“ประยุทธ์” ย้ำจุดยืนรัฐบาล ไม่ตามใจเกษตรกร เลิกหว่านเงินอุดหนุน "ยาง-ข้าว" หวังแก้ปัญหาระยะยาว วอนชาวสวนยางอดทน-ปรับพฤติกรรม ด้านตัวแทนชาวสวนยาง 36 องค์กรขอ กก.ละ 60 บาท ส่วนต่างให้รัฐชดเชย “บิ๊กตู่” นั่งหัวโต๊ะเคาะลดราคาน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ 2 บาทต่อลิตร อี 85 ลด 20 สตางค์ต่อลิตร ดีเซลลง 1 บาท มีผลวันนี้ หลังน้ำมันโลกดิ่ง จ่อโยกเงินกองทุนน้ำมันฯโปะคืนภาษีฯดีเซลชง ครม. หวังคลังมีรายได้เพิ่มเกือบ 4 พันล้านบาท ด้านเรกูเลเตอร์ยันลดค่าไฟรับปีใหม่แน่แต่ตัวเลขเท่าใดลุ้น 23 ธ.ค.
วานนี้ (15 ธ.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า การเดินทางลงพื้นที่ จ.พังงา เพื่อร่วมงานรำลึก 10 ปี เหตุการณ์สึนามิ ในวันที่ 26 ธ.ค.และจะพบกับเกษตรกรชาวสวนยางว่า เป็นภารกิจร่วมงานรำลึกเหตุการณ์สึนามิ แต่ถ้ามีโอกาสก็จะพบกับชาวสวนยางด้วย ตอนนี้ทุกคนเดินหน้า รัฐบาลกำลังทำทุกอย่างที่ไม่เคยมีรัฐบาลไหนทำมาก่อน ซึ่งหมายความว่า เราไม่ได้ตามใจทุกเรื่อง อะไรที่ช่วยได้ก็ช่วย แต่เมื่อราคายางในบ้านเราเกินราคาตลาดโลกสองถึงสามเท่า แล้วจะไปขายใครได้ ทั้งนี้เราต้องดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียคนอื่นๆด้วย ไม่ว่าจะเป็นข้าว หรือยาง และเดี๋ยวต้องมีปัญหาอื่นมาอีก รัฐบาลจะเอาเงินที่ไหน จึงต้องมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ให้เกิดการค้าการลงทุนมากขึ้น ซึ่งต้องใช้เวลา
“ทุกอย่างพันกันหมด หากรัฐบาลใช้เงินตรงนี้มากเกินไป จะเอาเงินที่ไหนมาพัฒนาประเทศ ในต่างประเทศที่เคยอุดหนุนราคาผลผลิต แม้แต่ประเทศที่ผลิตน้ำมันจำนวนมากยังต้องเลิก” พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ
หยอดห่วงใยชาวสวนยาง
ผู้สื่อข่าวถามว่า มั่นใจหรือไม่ว่าก่อนสิ้นปีราคายางพาราจะเป็นไปตามที่ชาวสวนยางเรียกร้อง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เป็นไปไม่ได้ ตลาดข้างนอกราคาอยู่ที่ 50-60 บาท แต่ชาวสวนยางขอ 80 บาท ส่วนที่ขอลดลงมาเป็นราคา 60 บาท เราพยายามทำอยู่ ขณะนี้กำลังเจรจา พยายามจะยกระดับให้สูงขึ้นอยู่ โดยรัฐบาลเอาเงินออกไปให้สหกรณ์ซื้อเก็บไว้ ถ้าพอใจราคาค่อยขาย เราไม่สามารถเอาเงินไปซื้อมาเก็บได้อีกแล้ว ที่ผ่านมาก็ได้เก็บไว้มากแล้ว ทั้งข้าวทั้งยาง ทำให้เสียค่าเช่าคลังจำนวนมากแล้ว
“ถ้าตามใจกันทุกอย่าง มันไม่ได้ ต้องช่วยกัน วันนี้ประเทศ ไทยกำลังเปลี่ยนแปลงเพื่อความยั่งยืนในอนาคต ถ้ายังแก้ปัญหาแบบนี้ จะเป็นปัญหาแบบนี้ไปตลอด แล้ววันหน้าจะเอาเงินที่ไหนไปพัฒนาถนนหนทางวันนี้งบประมาณที่ใช้จ่ายอยู่ขณะนี้ งบการลงทุนต้องต่ำลง เพราะหนี้สาธารณะยังมีอยู่ ซึ่งเกิดจากการที่รัฐบาลกู้เงินมาอุดหนุน ทั้ง เรื่องข้าว ทั้งยาง และยังต้องจ่ายดอกเบี้ยอยู่ทุกเดือน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
