ASTVผู้จัดการรายวัน-"ประยุทธ์"การันตีนักลงทุนต่างชาติ อย่ากังวลเรื่องประชาธิปไตยในไทย ยันใช้อำนาจอย่างสร้างสรรค์ รับรองมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นแน่ แต่ต้องแก้ไขปัญหาในประเทศให้ได้ก่อน ยันเดินหน้าแก้ปัญหาคอร์รัปชั่น "อุดมเดช"แย้มยังไม่เลิกกฎอัยการศึกช่วงปีใหม่ หลังยังมีกระแสต้าน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวปาฐกถากับสมาชิกหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย ที่โรงแรมพลาซ่าแอทธินี กรุงเทพฯ ตอนหนึ่งว่า ขณะนี้รัฐบาลกำลังเดินมาตรการตามแผนโรดแมปที่วางไว้ โดยเร่งสร้างความมั่นใจและแก้ปัญหาในทุกๆ ด้านที่มีอยู่ สอดคล้องไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจของไทย และประชาคมโลก โดยกำหนดแผนการดำเนินการ 3 ระดับ คือ ระยะแรก ได้ดำเนินการไปแล้ว สอง การดำเนินการในการปฏิรูป ซึ่งตั้งแต่รัฐบาลเข้ามาทำงาน ในฐานะ นายกฯ ในเดือน ส.ค. ตนได้นำครม. ผู้แทนของกระทรวง ทีมเศรษฐกิจ เดินหน้าในการทำหน้าที่ และมีการวางมาตรการเตรียมความพร้อมมาตั้งแต่เข้ายึดอำนาจใน 3 เดือนแรก ซึ่งพอมีรัฐบาล ทุกอย่างก็เดินหน้าต่อได้ทันที โดยนโยบายของเรา คือ เอาปัญหาทั้งหมดที่มีอยู่มาแก้ รวมทั้งการเดินหน้าในเรื่องของเศรษฐกิจตามแผนที่วางไว้ แต่ต้องยอมรับว่า เศรษฐกิจ มีการชะลอตัว เพราะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว โดยมีการแก้กฎหมายหลายฉบับ เพื่อรักษาความปลอดภัย และดูแลทั้งคนในชาติและชาวต่างประเทศ วันนี้ถือว่าเราเป็นประชาธิปไตยมากกว่าปกติด้วยซ้ำ
“ขอให้ทุกท่านไม่ต้องกังวลในเรื่องของประชาธิปไตย เพราะที่ผมเข้ามา ก็ใช้อำนาจในทางสร้างสรรค์ และรับรองว่าจะมีการเลือกตั้งอย่างแน่นอน ระหว่างนี้ ก็ต้องแก้ปัญหากันไป และเมื่อมีการเลือกตั้ง ทุกอย่างจะดีกว่าเดิมด้วยซ้ำไป ดังนั้น ทุกคนต้องช่วยกันขับเคลื่อน และที่ผ่าน มาพวกท่าน อาจจะเจอปัญหาเกี่ยวกับเรื่องการชุมนุมประท้วง แต่ยืนยันว่าจะไม่ให้มีความวุ่นวายการประท้วงอย่างเด็ดขาด และไม่ต้องกังวลเรื่องการประกาศใช้กฎอัยการศึก เพราะที่ประกาศออกมา เราดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของทุกคน และใช้อย่างสร้างสรรค์ 6เดือนที่ผ่านมา เราพยายามทำให้เห็นอย่างชัดเจน แต่หากมีอะไรขอให้เสนอแนะเข้ามาได้ เราจะสร้างความเชื่อมั่นให้พวกท่าน เชื่อว่าปีหน้าจะมีการลงทุนในประเทศไทยเพิ่มเป็น 2 เท่า"พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ยังย้ำอีกว่า ระหว่างนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ก็เดินหน้าในเรื่องกฎหมายต่างๆ ขณะที่สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ก็เดินหน้าปฏิรูป โดยหากใครมีข้อเสนอแนะ ขอให้เสนอมา เราพร้อมรับฟังทุกเรื่อง ขณะนี้เรามีการปฏิรูป 18 ประเด็นใน 11 เรื่อง
