ผมเขียนบทความนี้เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ซึ่งทั่วโลกร่วมกันกำหนดให้เป็นวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (International Anti-Corruption) ที่กรุงเทพมหานคร กลุ่มเครือข่ายศิลปิน ได้ร่วมกันจัดงานร่วมรณรงค์ต่อต้านคอร์รัปชัน ณ ลานหน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เขตปทุมวัน และผมได้รับเชิญให้มาร่วมอ่านบทกวี ในงานนี้ด้วย
เรื่องของการคอร์รัปชัน ฉ้อราษฎร์บังหลวงนั้น นับเป็นปัญหาหลักของประเทศไทย ที่สืบเชื้อสายกันมายาวนานในวงการราชการและการเมือง ซึ่งปัจจุบันคงลามไหลไปถึงภาคเอกชนและแทบทุกสาขาอาชีพที่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์ต่างตอบแทนกันแล้ว
จนมีการเปรียบเทียบว่า คอร์รัปชันเหมือนเชื้อโรคมะเร็งร้ายที่เป็นอันตรายต่อประเทศชาติและสังคมไทยถึงขั้นหายนะ
พรรคการเมืองไหนๆ เมื่อมีโอกาสได้กุมอำนาจรัฐ จัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ เริ่มต้นก็มักจะประกาศนโยบายต่อต้านและจัดการกับการคอร์รัปชันอย่างแข็งขัน เอางานเอาการกันทั้งนั้น แต่เอาเข้าจริงก็เหลวเป๋ว เป็นการทำแบบลูบหน้าปะจมูกทุกทีไป และการคอร์รัปชันในวงการเมืองกับข้าราชการไทยก็ยิ่งนับวันจะลุกลามขยายตัวมาก ยิ่งขึ้น และยิ่งเมื่อระบอบทักษิณเข้ามาครอบคลุมแปรเปลี่ยนการเมืองไทยให้เป็นระบบ ธุรกิจการเมือง การคอร์รัปชันก็ทำกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันเต็มรูปแบบหนักข้อยิ่งขึ้น มีการเรียกรับผลประโยชน์ทั้งจากการจัดซื้อจัดจ้างในระบบงบประมาณแผ่นดิน อย่างมโหระทึก และการแต่งตั้งโยกย้ายข้าชการ ที่มีการวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่งกันอย่างโจ๋งครึ่ม ทำลายระบบราชการและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นข้าราชการโดยสิ้นเชิง
ตอนเริ่มเข้ารับราชการใหม่ๆ เมื่อ 40 กว่าปีมาแล้ว ผมเคยเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยในส่วนภูมิภาค ที่ถูกใช้งานในการต้อนรับขับสู้บรรดาข้าราชชั้นผู้ใหญ่ที่มาจากส่วนกลาง ก็เคยแอบสงสัยและตั้งข้อสังเกตในใจมาตั้งแต่ครั้งกระโน้นว่า
ทำไมการมาตรวจราชการหรือมาทำภารกิจอื่นๆ ของข้าราชการจากส่วนกลาง จึงต้องให้ข้าราชการในภูมิภาครับผิดชอบดูแลทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่ค่าตั๋วเครื่องบิน รถไฟ รถยนต์ ค่าที่พักโรงแรม และอาหารหวานคาวทุกมื้อทุกคราว
ทั้งๆ ที่ข้าราชการจากส่วนกลางเหล่านั้นก็เบิกจากเงินหลวงได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะค่าพาหนะเดินทาง ค่าเบี้ยเลี้ยงและที่พัก แล้วที่ผมเห็นว่าน่าเกลียดมากก็คือ ผู้หลักผู้ใหญ่เหล่านั้น ก็เอาหลักฐานตั๋วเครื่องบิน ใบเสร็จโรงแรม ที่ภูมิภาคจ่ายให้ไปเบิกเงินหลวงจากส่วนกลาง เอาเข้ากระเป๋าตนเองอีกต่างหาก