เมื่อถามว่า จะทำอย่างไรให้ชาวสวนยางรู้สึกว่าไม่ได้ถูกทอดทิ้ง นายกฯ นำมือทุบไปที่หน้าอกด้านซ้าย พร้อมกับกล่าวว่า
“ส่งหัวใจให้เขา ผมไปทอดทิ้งตรงไหน เป็นห่วงเป็นใยตลอด ตั้งแต่ก่อนยึดอำนาจ คิดถึงพวกเขาอยู่ ที่ทำเพราะคิดถึงพวกเขา และเมื่อพูดถึงเรื่องส่งหัวใจ ต้องมีน้ำเสียงดุหน่อย ก็มันคือหัวใจผม พอส่งไป หัวใจผมก็เล็กลง”
แนะเกษตรปรับตัวเองบ้าง
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า รัฐบาลต้องแก้ปัญหาระยะยาวโดยการชักชวนให้นักลงทุนมาตั้งโรงงานขนาดใหญ่แปรรูปยาง โดยวันหน้าเราจะส่งออกยางให้มากที่สุดในโลก เพราะมีวัตถุดิบมากอยู่แล้ว เหตุใดนักลงทุนยังไม่ตั้งโรงงานแปรรูปยางขนาดใหญ่ในเมืองไทย ต้องไปถามรัฐบาลเก่าๆดู ที่เป็นแบบนี้เพราะไม่มีการแก้ทั้งระบบ แต่พอเราทำ ก็มีการต่อต้าน พอต่อต้านเดี๋ยวก็ต้องใช้อำนาจ ดังนั้นต้องเอาหัวใจมาให้กัน วันนี้ชาวสวนยางต้องอดทนไประยะหนึ่ง ต้องปรับเปลี่ยนตัวเองบ้าง ต้องดูว่า ต้นทุนสูงเพราะอะไร
“ต้องปรับพฤติกรรมตัวเองบ้าง จึงบอกให้ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง คือ ต้องมีเหตุผลพอประมาณ ตอนนี้ถ้ามีปัญหาอุปสรรคก็ชะลอไว้ พอยางราคาสูงขึ้น ก็ปรับใหม่ พอผมพูดอย่างนี้ ก็โกรธอีก วันนี้ผมเป็นห่วงชาวสวนยาง” นายกฯระบุ
36 องค์กรขอ 60 บาทต่อ กก.
วันเดียวกัน ที่ศาลากลางจังหวัดสุราษฎร์ธานี นายมนูญ อุปลา ประธานเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางพาราสุราษฎร์ธานี พร้อมตัวแทนองค์กรชาวสวนยางจาก 36 องค์กรจำนวนหนึ่ง เข้ายื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ผ่านทางนายอวยชัย อินทร์นาค รองผู้ว่าราชการจังหวัด สุราษฎร์ธานี และ พ.อ.ทวี เกิดสมบูรณ์ รองผู้บังคับการจังหวัดทหารบก จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อเรียกร้องให้แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวสวนยาง โดยมีข้อเสนอ 3 ข้อ คือ 1.ให้รัฐชดเชยราคายางพาราให้ได้ราคากิโลกรัมละ 60 บาท 2.ขอให้รัฐดำเนินการโดยทันที โดยใช้งบกลาง ของรัฐบาล และ 3.ให้สถาบันเกษตรกรเป็นผู้รวบรวมยางพาราจากเกษตรกรชาวสวนยาง แล้วขายส่งให้กับผู้ประกอบการยางพาราในแต่ละพื้นที่
ด้าน นายอวยชัย อินทร์นาค รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ในฐานะตัวแทนผู้ว่าราชการจังหวัดเข้ารับหนังสือจากตัวแทนเกษตรกร และรับปากเร่งดำเนินการส่งหนังสือต่อไปให้ถึงนายกรัฐมนตรี ให้เร็วที่สุด เข้าใจดีถึงปัญหาของเกษตรกรชาวสวนยาง เพราะตนเองก็มาจากครอบครัวชาวสวนยาง
หลังจากนั้นตัวแทนเกษตรกร ได้แยกย้ายกันกลับ เพื่อรอฟังคำตอบ และแนวทางช่วยเหลือจากรัฐบาลต่อไป
คืนความสุขลดน้ำมัน1-2 บ.