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า วันนี้อย่างเร่งรัดเรามากมาย เพราะมันเป็นเรื่องภายในของเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเลือกตั้ง การปฏิรูป เรากำลังดำเนินการอยู่ โดยเฉพาะการเลือกตั้ง เดี๋ยวค่อยว่ากัน ทั้งนี้ ยอมรับว่าตนเจอปัญหาหนัก อีกทั้งเป็นทหารมา 38 ปี เพิ่งมาเป็นนายกฯ เพียง 3 เดือน ก็อย่าว่ากันมากเลย และทั้งหมดที่รัฐบาลดำเนินการ จะเป็นผลดีกับภาคธุรกิจ และตามแผน 1 ปี ที่วางไว้จะเป็นผลดีไปถึงรัฐบาลต่อไปด้วย เพื่อให้ประเทศไทยเดินหน้า 1 ปี ต้องทำให้ได้ แต่ถ้าไม่ทัน ต้องส่งต่อให้รัฐบาลต่อไปดำเนินการต่อ แต่ตอนนี้ ต้องยอมรับว่าอุปสรรค์ของประเทศไทยเริ่มการปฏิรูปช้า แต่ต้องเตรียมตัวให้พร้อมและเดินหน้าต่อไป เราจะไม่เป็นคู่แข่งกับใคร เพราะต่างประเทศได้เดินหน้าไปแล้ว วันนี้เราขอเป็นเสือหมอบก่อนที่จะเดินทางไปข้างหน้า
จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ได้ตอบคำถามกับนักลุงทุนเกี่ยวกับเรื่องการปราบปรามการคอร์รัปชั่นในประเทศไทยว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ และวางไว้เป็นวาระของชาติ ตั้งแต่เข้ามาได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการทุจริตในภารรัฐ โดย คสช. ซึ่งมีการตรวจสอบ 28โครงการ เป็นโครงการที่มีมูลค่า1,000 ล้านบาทขึ้นไป โครงการใดที่สามารถดำเนินการต่อได้ก็ทำต่อ ถ้าทำไม่ได้ ก็ส่งต่อเข้ากระบวนการยุติธรรม การตรวจสอบไม่ได้มีเฉพาะทหาร มีพลเรือนฝ่ายกฎหมายปกติมาร่วมตรวจสอบด้วย และทั้ง 28 โครงการเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่น่าสงสัย
นอกจากนี้ ยังมีการสุ่มตรวจหลายโครงการต่างๆ อยู่ด้วย โดยใช้กระบวนการ 2 ทาง คือ อำนาจจากฝ่ายบริหาร คือ รัฐบาล และ คสช. และการตรวจสอบขององค์กรอิสระ และโครงการของรัฐในปีต่อไป จะมีการประสานบุคคลภายนอกมาดูแลเรื่องการทุจริตคอรัปชั่น เพื่อตรวจสอบโครงการขนาดใหญ่ ทั้งโครงการรถโดยสาร รถไฟและโครงการบริหารจัดการน้ำด้วย และหากผู้ลงทุนสามารถลดราคาได้ร้อยละ 30 โดยไม่มีการลดคุณภาพ รัฐบาลก็ยินดี และเรื่องการทุจริตคอรัปชั่นเราจะปฏิรูปทั้ง 3 ระบบ ทั้งนโยบายการขับเคลื่อนและผู้ปฏิบัติ เพราะวันนี้ยังมีช่องว่างของกฎหมายและการสมยอมของผู้ประกอบการและเจ้าของงบประมาณ รวมทั้งปลูกฝังให้คนไทยรังเกียดการทุจริตทั้งประเทศ พร้อมเห็นว่าการดำเนินโครงการใหญ่ต้องไม่ล่าช้า เพราะความล่าช้าทำให้เกิดการทุจริต
ทางด้าน พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ในฐานะ ผบ.ทบ. และเลขาธิการ คสช. กล่าวถึงแนวโน้มการยกเลิกกฎอัยการศึกในพื้นที่ท่องเที่ยวช่วงปีใหม่ว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ถ้ายังมีสิ่งที่เห็นว่ามีความจำเป็นต้องใช้กฎหมายพิเศษ ก็ยังต้องใช้อยู่ แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีแนวความคิดอะไรเลย ยอมรับว่ามี แต่ต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป ถ้าสถานการณ์นิ่ง ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ แต่หากยังมีกระแสอะไรอยู่บ้าง ก็ยังจำเป็นอยู่
