ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ดิ้นเป็นไส้เดือนโดนขี้เถ้า สำหรับลิ่วล้อของ น.ช.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลังนายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ประธานคณะกรรมาธิการปฏิรูปด้านการเมือง ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ออกมาโยนหินให้เลือกนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยตรง
เรียกว่า โผล่มาตั้งแต่หัวยันหาง ทั้งที่หายหน้าหายตาไปนาน ทั้งที่เป็นพวกขาประจำออกมาเอ็ดตะโรใส่เจ้าของไอเดียกันลั่น วิพากษ์วิจารณ์ไปในแนวทางเดียวกันคือ ไม่เหมาะกับระบอบการปกครองของไทย เพราะเหมือนกับการเลือกประธานาธิบดี
แต่ไม่มีกันเลยสักคนที่จะออกมายอมรับข้อเสียของระบบการเลือกตั้งแบบเก่า ที่ตนเองเคยต้มยำทำแกงกันจนเละเทะกระทั่งต้องมานั่งเขียนกติกากันใหม่ แนวทางการวิพากษ์วิจารณ์ส่วนใหญ่ เป็นไปในลักษณะของคนเสียผลประโยชน์แล้วออกมาตีโพยตีพาย กลัวจะไม่ได้กลับมาชูคอในสังเวียนการเมืองอีกรอบ จัดอยู่ในจำพวกวัวสันหลังหวะ ผวาว่าจะแพ้การเลือกตั้งคราวหน้ามากกว่า
ขณะเดียวกัน เวลาเขาร่อนการ์ดเชิญมาให้โชว์วิสัยทัศน์ ก็ทำเล่นตัว ไม่อยากร่วมสังฆกรรมกับฝ่ายเผด็จการ แต่พอทำท่าจะเข้าเนื้อเข้าตัว ก็พรวดออกมาทุกที
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ใช่แค่พรรคเพื่อไทยเท่านั้นที่ออกมารุมสับ นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ประธานคณะกรรมาธิการปฏิรูปด้านการเมือง สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เจ้าของไอเดีย เพราะพรรคใหญ่ที่ได้รับผลกระทบเหมือนกันหากสุดท้ายคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญดันบ้าจี้ตามไปด้วย อย่างพรรคประชาธิปัตย์ ก็กระโดดเข้ามาผสมโรงกันยับ
กระนั้นกระแสตอบรับจากสังคม ปรากฏว่าให้ก้อนอิฐมากกว่าดอกไม้กับแนวคิดดังกล่าว ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่หลายฝ่ายพร้อมใจกันลงแขกนายสมบัติ เจ้าของลิขสิทธิ์อย่างสามัคคี
ใครได้ฟังคำชี้แจงจากปากคำ นายสมบัติ ยิ่งมีอะไรให้หวาดเสียว และหนาวเหน็บจนเป็นตะคริวกันได้ เพราะอ้างว่าจะเป็นนวัตกรรมใหม่ในโลกหรือสั้นๆ ง่ายๆ คือ เรากำลังจะเป็นชาติแรกและชาติเดียวในโลกที่ใช้การเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีโดยตรง เหตุผลที่อ้างอิงพอฟังขึ้นเพื่อป้องกัน และแก้ปัญหาการใช้เงินมหาศาลในระบบการเมือง รวมทั้งป้องกันส.ส.ขายตัว
แต่ปัญหาคือ ระบบดังกล่าวเมื่อนำมาใช้แล้วมันจะแก้ปัญหาได้จริงหรือไม่ เพราะรากเหง้าของปัญหาประเทศไทยทุกวันนี้ไม่ได้อยู่ที่ระบบเลือกตั้งว่าเป็นแบบไหน แต่อยู่ที่เรื่องการซื้อสิทธิ์ขายเสียง และพฤติกรรมของคน
ดังนั้น หัวใจน่าจะอยู่ที่กระบวนการกลั่นกรองคนเข้ามามากกว่า ว่าเข้มแข็งและเข้มข้นแค่ไหน
เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่ใหม่มากๆ ไม่ใช่แค่เฉพาะในประเทศไทย แต่เป็นเรื่องใหม่ของโลกเลยก็ว่าได้ ขณะเดียวกัน ที่ผ่านมาก็ยังไม่ได้มีการศึกษาผลกระทบหรือทดลองในพื้นที่ใดเลย จำเป็นต้องใช้ความรอบคอบสูงมาก หากคิดว่าจะทดลองใช้เพื่อทดสอบสมรรถภาพก็ไม่น่าจะใช่ที่ เพราะประเทศไม่ใช่เครื่องทดลอง หากพลั้งพลาดเกิดความเสียหายอันประเมินค่าไม่ได้ เจ้าของไอเดียรับผิดชอบไหวหรือไม่
ตลกร้ายเหมือนเขวี้ยงงูไม่พ้นคอ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง วันหนึ่งเคยตะเพิด น.ช.ทักษิณ ว่าคิดอยากจะเป็นใหญ่เป็นโตระดับประธานาธิบดี แต่ข้อเสนอที่เขวี้ยงออกมาหยั่งกระแสโจ่งแจ้ง และเป็นเนื้อเป็นหนังมากกว่ากันเสียอีก