วันเดียวกัน ที่ทำเนียบรัฐบาล ได้มีการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) โดย พล.อ.ประยุทธ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมว่า ที่ประชุม กพช.ได้พิจารณากรอบแนวทางการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันภาพรวมและเบื้องต้นมีการปรับลดอัตรานำเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะมีผลให้ราคาน้ำมันส่วนของดีเซลลงได้ 1 บาทต่อลิตร เบนซินและแก๊สโซฮอล์ลง 2 บาทต่อลิตรมีผลวันที่ 16 ธ.ค. ซึ่งการลดราคาน้ำมันถือเป็นของขวัญปีใหม่ให้คนไทย
“ที่ผ่านมามีการบิดเบือนราคาพลังงานจนกระทบต่อการใช้จ่ายครัวเรือน แต่คงไม่สามารถปรับราคาต่ำกว่า 30 บาทได้ เพราะต้องมีเงินกองทุนน้ำมันไว้เพื่อรองรับราคาน้ำมันตลาดโลกที่อาจผันผวนในอนาคต โดยตั้งแต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามาบริหารประเทศ สามารถปรับลดราคาน้ำมันได้เกือบ 10 บาท ซึ่งเป็นผลจากการทำงานระหว่าง คสช. กับกระทรวงพลังงาน ถือเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน”
กบง.ลดเก็บเงินเข้ากองทุน
ด้าน นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวภายหลังการเป็นประธานประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ว่า กบง.ได้พิจารณาปรับลดอัตราเงินนำส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯตามกรอบที่ กพช.เห็นชอบเบื้องตนโดยลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนน้ำมันสำหรับเบนซินและแก๊สโซฮอล์ทุกชนิด 1 บาทต่อลิตร ยกเว้นแก๊สโซฮอล์อี 85 ไม่เปลี่ยนแปลง และดีเซลลดลง 0.30 บาทต่อลิตร แต่เนื่องจากค่าการตลาดน้ำมันเฉลี่ยสูงถึง 2 บาทกว่าต่อลิตรเนื่องจากน้ำมันตลาดโลกปรับลดทำให้ผู้ค้าสามารถลดราคาลงได้อีก
“ด้วยการลดอัตราเงินนำส่งกองทุนน้ำมันฯและค่าการตลาดที่ลดต่ำคาดว่าผู้ค้าจะลดราคาขายปลีกน้ำมันลงมาได้รวมกันแล้วส่วนนี้เบนซินและแก๊สโซฮอล์ทุกชนิดจะลดลง 2 บาทต่อลิตร ยกเว้นอี 85 ราคาจะลด 0.20 บาทต่อลิตร ดีเซลลง 1 บาทต่อลิตร” รมว.พลังงาน กล่าว
เตรียมชงกรอบภาษีใหม่เข้า ครม.