เมื่อถามว่า กลุ่มคนที่ชู 3 นิ้ว เป็นปัจจัยที่ต้องคงกฎอัยการศึกหรือไม่ พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า ก็คงต้องทำความเข้าใจ คิดว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจ ส่วนกรณีที่ พล.ท.กัมปนาท รุดดิษฐ์ แม่ทัพภาคที่ 1 และผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (ผบ.กกล.รส.) ออกมาเปิดเผยข้อมูลของกลุ่มเคลื่อนไหวนั้น แม่ทัพภาคที่ 1 เป็นผู้ใต้บังคับบัญชา และตนเป็นผบ.ทบ. ถ้ามีอะไรก็มาถามตนได้ เรื่องนี้อาจจะมีข้อมูล แต่ต้องตรวจสอบต่อไป การที่พูดออกไป ก็ไม่ได้เจาะจงว่าจะเป็นอะไร ในเรื่องของข้อมูลอาจจะมีบ้าง แต่กลุ่มคนเหล่านั้น ก็เป็นเด็กนักศึกษา ตนเองก็มีลูก และมีความเข้าใจ ไม่ได้ไปปิดกั้นอะไร
"แค่อยากตั้งคำถามว่าสิ่งที่ทำกับผู้นำสูงสุดของประเทศนั้น สมควรหรือไม่ เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ ก็เห็นว่าไม่เหมาะสม เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ลงพื้นที่ด้วยความตั้งใจดี แต่เมื่อเห็นว่าไม่เหมาะสม ก็ต้องทำความเข้าใจ โดยมีกระบวนการในการแก้ไขความไม่เหมาะสมนี้บ้าง ซึ่งก็ขอให้เข้าใจ เมื่อมีเรื่องเกิดขึ้น ก็ต้องตามว่าเป็นใคร เป็นเรื่องปกติ เมื่อรู้ว่าเป็นใคร ก็ต้องทำความเข้าใจเพิ่มเติม"พล.อ.อุดมเดชกล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวปาฐกถากับสมาชิกหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย ที่โรงแรมพลาซ่าแอทธินี กรุงเทพฯ ตอนหนึ่งว่า ขณะนี้รัฐบาลกำลังเดินมาตรการตามแผนโรดแมปที่วางไว้ โดยเร่งสร้างความมั่นใจและแก้ปัญหาในทุกๆ ด้านที่มีอยู่ สอดคล้องไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจของไทย และประชาคมโลก โดยกำหนดแผนการดำเนินการ 3 ระดับ คือ ระยะแรก ได้ดำเนินการไปแล้ว สอง การดำเนินการในการปฏิรูป ซึ่งตั้งแต่รัฐบาลเข้ามาทำงาน ในฐานะ นายกฯ ในเดือน ส.ค. ตนได้นำครม. ผู้แทนของกระทรวง ทีมเศรษฐกิจ เดินหน้าในการทำหน้าที่ และมีการวางมาตรการเตรียมความพร้อมมาตั้งแต่เข้ายึดอำนาจใน 3 เดือนแรก ซึ่งพอมีรัฐบาล ทุกอย่างก็เดินหน้าต่อได้ทันที โดยนโยบายของเรา คือ เอาปัญหาทั้งหมดที่มีอยู่มาแก้ รวมทั้งการเดินหน้าในเรื่องของเศรษฐกิจตามแผนที่วางไว้ แต่ต้องยอมรับว่า เศรษฐกิจ มีการชะลอตัว เพราะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว โดยมีการแก้กฎหมายหลายฉบับ เพื่อรักษาความปลอดภัย และดูแลทั้งคนในชาติและชาวต่างประเทศ วันนี้ถือว่าเราเป็นประชาธิปไตยมากกว่าปกติด้วยซ้ำ