ผมเริ่มคิดได้เองว่า นั่นคือจุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่บีบบังคับให้ข้าราชการในภูมิภาคต้องทำมาหาเงินโดยมิชอบ เพื่อรองรับภาระการรับรองข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จากส่วนกลางนั่นเอง เพราะลำพังเงินเดือนที่ได้รับเพียงน้อยนิดเพื่อเลี้ยงตัวเองและครอบครัวก็ชักหน้าไม่ถึงหลังอยู่แล้ว เมื่อต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่ไม่มีขีดจำกัดเช่นนั้น ก็เป็นการบีบโดยปริยาย ให้ข้าราชการในภูมิภาคต้องหันไปหาที่พึ่งจากพ่อค้าผู้รับเหมา แล้วก็ย่อมก่อให้เกิดวิถีทางต่างตอบแทนด้วยการเอื้อประโยชน์และแสวงหา ประโยชน์จากงานราชการและงบประมาณแผ่นดินอย่างช่วยไม่ได้ นั่นคือ ข้อสังเกตส่วนตัวเงียบๆ คนเดียว ตอนเริ่มรับราชการใหม่ๆ และผมก็ยอมรับว่าต้องคลุกคลีอยู่กับวังวนเช่นนั้นมาตลอดการรับราชการเกือบ 40 ปี
มาถึงทุกวันนี้ ระบบธุรกิจการเมือง ได้ชักใยให้เกิดการคอร์รัปชันลุกลามไปทั่วทุกวงการที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ต่างตอบแทนโดยไม่มีข้อยกเว้น
และสังคมโลกาภิวัตน์ฉุดกระชากลากสังคมไทยในปัจจุบัน ให้บูชาเงินเป็นพระเจ้า คนมีฐานะร่ำรวยได้รับการยกย่องเชิดชูเป็นผู้มีเกียรติ มีสถานะเป็นที่ยอมรับเคารพนับถือในสังคม โดยไม่มีใครสนใจไยดีว่า เขาร่ำรวยมาจากการคดโกงฉ้อราษฎร์บังหลวงด้วยวิธีฉ้อฉลเลวร้ายอย่างไร
ด้วยสาเหตุแห่งปัญหาดังกล่าว การแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันจึงต้องเริ่มต้นด้วยการปฏิรูประบอบการเมืองไทย และระบบราชการไทยอย่างถอนรากถอนโคน เพื่อปรับเปลี่ยนให้ระบอบการเมืองและราชการไทยเป็นองค์กรที่โปร่งใส ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน
ส่วนการแก้ไขปัญหาระยะยาวก็ต้องเร่งปฏิรูประบบการศึกษา โดยเริ่มปลูกฝังเยาวชนตั้งแต่วัยเรียน
ให้มีความรู้คู่คุณธรรมอย่างจริงจัง ให้เด็กไทยชิงชังรังเกียจการคอร์รัปชันทุกชนิดทุกประเภทแบบฝังแน่นในกมลสันดาน ปรับเปลี่ยนทัศนคติให้เป็นสังคมที่ยกย่องเชิดชูคนดี คนซื่อสัตย์ และรังเกียจเหยียดหยามคนโกงคนคอร์รัปชันฉ้อราษฎร์บังหลวง ไม่ให้มีที่ยืนในสังคมไทย
เมื่อวันที่ 9 ธันวาคมที่ผ่านมา ผมอ่านบทกวีนี้ ที่เวทีลานหน้าหอศิลป์ กรุงเทพฯ ดังนี้ครับ
คอร์รัปชันฉ้อราษฎร์บังหลวง
เป็นโซ่ห่วงหายนะต้องสะสาง
เป็นมะเร็งโรคร้ายถึงวายวาง
วิถีทางที่เป็นอยู่ยากเยียวยา
ต้องใช้อำนาจพิเศษที่เด็ดขาด
เมื่อกล้ายึดอำนาจต้องหาญกล้า
ลัดขั้นตอนที่ซ้อนซับสังคายนา
หยุดขั้นตอนธรรมดาช้าเกินการณ์
ตรากฎหมายไม่ให้มีอายุความ
กำหนดโทษเพิ่มตามถึงโทษประหาร
หรือรื้อฟื้น รื้อกฎโทษโบราณ
สักหน้าผากประจานคนโกงกิน
ทั้งผู้รับผู้ให้ไม่ต่างโทษ
เพราะล้วนโฉดล้วนชั่วกันทั้งสิ้น
โทษหนักจักปรามฉ้อที่เคยชิน
ประเทศจีนปราบกังฉินวิธีนี้
แล้วเริ่มวางพื้นฐานการศึกษา
สอนเยาวชนให้รู้ค่าแห่งหน้าที่
ปลูกฝังหลักศีลธรรมและความดี
ให้ซื่อตรงและมีคุณธรรม
ให้ชิงชังการฉ้อราษฎร์บังหลวง
ขันโซ่ห่วงสุจริตทั้งสูงต่ำ
สอนหลักธรรมและทำจริงให้จดจำ
ให้เติบใหญ่เป็นผู้นำที่ซื่อตรง
ทุจริตมะเร็งร้ายคือหายนะ
ต้องฝึกการลดละ ความโลภหลง
สร้างสังคม “โปร่งใส” ให้มั่นคง
บทกวีนี้เขียนชง...คสช
.
ว.แหวนลงยา