ตีแผ่ขบวนการส่วยป้ายจอแอลอีดี อาจกระทบเก้าอี้ ผบ.ตร.เพราะผลประโยชน์ทับซ้อน แฉแหลกนายพลตำรวจดาวรุ่งขอให้ “ศรีวราห์” รับส่วย อ้างรายได้ช่วยแบ่งเบาภาระกิจนครบาลแต่พอปฏิเสธเพราะผิดกฏหมายถึงกับหน้าถอดสี เผยคณะกรรมการสืบสวนทำงานคืบหน้าไปมาก เตรียมกัน ผกก. - รองผกก.และ สารวัตรเป็นพยาน คาดปลายสัปดาห์หน้ารู้ผล
กรณีส่วยป้ายโฆษณาจอแอลอีดี ที่ทีมข่าวอาชญากรรม ASTVผู้จัดการ นำเสนอมาอย่างต่อเนื่องกลายเป็นเรื่องใหญ่ท้าท้ายจริยธรรม และยุคปฏิรูปประเทศไทยเป็นอย่างยิ่งเพราะเมื่อสาวลึกลงไปกลับพบว่ามีความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นมากมายโดยเฉพาะผลประโยชน์หลายร้อยล้านบาทที่มีนายตำรวจใหญ่เข้าไปเกี่ยวข้อง
มีรายงานว่า หลังจากพล.ต.ต.ศรีวราห์ รังสิพรหมณกุล รรท.ผบช.น.แสดงท่าทีแข็งกร้าวเอาจริงกับขบวนการฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมปรากฏว่าบรรยากาศของตำรวจนครบาล ซึ่งก่อนหน้ามีความเคร่งเครียดอยู่แล้วกลับเครียดหนักขึ้นไปอีก เพราะมีนายตำรวจระดับบริหารโรงพัก หรือผกก.ลงไปจนถึงระดับสารวัตรหลายนายเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยและอาจกระทบกับการแต่งตั้งโยกย้ายที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันนี้
นอกจากนั้นการสืบสวนเพื่อเอาผิดกับขบวนการโกงกินป้ายโฆษณายังมีนายตำรวจระดับสูงอยู่ในข่ายร่วมรับผิดชอบด้วย ประกอบด้วยอดีต ผบช.น.อย่างน้อย 2 คน
ข่าวแจ้งว่าขณะที่การสืบสวนดำเนินไปอย่างเข้มข้นนั้นมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในแวดวงตำรวจนครบาลอย่างกว้างขวางว่าเรื่องนี้คงไม่จบง่ายๆเพราะ รรท.ผบช.น.ได้ตั้งธงปัดกวาดบ้านตัวเองอย่างจริงจัง และที่ผ่านมายังเป็นนายตำรวจที่ชำนาญต่อคดีประเภทบุกรุกป่าบุกรุกที่สาธารณะ แต่พฤติการของนายตำรวจใหญ่ในอดีตกับบริษัทเอกชนร่วมกันยึดพื้นที่สาธารณะกลางกรุงหาประโยชน์กันมายาวนานนับ 10 ปี อีกทั้งมีหลักฐานทางเอกสาร จึงเชื่อว่าหากไม่เป็นมวยล้มต้มคนดูเสียก่อนจะต้องเป็นข่าวใหญ่ส่งท้ายในปลายปีอย่างแน่นอน
รายงานแจ้งด้วยว่า ก่อนพล.ต.ต.ศรีวราห์ จะตัดสินใจเดินหน้าทำเรื่องนี้นอกจากมีตัวแทนบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งหอบเงินสดจำนวน 4 ล้านบาทขึ้นมาให้ถึงสำนักงานจนถูกไล่ให้กลับไปแล้วปรากฏว่ามีนายตำรวจรุ่นน้องคนหนึ่งซึ่งมีส่วนพัวพันกับส่วยป้ายโฆษณาได้เดินทางมาพบ และขอให้รับเงินจำนวนนี้ไปโดยให้เหตุผลว่าปัจจุบันนครบาล ไม่มีเงินนอกระบบมาสนับสนุนก็อยากให้รับไว้เพื่อนำไปบริหารงานแต่ รรท.ผบช.น.ปฏิเสธพร้อมยืนยันว่าเป็นเงินผิดกฏหมายไม่สามารถรับไว้ได้ ทำให้นายตำรวจระดับสูงรุ่นน้องคนนั้นถึงกับหน้าถอดสีก่อนเดินทางกลับไป