“ขอให้ทุกท่านไม่ต้องกังวลในเรื่องของประชาธิปไตย เพราะที่ผมเข้ามา ก็ใช้อำนาจในทางสร้างสรรค์ และรับรองว่าจะมีการเลือกตั้งอย่างแน่นอน ระหว่างนี้ ก็ต้องแก้ปัญหากันไป และเมื่อมีการเลือกตั้ง ทุกอย่างจะดีกว่าเดิมด้วยซ้ำไป ดังนั้น ทุกคนต้องช่วยกันขับเคลื่อน และที่ผ่าน มาพวกท่าน อาจจะเจอปัญหาเกี่ยวกับเรื่องการชุมนุมประท้วง แต่ยืนยันว่าจะไม่ให้มีความวุ่นวายการประท้วงอย่างเด็ดขาด และไม่ต้องกังวลเรื่องการประกาศใช้กฎอัยการศึก เพราะที่ประกาศออกมา เราดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของทุกคน และใช้อย่างสร้างสรรค์ 6เดือนที่ผ่านมา เราพยายามทำให้เห็นอย่างชัดเจน แต่หากมีอะไรขอให้เสนอแนะเข้ามาได้ เราจะสร้างความเชื่อมั่นให้พวกท่าน เชื่อว่าปีหน้าจะมีการลงทุนในประเทศไทยเพิ่มเป็น 2 เท่า"พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ยังย้ำอีกว่า ระหว่างนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ก็เดินหน้าในเรื่องกฎหมายต่างๆ ขณะที่สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ก็เดินหน้าปฏิรูป โดยหากใครมีข้อเสนอแนะ ขอให้เสนอมา เราพร้อมรับฟังทุกเรื่อง ขณะนี้เรามีการปฏิรูป 18 ประเด็นใน 11 เรื่อง
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า วันนี้อย่างเร่งรัดเรามากมาย เพราะมันเป็นเรื่องภายในของเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเลือกตั้ง การปฏิรูป เรากำลังดำเนินการอยู่ โดยเฉพาะการเลือกตั้ง เดี๋ยวค่อยว่ากัน ทั้งนี้ ยอมรับว่าตนเจอปัญหาหนัก อีกทั้งเป็นทหารมา 38 ปี เพิ่งมาเป็นนายกฯ เพียง 3 เดือน ก็อย่าว่ากันมากเลย และทั้งหมดที่รัฐบาลดำเนินการ จะเป็นผลดีกับภาคธุรกิจ และตามแผน 1 ปี ที่วางไว้จะเป็นผลดีไปถึงรัฐบาลต่อไปด้วย เพื่อให้ประเทศไทยเดินหน้า 1 ปี ต้องทำให้ได้ แต่ถ้าไม่ทัน ต้องส่งต่อให้รัฐบาลต่อไปดำเนินการต่อ แต่ตอนนี้ ต้องยอมรับว่าอุปสรรค์ของประเทศไทยเริ่มการปฏิรูปช้า แต่ต้องเตรียมตัวให้พร้อมและเดินหน้าต่อไป เราจะไม่เป็นคู่แข่งกับใคร เพราะต่างประเทศได้เดินหน้าไปแล้ว วันนี้เราขอเป็นเสือหมอบก่อนที่จะเดินทางไปข้างหน้า
จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ได้ตอบคำถามกับนักลุงทุนเกี่ยวกับเรื่องการปราบปรามการคอร์รัปชั่นในประเทศไทยว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ และวางไว้เป็นวาระของชาติ ตั้งแต่เข้ามาได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการทุจริตในภารรัฐ โดย คสช. ซึ่งมีการตรวจสอบ 28โครงการ เป็นโครงการที่มีมูลค่า1,000 ล้านบาทขึ้นไป โครงการใดที่สามารถดำเนินการต่อได้ก็ทำต่อ ถ้าทำไม่ได้ ก็ส่งต่อเข้ากระบวนการยุติธรรม การตรวจสอบไม่ได้มีเฉพาะทหาร มีพลเรือนฝ่ายกฎหมายปกติมาร่วมตรวจสอบด้วย และทั้ง 28 โครงการเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่น่าสงสัย
