ผ่าประเด็นร้อน
อาจเป็นเพราะอารมณ์หงุดหงิดกับข่าวร้ายประดังเข้ามาในช่วงท้ายปี โดยเฉพาะกับขบวนการปล่อยข่าวลืออัปมงคล เพื่อหวังทุบหุ้นแล้วเข้าไปซ้อนซื้อราคาถูกทำกำไร รวมไปถึงหวังร้ายสร้างความปั่นป่วนในบ้านเมืองตามมาหรือเปล่า จนทำให้ นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถึงกับเดือดดาลโพล่งออกมาว่า
“ก็ไปตามมา มันมีหลายคน ก็เอาพฤติกรรมตั้งแต่ปี 2551 ก็มีแบบนี้ พวกที่ลงสนามบินอะ”
อย่างไรก็ตาม หากย้อนกลับไปสืบค้นข้อมูลก็จะรู้ว่าสำหรับผู้ที่ลงสนามบินเมื่อปี 2551 ซึ่งเป็นที่ฮือฮามากที่สุด คือ กรณี ทักษิณ ชินวัตร เดินทางกลับประเทศไทย ด้วยเที่ยวบินทีจี 603 เมื่อเวลา 09.45 น. วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 เมื่อถึงประเทศได้ก้มลงจูบแผ่นดินทันที โดยการเดินทางกลับมาครั้งนี้เพื่อมาสู้คดีที่ดินรัชดาภิเษก หลังออกจากประเทศไทย เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2549 และถูกรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 โดยหลังจากวางหลักทรัพย์ประกันตัวมาสู้คดีแล้ว ในวันที่ 31 กรกฎาคม เขาได้ขออนุญาตศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเดินทางออกนอกประเทศไปเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2551 โดยอ้างว่าจะเดินทางไปชมมหกรรมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเกมส์ ที่กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน และสัญญาว่าจะกลับเข้าประเทศในวันที่ 11 สิงหาคม 2551 แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้กลับไทยอีกเลย
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังกล่าวว่า “ก็รู้ๆ อยู่ว่ามีข่าวลือโน่นนี่ ลือพระอาการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่เมื่อมีแถลงการณ์ออกมาแล้วก็จบ พวกนี้ลือส่งเดช มันไม่ได้ วันนี้ประเทศชาติเดินอยู่ รัฐบาลทำหลายๆ อย่าง ของขวัญปีใหม่แต่ละกระทรวงก็มีออกมาเพื่อคืนความสุขให้ประชาชน ขณะเดียวกัน กฎหมายหลายร้อยฉบับที่ออกไปและอยู่ในกระบวนการ สิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดความยั่งยืนในวันหน้า วันนี้หลายอย่างที่รัฐบาลทำโดยเฉพาะโครงสร้างพลังงาน ยอมรับว่าเจ็บตัว มีใครกล้าทำบ้าง แต่ต้องกล้าทำเจ็บตัวก็ต้องยอม”
“ผมทำมากกว่าไอ้รัฐบาลบ้าพวกนั้นอีกจะบอกให้ ผมรู้มากกว่าที่เขารู้อีก ผมไม่โง่ขนาดนั้นหรอก ความยากง่ายคือการทำสุจริตมันยาก เข้าใจหรือเปล่า เพราะทุกคนมีความโลภ คำว่ามนุษย์เป็นอย่างนี้หมด หรือใครไม่อยากได้สตางค์ มานั่งตากแดดอยู่นี่ มาฟังเสียงผมพูดดังอยู่เนี่ย วันนี้ผมไม่รับผิดชอบเหรอ ผมรับผิดชอบนะ”
นั่นเป็นคำพูดที่พรั่งพรูออกมาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อถูกถามจี้ใจดำว่ารัฐบาลนี้เป็นทหารไม่ชำนาญเรื่องเศรษฐกิจจึงถูกลองของหรือเปล่า
อย่างไรก็ดี เพื่อให้เห็นภาพรวมๆ มากไปกว่านี้ว่านี่คือ “ขบวนการปล่อยข่าวลือทุบหุ้นทำลายสถาบัน” ก็ต้องฟังการแถลงของ พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกรัฐบาล กล่าวถึงรายการ Thaivoicemedia โดย นายจอม เพชรประดับ ได้สัมภาษณ์ นายจักรภพ เพ็ญแข ผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ที่มีความยาว 48.55 นาที ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ข่าวลือไม่เป็นมงคลและทำให้ตลาดหุ้นตก ว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว ทุกคนและทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องก็ชี้แจง พี่น้องประชาชนและนักลงทุนทั้งหลายก็ต้องเชื่อมั่นในข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานราชการ
“ผู้ที่เขาเคยมีประวัติเป็นที่รับทราบกันอยู่แล้วว่า แอบอิงกับกลุ่มการเมืองก็อย่าไปเชื่อเขา เชื่อว่าวันนี้สถานการณ์น่าจะดูดีขึ้น เมื่อวานหลังจากผู้ที่เกี่ยวข้องได้ให้ข้อมูลแล้วว่าไม่เป็นความจริง ทุกสิ่งทุกอย่างยังปกติอยู่ มันเป็นเพียงกลไกของตลาด ประกอบกับความตื่นตระหนก มันก็เลยทำให้เป็นแบบนั้น แต่ในช่วงท้ายมันก็ดีดตัวขึ้น ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ทุกคนได้ประสบการณ์ ว่าเราต้องเชื่อมั่นในข้อมูลข่าวสารของทางราชการ อย่าเพิ่งตื่นตระหนกไปกับข้อมูลที่ไม่จริง” พล.ต.สรรเสริญ กล่าว
สรุปความเท่าที่เห็นก็ต้องบอกว่าคนที่อยู่เบื้องหลัง การทุบหุ้นปั่นหุ้น ก็คือ “คนที่ลงสนามบินเมื่อปี 51” ซึ่งก็คือ ทักษิณ ชินวัตร นั่นแหละ และ “ไอ้รัฐบาลบ้า” ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สบถออกมา หากให้คาดเดาก็น่าจะเป็นรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อีกนั่นแหละ รวมถึงบุคคลที่เป็นเครือข่าย เช่น จักรภพ เพ็ญแข และ จอม เพชรประดับ ที่ปล่อยข่าวในโลกโซเชี่ยลฯ คนพวกนี้เป็นพวกเดียวกัน รวมไปถึงพวกที่หมิ่นสถาบันฯคนอื่นๆ ก็เคลื่อนไหวด้วยกันมา รวมไปถึงคนในรัฐบาลตั้งแต่ในพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน ต่อเนื่องมาจนถึงพรรคเพื่อไทย และคนพวกนี้สร้างความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวกว่า 5-6 แสนล้านบาท ต้องใช้หนี้กันจนชั่วลูกชั่วหลาน มีการออกกฎหมายลบล้างความผิดให้คนโกง จนชาวบ้านทนไม่ไหวต้องรวมพลังกันนับล้านๆ ออกมาขับไล่ แต่รัฐบาลทรราชย์พวกนี้ไม่ยอมกลับใช้อันธพาลการเมืองใช้อาวุธสงครามออกมาก่อกวนทำร้าย จนเป็นสาเหตุให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องออกมาในนามคณะรักษาความสงบแห่งชาติ แต่อ้างว่า “เป็นเพราะสาเหตุประชาชนขัดแย้งกัน ทะเลาะกัน”
ทั้งที่ในความเป็นจริงสาเหตุของปัญหาบ้านเมืองทุกเรื่องมาจากคนพวกนี้ทั้งสิ้น แต่กลายเป็นว่าที่ผ่านมา คสช. และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกคำสั่งห้ามพูด ห้ามวิจารณ์ ห้ามพาดพิงระบอบทักษิณ อ้างว่าเป็นการฟื้นฝอยหาตะเข็บ สร้างปัญหาความขัดแย้ง ต้องการให้บ้านเมืองเดินหน้า ลักษณะออกมาในทางปรองดองเสียด้วยซ้ำ เพราะหากดำเนินการไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดก็สามารถดำเนินการได้อยู่แล้ว เช่นการถอดยศ ริบหนังสือเดินทาง สอบสวนคนที่ไปพบ นักโทษหนีคดีอย่าง ทักษิณ ชินวัตร ในต่างประเทศ ฐานรู้แหล่งกบดานซ่อนเร้นบุคคลที่หลบหนีหมายจับ แต่นี่กลับเฉย
มาถึงวันนี้ก็ได้เห็นฤทธิ์เดช ว่าเครือข่าย ทักษิณ ชินวัตร กำลังจะสร้างแรงสั่นสะเทือนกับรัฐบาลของตัวเอง จึงตาลีตาเหลือกออกมาทำขึงขังจะจัดการอย่างโน้นอย่างนี้ ทั้งที่คนพวกนี้แหละคือปัญหามาตั้งแต่ต้น ไม่ใช่ปัญหามาจาก “ชาวบ้านขัดแย้งกันหรือทะเลาะกัน” เพราะถ้าถามว่า มีชาวบ้านพวกไหนที่ทำผิด ม.112 ชาวบ้านกลุ่มไหนที่ใช้อาวุธสงครามไปถล่มรังควานคนที่เขาชุมนุมใช้สิทธิ์ทางการเมือง หรือมีตำรวจพวกไหนที่ใช้ความรุนแรงกับประชาชน และถามว่ากรณี “ขอนแก่นโมเดล” นั้นมันพวกไหน ดังนั้น บางทีมันก็น่าหัวร่อเมื่อได้เห็นท่าทีและอาการล่าสุดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีต่อ ทักษิณ ชินวัตร และ “รัฐบาลบ้า” ดังกล่าว รวมทั้งคำพูดยืนยันล่าสุดของ รองนายกฯด้านความมั่นคง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ย้ำว่าที่ผ่านมารัฐบาลได้ติดตามจับกุม ทักษิณ มาตลอด แต่มีช่องโหว่ด้านกฎหมายจึงยาก แต่ที่ชาวบ้านข้องใจก็คือนั่นเป็นเรื่องระหว่างประเทศอาจจะยาก แต่เรื่องถอดยศ ริบหนังสือเดินทาง มีอำนาจทำได้ ทำไมถึงไม่ทำหือ !!