สำหรับส่วยโฆษณาที่มีการระบุว่ามีอดีต ผบช.น. 2 คนเป็นผู้ลงนามกับบริษัทเอกชนนั้นรายงานข่าวแจ้งว่าทำกันมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปีคาดว่าจะมีเม็ดเงินสะสมหลายร้อยล้านบาท โดยในแต่ละเดือนจะมีตัวแทนบริษัทฯหอบเงินสดมาจ่ายให้ถึง บช.น.เป็นประจำแต่รายได้ทั้งหมดจะหักเข้าบัญชีสวัสดิการตำรวจนครบาล หรือ “กองทุนนครบาล” จำนวน 6 แสนบาทส่วนต่างที่เหลืออีก 9.4 ล้านบาทไม่ทราบว่าอดีต ผบช.ในขณะนั้นนำไปใช้จ่ายอะไรบ้างหรือเอาเข้ากระเป๋าตัวเอง ซึ่งในประเด็นนี้ยังมีข้อสังเกตอีกว่าเหตุใดการนำส่วยโฆษณาไปให้ รรท.ผบช.น.ครั้งล่าสุดจนเกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โตทำไมจึงลดลงเหลือแค่ 4 ล้านบาท
ส่วนการสืบสวนหาข้อเท็จจริงที่มีพล.ต.ต.จิตติ รอดบางยาง รองผบช.น.ในฐานะหัวหน้าชุดสืบสวนข้อเท็จจริงมีรายงานว่าได้ทะยอยเรียกนายตำรวจระดับต่างๆมาให้ข้อมูลเกือบทั้งหมดแล้วปรากฏว่ามี 2 บริษัทเอกชนเข้ามาเกี่ยวข้องจริง แต่ประเด็นที่เคยมีคำสั่งจาก 2 อดีต ผบช.น.ให้ร่วมมือกับบริษัทเอกชนอย่างไรหรือไม่นั้นทั้งหมดอ้างว่ามีเพียงนายตำรวจจากสำนักงานฯประสานมาเท่านั้นไม่เคยมีคำสั่งตรงจากอดีต ผบช.น.คนใด และผลประโยชน์ที่ระดับโรงพักบางแห่งไปทำสัญญานั้นต่างอ้างว่าเห็นทำต่อเนื่องกันมา และรายได้ไม่มากมายอะไรแค่หลักแสนบาท ก็นำไปใช้จ่ายบริหารงานป้องกันอาชญากรรมทั้งสิ้นซึ่งเมื่อสืบสวนเสร็จแล้วจะรายงานเสนอผู้บังคับบัญชาระดับสูง ราวปลายสัปดาห์หน้าเพื่อเห็นชอบในการดำเนินการต่อไป
จากเหตุการณ์ดังกล่าวบรรยากาศการทำงานของสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจนครบาล จึงเคร่งเครียดไม่ต่างอะไรกับผู้บริหารสีกากีระดับสูงในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะหากมีการสืบสวนดำเนินการถึงที่สุดจะต้องมีนายตำรวจระดับดาวรุ่งอาจเจอกับข้อหาทุจริตแบบ “ตายน้ำตื้น”ไม่เว้นแต่พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผบ.ตร.ซึ่งแม้จะรอดพ้นไปได้เพราะมีหมวกอีกใบในฐานะผู้นำองค์การสามารถทำหน้าที่เป็นนิติบุคคลได้
