆจนไปแตะระดับต่ำสุดที่ 714.39 จุด อย่างไรก็ตามดัชนีหุ้นไทยในวันที่14 ตุลาคม 2552 กลับเล็กน้อยก่อนจะมาปิดตลาดที่ 731.47 จุด เท่ากับว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยในวันนี้ ลดลง 15.20 จุด คิดเป็น 2.04% ด้วยมูลค่าซื้อขายสูงถึง 47,570.50 ล้านบาท

จากนั้นในวันที่ 15 ตุลาคม 2552 แรงเทขายของนักลงทุนประเภทสถาบัน ส่งผลให้หุ้นดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง จนตลาดลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถึงกับต้องแถลงวางแนวทางการแก้ปัญหาเป็นการด่วนว่า หากดัชนีลดลงถึงระดับ 10% ก็จะพักการซื้อขายชั่วคราวทันที พร้อมกับยืนยันเป็นครั้งแรกว่า ข่าวลืออัปมงคลนี้ บั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนเป็นอย่างมาก

การเคลื่อนไหวในวันที่15ตุลาคม แตะระดับต่ำสุดที่ 670.72 จุด ติดลบถึง 60.75 จุด หรือกว่า 8% ก่อนที่จะรีบาวนด์ กลับขึ้นมาปิดตลาดที่ระดับ692.72 จุด จนเกือบทำลายสถิติวอลุ่มการซื้อขายสูงสุดในรอบ 3 ปี ซึ่งหากรวมกับวันที่ 14 ต.ค. พบว่าดัชนีหุ้นมีการปรับตัวลดลงไปถึง 53.95 จุด มีวอลุ่มการซื้อขาย 2 วัน ถึง 101,344.4 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า4.2 แสนล้านบาท

สำหรับวิกฤตแบล็คมันเดย์ในปี 2557 นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. ถึงกับต้องตั้งโต๊ะแถลงข่าวทันทีที่ปิดตลาดฯ ว่า ตลท.ไม่พบความผิดปกติการส่งคำสั่งซื้อ-ขายหุ้นเมื่อวันที่ 15 ธ.ค. และ ไม่พบการจงใจที่จะสร้างความผิดปกติ หรือทุบหุ้น แม้ว่าจะมีการตั้งข้อสังเกตว่าตลาดหุ้นไทยดีดกลับอย่างรวดเร็วในช่วงท้ายตลาด หลังจากร่วงลงถึงเกือบ 140 จุด โดยตลท.มีทีมงานติดตามการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นทุกวัน

อย่างไรก็ตาม ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะขอติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด แต่ยังเห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตั้งกอง ทุนพยุงหุ้นแต่อย่างใด และขอให้นักลงทุนอย่าตื่นตระหนก กับการที่ดัชนีปรับตัวลดลง โดยขอให้นักลงทุนพิจารณาวางแผนการลงทุนระยะยาวในหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการที่ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงซึ่งมีอยู่หลายกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น กลุ่มสายการบิน และมองว่าการที่ราคาน้ำมันลดลงจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทย ไม่ให้มีแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อ และจะส่งผลดีต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนในปีหน้าให้มีการขยายตัว

แต่แรงขายหุ้นยังคงทะลักข้ามมาถึงวันที่ 16 ธ.ค. โดยเปิดการซื้อขายภาคเช้า เวลา 10.00 น. ร่วงลงทันที 44.78 จุด มาอยู่ที่ระดับดัชนี 1,478.49 จุด หลังจากนั้นดัชนีผันผวนและลงไปทำจุดต่ำสุดของวันในช่วงเวลา 11.00 น. ก่อนจะดีดกลับขึ้นมา และมาปิดที่ระดับ 1,461.74 จุด ลดลง 16.75 จุด ลบ 1.13% โดย มูลค่าการซื้อขาย 75,869.17 ล้านบาท

ตลอดระยะเวลา 6 วันทำการที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวผันผวนอย่างรุนแรงตามกระแสข่าวลือ โดยรวมแล้วปรับตัวลง 82 จุด เป็นเครื่องเตือนใจนักลงทุนได้เป็นอย่างดีว่า การลงทุนตลาดหุ้นมีความเสี่ยงสูงมาก เพราะมีความอ่อนไหวต่อข้อมูลข่าวสาร เมื่อมีเรื่องใดก็ตามกระทบเชิงจิตวิทยา นักลงทุนมักตื่นตระหนกเทขายหุ้นทันทีโดยไม่มีการตรวจสอบข่าวดังกล่าว ผู้ที่คิดจะเข้ามาลงทุนพึงตระหนักและต้องพร้อมที่จะเจอสภาพความเสียหายอันอาจเกิดขึ้น ยิ่งกว่านั้นคือการป้องกันนั้นไม่มีสูตรสำเร็จ แต่การศึกษาข้อมูล ปัจจัยพื้นฐานต่างๆ ประกอบการลงทุน มีหูตากว้างไกล อาจช่วยลดความเสียหายได้