นายณรงค์ชัย กล่าวต่อว่า สำหรับกรอบการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตโดยเฉพาะดีเซลนั้น กพช.อนุมัติหลักการแล้วแต่ทางปฏิบัติจะต้องรอให้คณะรัฐมนตี (ครม.) อนุมัติซึ่งคาดว่าจะเข้า ครม.ในวันที่ 16 ธ.ค.นี้ โดยภาษีฯดีเซลจะมีการโยกเงินกองทุนน้ำมันฯที่สะสมไว้หมื่นล้านบาท โยกมาเป็นภาษีฯดีเซลแทนโดยไม่มีผลต่อราคาขายปลีก ทั้งนี้ภาษีฯดีเซลจะปรับจากที่เก็บปัจจุบัน 0.75 บาทต่อลิตรเป็น 3.25 บาทต่อลิตร โดยเพิ่มขึ้น 2.50 บาทต่อลิตร แต่หากรวมภาษีเทศบาลก็จะเป็น 2.75 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำให้รายได้รัฐจากภาษีสรรพสามิตจากดีเซลเพิ่มขึ้นประมาณ 3,950 ล้านบาท อย่างไรก็ตามส่วนของภาษีฯกลุ่มเบนซินนั้นจะมีการพิจารณาในขั้นต่อไปเช่นเดียวกับแนวทางการปรับโครงสร้างราคาแอลพีจีภาคขนส่งและก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์หรือ NGV
รมว.พลังงานกล่าวว่า กพช.ได้เห็นชอบยกเลิกการกำหนดราคาแอลพีจีหน้าโรงแยกก๊าซฯที่คงไว้ระดับ 333 เหรียญสหรัฐ ซึ่งต่อไปก็จะสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง หากต้นทุนสูงกว่าระดับนี้ก็ย่อมต้องปรับราคาเพิ่ม แต่หลักการคือภาคขนส่งควรจะต้องปรับขึ้นชัดเจน เพราะขณะนี้หากคิดเทียบกับน้ำมันแล้วจ่ายเพียง 14 บาทต่อลิตรแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าผู้ค้าได้แจ้งลดราคาขายปลีกน้ำมันลงตามมติ กบง.โดยลดกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ทุกชนิด 2 บาทต่อลิตร อี 85 ลง 20 สตางค์ต่อลิตร และดีเซลลง 1 บาทต่อลิตรมีผลตั้งแต่วันที่ 16 ธ.ค.เป็นต้นไปส่งผลให้เบนซิน 95 เป็น 37.36 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 95 เป็น30.30 บทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 91 เป็น 28.28 บาทต่อลิตร อี 20 เป็น 26.89 บาทต่อลิตร อี 85 เป็น22.48 บาทต่อลิตร ดีเซลเป็น 26.89 บาทต่อลิตร ซึ่งผลครั้งนี้ทำให้ราคาขายปลีกดีเซลใกล้เคียงกับอี 20
บอร์ดกกพ.เคาะเอฟที 23 ธ.ค.
ทางด้าน นายวีระพล จิรประดิษฐกุล กรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) หรือเรกูเลเตอร์ กล่าวว่า ขณะนี้ กกพ.ได้รับการรายงานตัวเลขเบื้องต้นว่าต้นทุนการผลิตไฟฟ้าสามารถจะลดลงมาได้ซึ่งจะมีผลให้การเรียกเก็บค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) งวดม.ค.-มิ.ย.58 ลดลงได้แต่จะเป็นตัวเลขเท่าใดจะมีการประชุมคณะอนุกรรมเอฟทีวันที่ 23 ธ.ค.นี้
“สาเหตุที่ค่าไฟจะลดลงได้ในงวดหน้าเพราะการใช้ไฟโตแค่ 1% ทำให้การใช้น้ำมันผลิตไฟฟ้าไม่มีเลย ประกอบกับราคาน้ำมันลดลงเล็กน้อยทำให้สะท้อนราคาก๊าซฯลดลงได้บ้างแต่จะลดได้มากในงวดต่อไป” นายวีระพลกล่าว
นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กรอบการปรับโครงสร้างราคาพลังงานใหม่จะพิจารณาปรับอัตราภาษีสรรพสามิน้ำมันของกลุ่มเบนซนและดีเซลใกล้เคียงกันมากขึ้นอยู่ระหว่าง85-5.55 บาทต่อลิตร จะเก็บภาษีสรรพสามิต NGV ใกล้เคียงกับน้ำมันเชื่อเพลิงอื่นๆ รวมถึงราคาน้ำมันแต่ละชนิดจะมีส่วนต่างที่เหมาสมเช่น ดีเซลจะเท่ากับอี 20
นอกจากนี้ที่ประชุม กพช.ยังเห็นชอบแผน PDP 2015 สอดคล้องแผนอนุรักษ์พลังงานและแผนพัฒนาพลังงานทดแทน (AEDP) เพื่อลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติ พร้อมปรับรูปแบบส่วนเพิ่มรับซื้อไฟฟ้า Feed in Tariff เป็นการแข่งขันด้านราคา เพื่อกำหนดโซนนิ่งลดการแย่งชิงวัตถุดิบและแก้ปัญหาระบบสายส่ง
วานนี้ (15 ธ.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า การเดินทางลงพื้นที่ จ.พังงา เพื่อร่วมงานรำลึก 10 ปี เหตุการณ์สึนามิ ในวันที่ 26 ธ.ค.และจะพบกับเกษตรกรชาวสวนยางว่า เป็นภารกิจร่วมงานรำลึกเหตุการณ์สึนามิ แต่ถ้ามีโอกาสก็จะพบกับชาวสวนยางด้วย ตอนนี้ทุกคนเดินหน้า รัฐบาลกำลังทำทุกอย่างที่ไม่เคยมีรัฐบาลไหนทำมาก่อน ซึ่งหมายความว่า เราไม่ได้ตามใจทุกเรื่อง อะไรที่ช่วยได้ก็ช่วย แต่เมื่อราคายางในบ้านเราเกินราคาตลาดโลกสองถึงสามเท่า แล้วจะไปขายใครได้ ทั้งนี้เราต้องดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียคนอื่นๆด้วย ไม่ว่าจะเป็นข้าว หรือยาง และเดี๋ยวต้องมีปัญหาอื่นมาอีก รัฐบาลจะเอาเงินที่ไหน จึงต้องมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ให้เกิดการค้าการลงทุนมากขึ้น ซึ่งต้องใช้เวลา
“ทุกอย่างพันกันหมด หากรัฐบาลใช้เงินตรงนี้มากเกินไป จะเอาเงินที่ไหนมาพัฒนาประเทศ ในต่างประเทศที่เคยอุดหนุนราคาผลผลิต แม้แต่ประเทศที่ผลิตน้ำมันจำนวนมากยังต้องเลิก” พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ
หยอดห่วงใยชาวสวนยาง
ผู้สื่อข่าวถามว่า มั่นใจหรือไม่ว่าก่อนสิ้นปีราคายางพาราจะเป็นไปตามที่ชาวสวนยางเรียกร้อง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เป็นไปไม่ได้ ตลาดข้างนอกราคาอยู่ที่ 50-60 บาท แต่ชาวสวนยางขอ 80 บาท ส่วนที่ขอลดลงมาเป็นราคา 60 บาท เราพยายามทำอยู่ ขณะนี้กำลังเจรจา พยายามจะยกระดับให้สูงขึ้นอยู่ โดยรัฐบาลเอาเงินออกไปให้สหกรณ์ซื้อเก็บไว้ ถ้าพอใจราคาค่อยขาย เราไม่สามารถเอาเงินไปซื้อมาเก็บได้อีกแล้ว ที่ผ่านมาก็ได้เก็บไว้มากแล้ว ทั้งข้าวทั้งยาง ทำให้เสียค่าเช่าคลังจำนวนมากแล้ว
“ถ้าตามใจกันทุกอย่าง มันไม่ได้ ต้องช่วยกัน วันนี้ประเทศ ไทยกำลังเปลี่ยนแปลงเพื่อความยั่งยืนในอนาคต ถ้ายังแก้ปัญหาแบบนี้ จะเป็นปัญหาแบบนี้ไปตลอด แล้ววันหน้าจะเอาเงินที่ไหนไปพัฒนาถนนหนทางวันนี้งบประมาณที่ใช้จ่ายอยู่ขณะนี้ งบการลงทุนต้องต่ำลง เพราะหนี้สาธารณะยังมีอยู่ ซึ่งเกิดจากการที่รัฐบาลกู้เงินมาอุดหนุน ทั้ง เรื่องข้าว ทั้งยาง และยังต้องจ่ายดอกเบี้ยอยู่ทุกเดือน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