แต่การลงนามบันทึกข้อตกลงกับบริษัทแพลน บี มีเดียจำกัด(มหาชน)ในห้วงเวลาอยู่ในตำแหน่งรองผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศูนย์ปราบปรามการโจรกรรมรถ ผอ.ศปจร.ตร.) สามารถกระทำได้หรือไม่ อาจต้องตีความกันต่อไป นอกจากนั้นยังมีเรื่องของความสนิทสนมคุ้นเคยกันมีความเหมาะสมหรือไม่ อีกทั้งในความเป็นจริง ผบ.ตร.ผู้นี้ยังประกอบธุรกิจส่วนตัวหลายอย่าง และเป็นนักเล่นหุ้นตัวฉกาจซึ่งทันทีที่บริษัทแพลน บีฯเปิดตัว พร้อมกับลงนามบันทึกข้อตกลงกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเมื่อวันที่ 26 ส.ค.2557 อีก 3 วันต่อมาก็แถลงข่าวเตรียมเข้าตลาดหลักทรัพย์ จึงอาจจะถูกมองว่ามีประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่
อย่างไรก็ตามปฏิบัติการของพล.ต.ต.ศรีวราห์ รังสิพรหมณกุล รรท.ผบช.น.ครั้งนี้สร้างความสั่นสะเทือนกับวงการสีกากีเป็นอย่างยิ่งจนอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในยุทธจักรตำรวจ และเป็นสิ่งที่สังคมไทยต้องเฝ้าจับตากันต่อไป
สำหรับป้ายโฆษณาแอลอีดี ที่ติดตั้งบนป้อมตำรวจ หรือตามหน้าสถานีต่างๆถือเป็นป้ายโฆษณาซึ่งเข้าข่ายตาม พรบ.ภาษีป้าย ที่เป็นความรับผิดชอบของ กทม.โดยปกติต้องมีการเสียภาษีให้กับเจ้าพนักงานท้องถิ่นในสังกัดสำนักงานเขตที่นับผิดชอบ แต่หากเพื่อการประชาสัมพันธ์หรือแจ้งข่าวสารของทางราชการก็จะได้รับการยกเว้นแต่ในข้อเท็จจริงเป็นที่ทราบกันดีว่าป้ายบนป้อมตำรวจหรือตามหน้าสถานีส่วนใหญ่แอบแฝงโฆษณาสินค้า และบริการ ซึ่งอยู่ในข่ายต้องเสียภาษี แต่เมื่อมีตำรวจเข้ามาเกี่ยวข้องทาง กทม.จึงอนุโลมให้ทั้งที่มีโฆษณาอย่างโจ่งแจ้ง ผิดกฏหมายชัดเจน.
กรณีส่วยป้ายโฆษณาจอแอลอีดี ที่ทีมข่าวอาชญากรรม ASTVผู้จัดการ นำเสนอมาอย่างต่อเนื่องกลายเป็นเรื่องใหญ่ท้าท้ายจริยธรรม และยุคปฏิรูปประเทศไทยเป็นอย่างยิ่งเพราะเมื่อสาวลึกลงไปกลับพบว่ามีความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นมากมายโดยเฉพาะผลประโยชน์หลายร้อยล้านบาทที่มีนายตำรวจใหญ่เข้าไปเกี่ยวข้อง
มีรายงานว่า หลังจากพล.ต.ต.ศรีวราห์ รังสิพรหมณกุล รรท.ผบช.น.แสดงท่าทีแข็งกร้าวเอาจริงกับขบวนการฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมปรากฏว่าบรรยากาศของตำรวจนครบาล ซึ่งก่อนหน้ามีความเคร่งเครียดอยู่แล้วกลับเครียดหนักขึ้นไปอีก เพราะมีนายตำรวจระดับบริหารโรงพัก หรือผกก.ลงไปจนถึงระดับสารวัตรหลายนายเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยและอาจกระทบกับการแต่งตั้งโยกย้ายที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันนี้
นอกจากนั้นการสืบสวนเพื่อเอาผิดกับขบวนการโกงกินป้ายโฆษณายังมีนายตำรวจระดับสูงอยู่ในข่ายร่วมรับผิดชอบด้วย ประกอบด้วยอดีต ผบช.น.อย่างน้อย 2 คน