และนั่นเป็นที่มาของความเดือดดาลของ พล.อ.ประยุทธ์ และเป็นต้นสายปลายเหตุของคำพูดที่กลายเป็นประเด็นร้อนในเวลาต่อมาว่า “ก็ไปตามมา มันมีหลายคน ก็เอาพฤติกรรมตั้งแต่ปี 2551 ก็มีแบบนี้ พวกที่ลงสนามบินอะ”

และนั่นเป็นที่มาของการแถลงข่าวโดย พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกรัฐบาล กล่าวถึงรายการ Thaivoicemedia โดย นายจอม เพชรประดับ ได้สัมภาษณ์ นายจักรภพ เพ็ญแข ผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ที่มีความยาว 48.55 นาที ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ข่าวลือไม่เป็นมงคลและทำให้ตลาดหุ้นตก ว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว ทุกคนและทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องก็ชี้แจง พี่น้องประชาชนและนักลงทุนทั้งหลายก็ต้องเชื่อมั่นในข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานราชการ

“ผู้ที่เขาเคยมีประวัติเป็นที่รับทราบกันอยู่แล้วว่า แอบอิงกับกลุ่มการเมืองก็อย่าไปเชื่อเขา เชื่อว่าวันนี้สถานการณ์น่าจะดูดีขึ้น เมื่อวานหลังจากผู้ที่เกี่ยวข้องได้ให้ข้อมูลแล้วว่าไม่เป็นความจริง ทุกสิ่งทุกอย่างยังปกติอยู่ มันเป็นเพียงกลไกของตลาด ประกอบกับความตื่นตระหนก มันก็เลยทำให้เป็นแบบนั้น แต่ในช่วงท้ายมันก็ดีดตัวขึ้น ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ทุกคนได้ประสบการณ์ ว่าเราต้องเชื่อมั่นในข้อมูลข่าวสารของทางราชการ อย่าเพิ่งตื่นตระหนกไปกับข้อมูลที่ไม่จริง” พล.ต.สรรเสริญ กล่าว

แปลไทยเป็นไทยก็คือ รัฐบาลรู้ พล.อ.ประยุทธ์รู้ว่า ขบวนการปล่อยข่าวลือทุบตลาดหุ้นเพื่อทำลายสถาบันคือใคร เพราะถ้าไม่รู้คงไม่พูด แต่คำถามก็คือที่ผ่านมารัฐบาลได้เคยดำเนินการใดๆ บ้างหรือไม่เพื่อจัดการกับคนกลุ่มนี้พวกนี้

และจะมี “ไอ้โม่ง” คนใดบ้างหรือไม่ต้องถูกจับกุมดำเนินคดี

และถ้ามีการจับกุมได้จริง จะสามารถสืบสาวโยงใยไปถึงตัวการใหญ่ที่บงการอยู่เบื้องหลังหรือไม่

นี่คือสิ่งที่ประชาชนอยากรู้ใจจะขาด ยิ่งเป็นข่าวลืออัปมงคลเกี่ยวกับสถาบันด้วยแล้ว ยิ่งปรารถนาให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ลากคอมาลงโทษให้สาสมกับความผิดที่ได้ก่อขึ้น

ทว่า เมื่อพิจารณาการทำงานของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สิ่งที่สังคมได้เห็นก็คือ วันนี้ รัฐบาลยังคงบริหารงานด้วยบริบทเดิมๆ ด้วยคาถาเดิมๆ คือเพื่อความปรองดอง มิได้เคยเร่งรัดจัดการกับกลุ่มก๊วนหรือเครือข่ายที่สร้างปัญหาให้กับประเทศชาติ มิหนำซ้ำยังห้ามวิพากษ์วิจารณ์ ห้ามพาดพิงระบอบทักษิณอันเป็นต้นตอของปัญหาทั้งหลายทั้งปวงอีกต่างหาก

การถอดยศ การริบหนังสือเดินทาง ไม่เคยปรากฏว่าจะดำเนินการให้เห็น

นับตั้งแต่มีการรัฐประหารและมีการจัดตั้งรัฐบาล ทุกคนตั้งความหวังไว้สูงลิบว่า พล.อ.ประยุทธ์ต้องเป็นอัศวินม้าข้าว เข้ามาจัดการกับนักการเมืองและข้าราชการที่สมคบกันทุจริต จนฐานะการเงินการคลังของประเทศใกล้เข้าจุดเสี่ยง จนขั้นล้มละลาย แต่วันนี้ก็ยังไม่เห็นอะไรที่จับต้องเป็นรูปธรรมได้ มีเพียงพิธีกรรมที่ทำให้เชื่อว่าน่าจะดีเท่านั้น

หรือเป็นเพราะ พล.อ.ประยุทธ์ยังคงยึดมั่นในคาถาประจำใจดังที่ประกาศไว้ในการทำรัฐประหารว่า เข้ามาเพื่อป้องกันมิได้เกิดเหตุการณ์จลาจลขึ้นไปในประเทศ เข้ามาเพื่อป้องกันมิให้ทั้งสองฝ่ายทะเลาะกัน…เพียงเท่านั้น


กำลังโหลดความคิดเห็น