xs
xsm
sm
md
lg

จับตา‘ไอ้โม่ง’ทุบหุ้นดัชนีผันผวนรูดอีก16จุด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTV ผู้จัดการรายวัน -ตลาดหุ้นไทยร่วงต่อเนื่องจากแรงบังคับขาย ดัชนีรูดเกือบ 50 จุด ก่อนจะกระเตื้องเล็กน้อย แต่ไม่สามารถขึ้นมายืนเหนือแดนบวก ปิดการซื้อขายที่ 1,461.74 จุด ติดลบ 16.75 จุด มูลค่าซื้อขายเกือบ 7.6 หมื่นล้าน “สมหมาย” สั่งก.ล.ต.จับตา “ไอ้โม่ง” ปล่อยข่าวมั่วทุบตลาดหุ้น ด้านนายกฯ เผยยังไม่พบการปั่นหุ้น เตือนนักลงทุนอย่าโง่หลงเชื่อข่าวลือ ขณะที่นักวิเคราะห์ยืนยันดัชนีพ้นจุดต่ำสุดแล้ว

บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (16 ธ.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงแรงต่อเนื่องจากวันก่อนหน้า แม้ในบางจะมีแรงซื้อเข้ามาทำให้ดัชนีตลาดหุ้นกระเตื้องขึ้นเกือบจะแตะระดับเดียวกับราคาปิดครั้งก่อน โดยจุดต่ำสุดอยู่ที่ 1,422.63 จุด สูงสุด 1,476.34 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 1,461.74 จุด ลดลง 16.75 จุด หรือคิดเป็น 1.13% มูลค่าการซื้อขายรวม 75,869.17 ล้านบาท

ทั้งนี้ นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 5,671.52 ล้านบาท บริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 2,707.38 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 8,374.38 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 5,410.24 ล้านบาท

สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บมจ.ปตท. (PTT) ราคาปิดที่ 303 บาท ลดลง 11 บาท หรือคิดเป็น 3.50% มูลค่าการซื้อขาย 6,513.37 ล้านบาท บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) ปิดที่ 11.50 บาท ลดลง 0.10 บาท หรือ 0.86% มูลค่าการซื้อขาย 5,385.26 ล้านบาท และธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ปิดที่ 228 บาท ลดลง 10 บาท หรือ 4.20% มูลค่าการซื้อขาย 4,744.44 ล้านบาท

  รมว.คลังสั่งจับ “ไอ้โม่ง”

นายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ได้สั่งการให้คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ติดตามกรณีมีผู้ปล่อยข่าวลือเพื่อหวังหาประโยชน์จากภาวะตลาดหลักทรัพย์ พร้อมย้ำถึงสาเหตุที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ว่า ปัจจัยหลักมาจากปัจจัยภายนอกประเทศ ขณะที่ปัจจัยภายในเศรษฐกิจในประเทศยังคงแข็งแกร่ง

"ไม่เห็นมีปัจจัยภายในประเทศที่ทำให้หุ้นตก แต่เวลาตกเราก็เคยเห็นนะ ประวัติศาสตร์มันมี แต่ปีนี้มันมาตกปลายปี ทำให้ดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ คิดว่าตกแล้วเว้นระยะสักช่วงหนึ่งก็ต้องขึ้น แต่ตอนนี้น้ำมันก็ยังตกอยู่เรื่อยๆ ยอมรับว่ามีขบวนการปล่อยข่าวลือที่ไม่มีมูลความจริงเข้ามากดดันเพิ่มเติมด้วย พวกนี้ผมเชื่อว่ามีไอ้โม่ง พอได้จังหวะก็ทำ และกวาดหุ้นกันไป แต่ยังไม่รู้ว่ากลุ่มใหญ่หรือไม่ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็ได้สั่งการให้ระมัดระวังและประชาสัมพันธ์ให้ดี" นายสมหมาย กล่าว

 นายกฯ เผยยังไม่พบปั่นหุ้น เตือนอย่า"โง่"หลงเชื่อข่าวลือในโลกโซเชียลฯ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึง กรณีที่ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงค่อนข้างแรง ว่า ยังไม่ได้รับรายงานเรื่องการปั่นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมเตือนนักลงทุนอย่าหลงเชื่อข่าวลือในโซเชียลมีเดีย รวมถึงเรื่องการยกเลิกพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งไม่มีมูลความจริง ดังนั้นนักลงทุนต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงและรายงานจากทางการก่อน

ส่วนประเด็นที่มีการตั้งข้องสังเกตมี "ไอ้โม่ง" ปล่อยข่าวปั่นหุ้น นั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขณะนี้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างการติดตามข้อมูลว่ามีขบวนการปล่อยข่าวลือเพื่อทุบหุ้นหรือไม่ เพราะในอดีตเคยพบหลายคนที่มีพฤติกรรมดังกล่าวตั้งแต่ปี 2551 ที่ปล่อยข่าวตั้งแต่ลงเครื่องบินมา แต่ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานเรื่องการปั่นหุ้น

  ฟอร์ซเซลซ้ำเติมตลาดหุ้นไทย

นายศราวุธ เตโชชวลิต ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.อาร์เอชเค โอเอสเค(ประเทศไทย) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยเปิดตลาดช่วงเช้าร่วงไปกว่า 30 จุด และไหลลงลึกเกือบ 50 จุด เนื่องจากในช่วง 15 นาทีแรกมีแรงฟอร์ซเซลกดดันให้ดัชนีปรับตัวลง ก่อนจะปรับตัวขึ้นมาได้บ้าง แต่มีลักษณะผันผวนอยู่ในแดบลบจนกระทั้งปิดตลาดซื้อขาย