ข่าวแจ้งว่าขณะที่การสืบสวนดำเนินไปอย่างเข้มข้นนั้นมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในแวดวงตำรวจนครบาลอย่างกว้างขวางว่าเรื่องนี้คงไม่จบง่ายๆเพราะ รรท.ผบช.น.ได้ตั้งธงปัดกวาดบ้านตัวเองอย่างจริงจัง และที่ผ่านมายังเป็นนายตำรวจที่ชำนาญต่อคดีประเภทบุกรุกป่าบุกรุกที่สาธารณะ แต่พฤติการของนายตำรวจใหญ่ในอดีตกับบริษัทเอกชนร่วมกันยึดพื้นที่สาธารณะกลางกรุงหาประโยชน์กันมายาวนานนับ 10 ปี อีกทั้งมีหลักฐานทางเอกสาร จึงเชื่อว่าหากไม่เป็นมวยล้มต้มคนดูเสียก่อนจะต้องเป็นข่าวใหญ่ส่งท้ายในปลายปีอย่างแน่นอน
รายงานแจ้งด้วยว่า ก่อนพล.ต.ต.ศรีวราห์ จะตัดสินใจเดินหน้าทำเรื่องนี้นอกจากมีตัวแทนบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งหอบเงินสดจำนวน 4 ล้านบาทขึ้นมาให้ถึงสำนักงานจนถูกไล่ให้กลับไปแล้วปรากฏว่ามีนายตำรวจรุ่นน้องคนหนึ่งซึ่งมีส่วนพัวพันกับส่วยป้ายโฆษณาได้เดินทางมาพบ และขอให้รับเงินจำนวนนี้ไปโดยให้เหตุผลว่าปัจจุบันนครบาล ไม่มีเงินนอกระบบมาสนับสนุนก็อยากให้รับไว้เพื่อนำไปบริหารงานแต่ รรท.ผบช.น.ปฏิเสธพร้อมยืนยันว่าเป็นเงินผิดกฏหมายไม่สามารถรับไว้ได้ ทำให้นายตำรวจระดับสูงรุ่นน้องคนนั้นถึงกับหน้าถอดสีก่อนเดินทางกลับไป
สำหรับส่วยโฆษณาที่มีการระบุว่ามีอดีต ผบช.น. 2 คนเป็นผู้ลงนามกับบริษัทเอกชนนั้นรายงานข่าวแจ้งว่าทำกันมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปีคาดว่าจะมีเม็ดเงินสะสมหลายร้อยล้านบาท โดยในแต่ละเดือนจะมีตัวแทนบริษัทฯหอบเงินสดมาจ่ายให้ถึง บช.น.เป็นประจำแต่รายได้ทั้งหมดจะหักเข้าบัญชีสวัสดิการตำรวจนครบาล หรือ “กองทุนนครบาล” จำนวน 6 แสนบาทส่วนต่างที่เหลืออีก 9.4 ล้านบาทไม่ทราบว่าอดีต ผบช.ในขณะนั้นนำไปใช้จ่ายอะไรบ้างหรือเอาเข้ากระเป๋าตัวเอง ซึ่งในประเด็นนี้ยังมีข้อสังเกตอีกว่าเหตุใดการนำส่วยโฆษณาไปให้ รรท.ผบช.น.ครั้งล่าสุดจนเกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โตทำไมจึงลดลงเหลือแค่ 4 ล้านบาท
ส่วนการสืบสวนหาข้อเท็จจริงที่มีพล.ต.ต.จิตติ รอดบางยาง รองผบช.น.ในฐานะหัวหน้าชุดสืบสวนข้อเท็จจริงมีรายงานว่าได้ทะยอยเรียกนายตำรวจระดับต่างๆมาให้ข้อมูลเกือบทั้งหมดแล้วปรากฏว่ามี 2 บริษัทเอกชนเข้ามาเกี่ยวข้องจริง แต่ประเด็นที่เคยมีคำสั่งจาก 2 อดีต ผบช.น.ให้ร่วมมือกับบริษัทเอกชนอย่างไรหรือไม่นั้นทั้งหมดอ้างว่ามีเพียงนายตำรวจจากสำนักงานฯประสานมาเท่านั้นไม่เคยมีคำสั่งตรงจากอดีต ผบช.น.คนใด และผลประโยชน์ที่ระดับโรงพักบางแห่งไปทำสัญญานั้นต่างอ้างว่าเห็นทำต่อเนื่องกันมา และรายได้ไม่มากมายอะไรแค่หลักแสนบาท ก็นำไปใช้จ่ายบริหารงานป้องกันอาชญากรรมทั้งสิ้นซึ่งเมื่อสืบสวนเสร็จแล้วจะรายงานเสนอผู้บังคับบัญชาระดับสูง ราวปลายสัปดาห์หน้าเพื่อเห็นชอบในการดำเนินการต่อไป