เมื่อถามว่า จะทำอย่างไรให้ชาวสวนยางรู้สึกว่าไม่ได้ถูกทอดทิ้ง นายกฯ นำมือทุบไปที่หน้าอกด้านซ้าย พร้อมกับกล่าวว่า
“ส่งหัวใจให้เขา ผมไปทอดทิ้งตรงไหน เป็นห่วงเป็นใยตลอด ตั้งแต่ก่อนยึดอำนาจ คิดถึงพวกเขาอยู่ ที่ทำเพราะคิดถึงพวกเขา และเมื่อพูดถึงเรื่องส่งหัวใจ ต้องมีน้ำเสียงดุหน่อย ก็มันคือหัวใจผม พอส่งไป หัวใจผมก็เล็กลง”
แนะเกษตรปรับตัวเองบ้าง
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า รัฐบาลต้องแก้ปัญหาระยะยาวโดยการชักชวนให้นักลงทุนมาตั้งโรงงานขนาดใหญ่แปรรูปยาง โดยวันหน้าเราจะส่งออกยางให้มากที่สุดในโลก เพราะมีวัตถุดิบมากอยู่แล้ว เหตุใดนักลงทุนยังไม่ตั้งโรงงานแปรรูปยางขนาดใหญ่ในเมืองไทย ต้องไปถามรัฐบาลเก่าๆดู ที่เป็นแบบนี้เพราะไม่มีการแก้ทั้งระบบ แต่พอเราทำ ก็มีการต่อต้าน พอต่อต้านเดี๋ยวก็ต้องใช้อำนาจ ดังนั้นต้องเอาหัวใจมาให้กัน วันนี้ชาวสวนยางต้องอดทนไประยะหนึ่ง ต้องปรับเปลี่ยนตัวเองบ้าง ต้องดูว่า ต้นทุนสูงเพราะอะไร
“ต้องปรับพฤติกรรมตัวเองบ้าง จึงบอกให้ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง คือ ต้องมีเหตุผลพอประมาณ ตอนนี้ถ้ามีปัญหาอุปสรรคก็ชะลอไว้ พอยางราคาสูงขึ้น ก็ปรับใหม่ พอผมพูดอย่างนี้ ก็โกรธอีก วันนี้ผมเป็นห่วงชาวสวนยาง” นายกฯระบุ
36 องค์กรขอ 60 บาทต่อ กก.
วันเดียวกัน ที่ศาลากลางจังหวัดสุราษฎร์ธานี นายมนูญ อุปลา ประธานเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางพาราสุราษฎร์ธานี พร้อมตัวแทนองค์กรชาวสวนยางจาก 36 องค์กรจำนวนหนึ่ง เข้ายื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ผ่านทางนายอวยชัย อินทร์นาค รองผู้ว่าราชการจังหวัด สุราษฎร์ธานี และ พ.อ.ทวี เกิดสมบูรณ์ รองผู้บังคับการจังหวัดทหารบก จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อเรียกร้องให้แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวสวนยาง โดยมีข้อเสนอ 3 ข้อ คือ 1.ให้รัฐชดเชยราคายางพาราให้ได้ราคากิโลกรัมละ 60 บาท 2.ขอให้รัฐดำเนินการโดยทันที โดยใช้งบกลาง ของรัฐบาล และ 3.ให้สถาบันเกษตรกรเป็นผู้รวบรวมยางพาราจากเกษตรกรชาวสวนยาง แล้วขายส่งให้กับผู้ประกอบการยางพาราในแต่ละพื้นที่
ด้าน นายอวยชัย อินทร์นาค รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ในฐานะตัวแทนผู้ว่าราชการจังหวัดเข้ารับหนังสือจากตัวแทนเกษตรกร และรับปากเร่งดำเนินการส่งหนังสือต่อไปให้ถึงนายกรัฐมนตรี ให้เร็วที่สุด เข้าใจดีถึงปัญหาของเกษตรกรชาวสวนยาง เพราะตนเองก็มาจากครอบครัวชาวสวนยาง
หลังจากนั้นตัวแทนเกษตรกร ได้แยกย้ายกันกลับ เพื่อรอฟังคำตอบ และแนวทางช่วยเหลือจากรัฐบาลต่อไป
คืนความสุขลดน้ำมัน1-2 บ.