นอกจากนี้ ยังมีการสุ่มตรวจหลายโครงการต่างๆ อยู่ด้วย โดยใช้กระบวนการ 2 ทาง คือ อำนาจจากฝ่ายบริหาร คือ รัฐบาล และ คสช. และการตรวจสอบขององค์กรอิสระ และโครงการของรัฐในปีต่อไป จะมีการประสานบุคคลภายนอกมาดูแลเรื่องการทุจริตคอรัปชั่น เพื่อตรวจสอบโครงการขนาดใหญ่ ทั้งโครงการรถโดยสาร รถไฟและโครงการบริหารจัดการน้ำด้วย และหากผู้ลงทุนสามารถลดราคาได้ร้อยละ 30 โดยไม่มีการลดคุณภาพ รัฐบาลก็ยินดี และเรื่องการทุจริตคอรัปชั่นเราจะปฏิรูปทั้ง 3 ระบบ ทั้งนโยบายการขับเคลื่อนและผู้ปฏิบัติ เพราะวันนี้ยังมีช่องว่างของกฎหมายและการสมยอมของผู้ประกอบการและเจ้าของงบประมาณ รวมทั้งปลูกฝังให้คนไทยรังเกียดการทุจริตทั้งประเทศ พร้อมเห็นว่าการดำเนินโครงการใหญ่ต้องไม่ล่าช้า เพราะความล่าช้าทำให้เกิดการทุจริต
ทางด้าน พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ในฐานะ ผบ.ทบ. และเลขาธิการ คสช. กล่าวถึงแนวโน้มการยกเลิกกฎอัยการศึกในพื้นที่ท่องเที่ยวช่วงปีใหม่ว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ถ้ายังมีสิ่งที่เห็นว่ามีความจำเป็นต้องใช้กฎหมายพิเศษ ก็ยังต้องใช้อยู่ แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีแนวความคิดอะไรเลย ยอมรับว่ามี แต่ต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป ถ้าสถานการณ์นิ่ง ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ แต่หากยังมีกระแสอะไรอยู่บ้าง ก็ยังจำเป็นอยู่
เมื่อถามว่า กลุ่มคนที่ชู 3 นิ้ว เป็นปัจจัยที่ต้องคงกฎอัยการศึกหรือไม่ พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า ก็คงต้องทำความเข้าใจ คิดว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจ ส่วนกรณีที่ พล.ท.กัมปนาท รุดดิษฐ์ แม่ทัพภาคที่ 1 และผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (ผบ.กกล.รส.) ออกมาเปิดเผยข้อมูลของกลุ่มเคลื่อนไหวนั้น แม่ทัพภาคที่ 1 เป็นผู้ใต้บังคับบัญชา และตนเป็นผบ.ทบ. ถ้ามีอะไรก็มาถามตนได้ เรื่องนี้อาจจะมีข้อมูล แต่ต้องตรวจสอบต่อไป การที่พูดออกไป ก็ไม่ได้เจาะจงว่าจะเป็นอะไร ในเรื่องของข้อมูลอาจจะมีบ้าง แต่กลุ่มคนเหล่านั้น ก็เป็นเด็กนักศึกษา ตนเองก็มีลูก และมีความเข้าใจ ไม่ได้ไปปิดกั้นอะไร
"แค่อยากตั้งคำถามว่าสิ่งที่ทำกับผู้นำสูงสุดของประเทศนั้น สมควรหรือไม่ เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ ก็เห็นว่าไม่เหมาะสม เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ลงพื้นที่ด้วยความตั้งใจดี แต่เมื่อเห็นว่าไม่เหมาะสม ก็ต้องทำความเข้าใจ โดยมีกระบวนการในการแก้ไขความไม่เหมาะสมนี้บ้าง ซึ่งก็ขอให้เข้าใจ เมื่อมีเรื่องเกิดขึ้น ก็ต้องตามว่าเป็นใคร เป็นเรื่องปกติ เมื่อรู้ว่าเป็นใคร ก็ต้องทำความเข้าใจเพิ่มเติม"พล.อ.อุดมเดชกล่าว