ที่น่าเจ็บใจ นายสมบัติ น่าจะเป็นคนที่รู้ดีที่สุดว่า การกำราบระบอบทักษิณโดยวิธีการแก้ไขระบบเลือกตั้ง เป็นวิธีการที่ล้มเหลว เพราะครั้งหนึ่งเคยนั่งเป็นประธานคณะกรรมการพิจารณาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญให้รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ โดยคิดค้นสูตร ส.ส.จำนวน 500 คน แบ่งเป็น ส.ส.375 คน และส.ส.บัญชีรายชื่อ 125 คน โดยหวังตัดกำลังพรรคเพื่อไทย แต่สุดท้ายก็แพ้เลือกตั้งให้แบบถล่มทลาย ไม่เห็นฝุ่น ทั้งที่อุตส่าห์แท็กทีมกับภูมิใจไทยแบบแน่นปึ้ก แต่ถึงเวลาจับมัดส.ส.รวมกัน ก็ยังสู้ไม่ได้
และต่อให้ใช้ระบบเลือกตั้งแบบสุดโต่งนี้เข้ามา เชื่อขนมรอได้ น.ช.ทักษิณ ก็ยังชนะวันยังค่ำ เพราะศัตรูยังจมอยู่กับที่ คิดเอาชนะแบบวิธีเดิมๆ ไม่ได้ก้าวขยับไปไหนเลย ปานนี้นอนเลี้ยงหลานแฝด รอวันผงาดแบบเท่ๆ อีกรอบแล้ว
ซึ่งจริงๆ วิธีการชนะคนอย่าง น.ช.ทักษิณไม่ใช่ไม่มีใครคิดได้ ถ้ารู้ว่าสาเหตุที่คนยังหลงรักนักโทษคนนี้แบบหัวปักหัวปำรบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เป็นเพราะอะไร ส่วนหนึ่งเกิดจากนโยบายโครตประชานิยมในอดีต ที่ฝังชิพอยู่ในหัวคน ประชาชนเชื่อน้ำยา และยี่ห้อทักษิณว่าสามารถทำได้จริง จับต้องได้ในเวลาอันรวดเร็ว จนไม่ได้มองถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น
พรรคประชาธิปัตย์เองก็รู้จุดแข็งตรงนี้ดี ทุกครั้งที่มีอำนาจก็พยายามจะทำมาโดยตลอด ทั้งในทางตรงและทางอ้อม แต่ไม่เคยได้รับการเทใจให้เลยสักครั้ง เพราะประชาชนไม่เชื่อน้ำยาว่าจะทำดีกว่ายี่ห้อทักษิณ และไม่เชื่อว่าจะมีใครทำได้ กลายเป็นภาพติดตามาจนทุกวันนี้ ดังนั้น ก่อนอื่น จึงต้องทำให้ประชาชนเชื่อก่อนว่า ตัวเองมีน้ำยาที่จะทำได้ดีกว่าของเก่า
แต่ก็ไม่ใช่ว่าไปลอกทั้งดุ้น เพียงเพื่อหวังให้อำนาจมันสลับขั้วมาอยู่ฝั่งตัวเอง อย่าทำตัวเป็นอิเหนา ว่าเขาเราเป็นเอง ต้องทำในสิ่งที่ประชาชนจับต้องได้ จะเรียกขานตั้งชื่อเสียงเรียงนามกันอย่างไรไม่ใช่ประเด็น แต่ต้องไม่เป็นภาระประเทศด้วย
หากเป็นในยุคนี้ ซึ่งเป็นยุคของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องทำให้คนเชื่อว่า ทหารทำได้วิลิศมาหรามากกว่านักการเมือง ไม่ได้เก่งแต่แบกปืนไปรบ ที่สำคัญ สิ่งที่ น.ช.ทักษิณทำ ไม่ใช่ น.ช.ทักษิณที่ทำได้คนเดียว แต่มีคนอื่นอีกเยอะที่ทำได้ หนำซ้ำยังไม่มีหนี้ผูกพันอีกด้วย
ดังนั้น วันนี้ต้องกลับไปทบทวนกันใหม่ หาวิธีที่ใช่ตอบโจทย์ประเทศไทยแบบตรงจุด ล้างระบบการเมืองอุบาทว์ได้ทั้งระบบ ไม่ต้องจำเพาะเจาะใจ หน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน เพราะต่อให้ต้องมีการแก้ระบบการเลือกตั้งกันอีกสักกี่สิบครั้ง ก็ไม่มีวันจะชนะคนอย่าง น.ช.ทักษิณได้ หากเป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุทุกครั้ง มองข้ามรากเหง้าที่แท้จริงตลอด เอาแต่ไล่บี้อย่างเดียว ทั้งที่มีกรณีศึกษาให้เห็นเต็มสองลูกตาว่า ต่อให้ยุบพรรคไทยรักไทย ยุบพรรคพลังประชาชน เอาใครมาลงเลือกตั้ง ก็กินเรียบ แม้แต่คนไม่ประสาการเมือง มีชั่วโมงบินเพียง 49 วันอย่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ยังเป็นนายกรัฐมนตรีได้
นับประสาอะไร ตราบใดที่คนยังเชื่อน้ำยาทักษิณ จะจับนอมินีมานั่งเป็นกี่คน เจอระบบไหนก็ได้ เพียงแค่โพนทะนาว่า ยี่ห้ออะไร แค่นี้ก็จบเรียบร้อยโรงเรียนทักษิณเรียบวุธ
ต่อให้เลือกนายกรัฐมนตรีโดยตรง สรรหาระบบกันแบบสุดโต่งแค่ไหน ก็ยังเสร็จโจรดูไบอยู่ดี !!!