วันเดียวกัน ที่ทำเนียบรัฐบาล ได้มีการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) โดย พล.อ.ประยุทธ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมว่า ที่ประชุม กพช.ได้พิจารณากรอบแนวทางการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันภาพรวมและเบื้องต้นมีการปรับลดอัตรานำเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะมีผลให้ราคาน้ำมันส่วนของดีเซลลงได้ 1 บาทต่อลิตร เบนซินและแก๊สโซฮอล์ลง 2 บาทต่อลิตรมีผลวันที่ 16 ธ.ค. ซึ่งการลดราคาน้ำมันถือเป็นของขวัญปีใหม่ให้คนไทย
“ที่ผ่านมามีการบิดเบือนราคาพลังงานจนกระทบต่อการใช้จ่ายครัวเรือน แต่คงไม่สามารถปรับราคาต่ำกว่า 30 บาทได้ เพราะต้องมีเงินกองทุนน้ำมันไว้เพื่อรองรับราคาน้ำมันตลาดโลกที่อาจผันผวนในอนาคต โดยตั้งแต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามาบริหารประเทศ สามารถปรับลดราคาน้ำมันได้เกือบ 10 บาท ซึ่งเป็นผลจากการทำงานระหว่าง คสช. กับกระทรวงพลังงาน ถือเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน”
กบง.ลดเก็บเงินเข้ากองทุน
ด้าน นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวภายหลังการเป็นประธานประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ว่า กบง.ได้พิจารณาปรับลดอัตราเงินนำส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯตามกรอบที่ กพช.เห็นชอบเบื้องตนโดยลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนน้ำมันสำหรับเบนซินและแก๊สโซฮอล์ทุกชนิด 1 บาทต่อลิตร ยกเว้นแก๊สโซฮอล์อี 85 ไม่เปลี่ยนแปลง และดีเซลลดลง 0.30 บาทต่อลิตร แต่เนื่องจากค่าการตลาดน้ำมันเฉลี่ยสูงถึง 2 บาทกว่าต่อลิตรเนื่องจากน้ำมันตลาดโลกปรับลดทำให้ผู้ค้าสามารถลดราคาลงได้อีก
“ด้วยการลดอัตราเงินนำส่งกองทุนน้ำมันฯและค่าการตลาดที่ลดต่ำคาดว่าผู้ค้าจะลดราคาขายปลีกน้ำมันลงมาได้รวมกันแล้วส่วนนี้เบนซินและแก๊สโซฮอล์ทุกชนิดจะลดลง 2 บาทต่อลิตร ยกเว้นอี 85 ราคาจะลด 0.20 บาทต่อลิตร ดีเซลลง 1 บาทต่อลิตร” รมว.พลังงาน กล่าว
เตรียมชงกรอบภาษีใหม่เข้า ครม.