 นักวิเคราะห์ระบุดัชนีพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว

นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเชียพลัส กล่าวว่า การที่ดัชนีลงไปทำ Low ลึกเมื่อวันที่ 15 ธ.ค.ที่ผ่านมา ทำให้เชื่อว่าแรงขายที่กดดันตลาดน่าจะเกือบหมดแล้ว ดังนั้นระยะต่อไปยังมีโอกาสเห็นดัชนีฟื้นตัวต่อเนื่อง ซึ่งน่าจะกลับไปทดสอบได้ที่แนวต้าน 1,516 จุด ทั้งนี้ ถ้ายังไม่ผ่านแนวนี้ คาดว่าดัชนียังมีโอกาสซึมลงมาอีกครั้ง แต่จะไม่ทำ Low ลึกไปกว่า 1,375 จุดอีกแล้ว

อย่างไรก็ตามการที่ราคาน้ำมันปรับตัวลงส่งผลดีต่อภาพวะเงินเฟ้อทั่วโลกให้ต่ำลง ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงไทย เพราะหมายถึงต้นทุนพลังงาน การผลิต และขนส่งที่ปรับตัวลดลง ทำให้อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลงในช่วงที่เหลือของปีนี้และต่อเนื่องถึงปีหน้า แต่อีกด้านหนึ่งก็ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไร

ของตลาดหุ้น เพราะหุ้นพลังงานมีมูลค่าตลาดมากสุด โดยสัดส่วนราว 15.6% ของมูลค่าตลาดรวม “ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่องกระทบ ตั้งแต่ราคาขายปิโตรเลี่ยม บันทึกขาดทุนจาก สต๊อกน้ำมันดิบ และการด้อยค่าของเงินลงทุน กล่าวคือ การลดลงของราคาปิโตรเลี่ยม จะกดดันต่อสมมติฐาน ราคาน้ำมันดิบในระยะยาว นับตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นไป” นายประกิต

เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.นักวิเคราะห์พลังงานของ ASP ได้ตัดลดประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทั้งปี 2558 ลงราว 3.29 หมื่นล้านบาท จากหุ้น PTT, PTTEP ภายใต้การปรับลดสมมติฐานราคาน้ำมันลงจากเดิม 90 เหรียญฯ เหลือ 75 เหรียญฯ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบที่ลดลง จะส่งผลให้ต้องรับรู้ผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน ในงวด 4Q57 ของโรงกลั่นทุกแห่งทั้ง TOP, PTTGC, BCP, IRPC และ PTT

ดังนั้นยังแนะนำให้เลือกหุ้นเป็นรายตัว เน้นหุ้น P/E ต่ำ และเงินปันผลสูง โดยอาจแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลักคือ 1. หุ้นที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับลดลง ที่ชัดเจนที่สุดคือกลุ่มขนส่งทางอากาศ และ ขนทางทางเรือ โดยในส่วนของกลุ่มขนส่งทางอากาศเด่นคือ AAV, RCL, และ TASCO 

  ฟิทซ์ เรทติ้งส์ ไม่หั่นเครดิตหุ้นกลุ่มน้ำมัน

นายเลิศชัย กอเจริญรัตนกุล หัวหน้าฝ่ายจัดอันดับเครดิต บริษัท ฟิทซ์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า จากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกลุ่มธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติทั้งต้นน้ำและปลายน้ำ ซึ่งจะทำให้ผลประกอบการและกระแสเงิดสดให้ปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมัน ณ ขณะนี้ ฟิทซ์ เรทติ้งส์ ยังไม่มีแนวโน้มที่จะปรับลดอันดับเครดิตของหุ้น บริษัท ปตท. ในอีก 2 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันที่มีอันดับเครดิตที่ระดับBBB+ ของอันดับเครดิตสากลระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ และระดับ A- ของอันดับเครดิตสากลระยะยาวสกุลเงินในประเทศ โดยแนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ

เนื่องจาก ปตท.มีฐานะทางการเงินที่เเข็งแกร่งรองรับกับความผันผวนจากการขาดทุนสต็อกน้ำมันได้ พร้อมกับยังสามารถยืดหยุ่นแผนการลงทุนได้อย่างคล่องตัว ทำให้อัตราหนี้สินที่จะเกิดขึ้น จึงมีแนวโน้มไม่สูงมากจนต้องน่ากังวล

ขณะที่บริษัทลูกในกลุ่มเครือ ปตท. อย่าง บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) และ บมจ.ไทยออยส์ (TOP) ก็ยังมีฐานะทางการเงินที่เเข็งแกร่งเช่นเดียวกัน ทำให้รับมือกับราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงได้ ทำให้ยังไม่มีแนวโน้มปรับลดเครดิตจากปัจจุบันมีแนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ

แต่ในส่วนของเครดิต บมจ. ไออาร์พีซี และ บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) ยังคงเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เพราะอัตราหนี้สินยังสูงเมื่อเทียบกับเงินสด ซึ่งอาจจะมีผลกระทบการผลการดำเนินงานได้ในอนาคต ซึ่งปัจจุบันเครดิตทั้ง2 บริษัทนี้ยังอยู่ในเชิงลบ
กำลังโหลดความคิดเห็น