จากเหตุการณ์ดังกล่าวบรรยากาศการทำงานของสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจนครบาล จึงเคร่งเครียดไม่ต่างอะไรกับผู้บริหารสีกากีระดับสูงในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะหากมีการสืบสวนดำเนินการถึงที่สุดจะต้องมีนายตำรวจระดับดาวรุ่งอาจเจอกับข้อหาทุจริตแบบ “ตายน้ำตื้น”ไม่เว้นแต่พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผบ.ตร.ซึ่งแม้จะรอดพ้นไปได้เพราะมีหมวกอีกใบในฐานะผู้นำองค์การสามารถทำหน้าที่เป็นนิติบุคคลได้
แต่การลงนามบันทึกข้อตกลงกับบริษัทแพลน บี มีเดียจำกัด(มหาชน)ในห้วงเวลาอยู่ในตำแหน่งรองผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศูนย์ปราบปรามการโจรกรรมรถ ผอ.ศปจร.ตร.) สามารถกระทำได้หรือไม่ อาจต้องตีความกันต่อไป นอกจากนั้นยังมีเรื่องของความสนิทสนมคุ้นเคยกันมีความเหมาะสมหรือไม่ อีกทั้งในความเป็นจริง ผบ.ตร.ผู้นี้ยังประกอบธุรกิจส่วนตัวหลายอย่าง และเป็นนักเล่นหุ้นตัวฉกาจซึ่งทันทีที่บริษัทแพลน บีฯเปิดตัว พร้อมกับลงนามบันทึกข้อตกลงกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเมื่อวันที่ 26 ส.ค.2557 อีก 3 วันต่อมาก็แถลงข่าวเตรียมเข้าตลาดหลักทรัพย์ จึงอาจจะถูกมองว่ามีประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่
อย่างไรก็ตามปฏิบัติการของพล.ต.ต.ศรีวราห์ รังสิพรหมณกุล รรท.ผบช.น.ครั้งนี้สร้างความสั่นสะเทือนกับวงการสีกากีเป็นอย่างยิ่งจนอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในยุทธจักรตำรวจ และเป็นสิ่งที่สังคมไทยต้องเฝ้าจับตากันต่อไป
สำหรับป้ายโฆษณาแอลอีดี ที่ติดตั้งบนป้อมตำรวจ หรือตามหน้าสถานีต่างๆถือเป็นป้ายโฆษณาซึ่งเข้าข่ายตาม พรบ.ภาษีป้าย ที่เป็นความรับผิดชอบของ กทม.โดยปกติต้องมีการเสียภาษีให้กับเจ้าพนักงานท้องถิ่นในสังกัดสำนักงานเขตที่นับผิดชอบ แต่หากเพื่อการประชาสัมพันธ์หรือแจ้งข่าวสารของทางราชการก็จะได้รับการยกเว้นแต่ในข้อเท็จจริงเป็นที่ทราบกันดีว่าป้ายบนป้อมตำรวจหรือตามหน้าสถานีส่วนใหญ่แอบแฝงโฆษณาสินค้า และบริการ ซึ่งอยู่ในข่ายต้องเสียภาษี แต่เมื่อมีตำรวจเข้ามาเกี่ยวข้องทาง กทม.จึงอนุโลมให้ทั้งที่มีโฆษณาอย่างโจ่งแจ้ง ผิดกฏหมายชัดเจน.