นายณรงค์ชัย กล่าวต่อว่า สำหรับกรอบการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตโดยเฉพาะดีเซลนั้น กพช.อนุมัติหลักการแล้วแต่ทางปฏิบัติจะต้องรอให้คณะรัฐมนตี (ครม.) อนุมัติซึ่งคาดว่าจะเข้า ครม.ในวันที่ 16 ธ.ค.นี้ โดยภาษีฯดีเซลจะมีการโยกเงินกองทุนน้ำมันฯที่สะสมไว้หมื่นล้านบาท โยกมาเป็นภาษีฯดีเซลแทนโดยไม่มีผลต่อราคาขายปลีก ทั้งนี้ภาษีฯดีเซลจะปรับจากที่เก็บปัจจุบัน 0.75 บาทต่อลิตรเป็น 3.25 บาทต่อลิตร โดยเพิ่มขึ้น 2.50 บาทต่อลิตร แต่หากรวมภาษีเทศบาลก็จะเป็น 2.75 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำให้รายได้รัฐจากภาษีสรรพสามิตจากดีเซลเพิ่มขึ้นประมาณ 3,950 ล้านบาท อย่างไรก็ตามส่วนของภาษีฯกลุ่มเบนซินนั้นจะมีการพิจารณาในขั้นต่อไปเช่นเดียวกับแนวทางการปรับโครงสร้างราคาแอลพีจีภาคขนส่งและก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์หรือ NGV
รมว.พลังงานกล่าวว่า กพช.ได้เห็นชอบยกเลิกการกำหนดราคาแอลพีจีหน้าโรงแยกก๊าซฯที่คงไว้ระดับ 333 เหรียญสหรัฐ ซึ่งต่อไปก็จะสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง หากต้นทุนสูงกว่าระดับนี้ก็ย่อมต้องปรับราคาเพิ่ม แต่หลักการคือภาคขนส่งควรจะต้องปรับขึ้นชัดเจน เพราะขณะนี้หากคิดเทียบกับน้ำมันแล้วจ่ายเพียง 14 บาทต่อลิตรแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าผู้ค้าได้แจ้งลดราคาขายปลีกน้ำมันลงตามมติ กบง.โดยลดกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ทุกชนิด 2 บาทต่อลิตร อี 85 ลง 20 สตางค์ต่อลิตร และดีเซลลง 1 บาทต่อลิตรมีผลตั้งแต่วันที่ 16 ธ.ค.เป็นต้นไปส่งผลให้เบนซิน 95 เป็น 37.36 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 95 เป็น30.30 บทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 91 เป็น 28.28 บาทต่อลิตร อี 20 เป็น 26.89 บาทต่อลิตร อี 85 เป็น22.48 บาทต่อลิตร ดีเซลเป็น 26.89 บาทต่อลิตร ซึ่งผลครั้งนี้ทำให้ราคาขายปลีกดีเซลใกล้เคียงกับอี 20
บอร์ดกกพ.เคาะเอฟที 23 ธ.ค.
ทางด้าน นายวีระพล จิรประดิษฐกุล กรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) หรือเรกูเลเตอร์ กล่าวว่า ขณะนี้ กกพ.ได้รับการรายงานตัวเลขเบื้องต้นว่าต้นทุนการผลิตไฟฟ้าสามารถจะลดลงมาได้ซึ่งจะมีผลให้การเรียกเก็บค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) งวดม.ค.-มิ.ย.58 ลดลงได้แต่จะเป็นตัวเลขเท่าใดจะมีการประชุมคณะอนุกรรมเอฟทีวันที่ 23 ธ.ค.นี้
“สาเหตุที่ค่าไฟจะลดลงได้ในงวดหน้าเพราะการใช้ไฟโตแค่ 1% ทำให้การใช้น้ำมันผลิตไฟฟ้าไม่มีเลย ประกอบกับราคาน้ำมันลดลงเล็กน้อยทำให้สะท้อนราคาก๊าซฯลดลงได้บ้างแต่จะลดได้มากในงวดต่อไป” นายวีระพลกล่าว
นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กรอบการปรับโครงสร้างราคาพลังงานใหม่จะพิจารณาปรับอัตราภาษีสรรพสามิน้ำมันของกลุ่มเบนซนและดีเซลใกล้เคียงกันมากขึ้นอยู่ระหว่าง85-5.55 บาทต่อลิตร จะเก็บภาษีสรรพสามิต NGV ใกล้เคียงกับน้ำมันเชื่อเพลิงอื่นๆ รวมถึงราคาน้ำมันแต่ละชนิดจะมีส่วนต่างที่เหมาสมเช่น ดีเซลจะเท่ากับอี 20
นอกจากนี้ที่ประชุม กพช.ยังเห็นชอบแผน PDP 2015 สอดคล้องแผนอนุรักษ์พลังงานและแผนพัฒนาพลังงานทดแทน (AEDP) เพื่อลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติ พร้อมปรับรูปแบบส่วนเพิ่มรับซื้อไฟฟ้า Feed in Tariff เป็นการแข่งขันด้านราคา เพื่อกำหนดโซนนิ่งลดการแย่งชิงวัตถุดิบและแก้ปัญหาระบบสายส่ง