ASTV ผู้จัดการายวัน - ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ลดเป้ามาร์เก็ตแคป หุ้น IPO ทั้ง SET และ mai ทั้งปี 2558 ลงเหลือ 2.5 แสนล้านบาท จากทั้งปี 2557 ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 3.5 แสนล้านบาท เพราะบริษัทปรับแผนมาเร่งจดทะเบียนให้ทันภายในสิ้นปีนี้ เผนมีแผนศึกษาชำระราคา T+2จากเดิมT+3 พร้อมดันวอลุ่มซื้อขาย 5.2 หมื่นล้านบาทต่อวัน จากปีนี้ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 4.4 หมื่นล้านบาทต่อวัน
นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. กล่าวว่า ปี 2558 ตลท.ตั้งเป้ามูลค่าตลาดรวมจากหลักทรัพย์เข้าใหม่ หรือ มาร์เก็ตแคป หุ้น IPO ที่เข้าจดทะเบียนทั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์ mai รวม 250,000 ล้านบาท และ มูลค่าระดมทุนเพิ่มในตลท.อีก 130,000 ล้านบาท โดยเน้นเพิ่มบริษัทจดทะเบียนใหม่ ใน 4 กลุ่มอุตสาหกรรม คือ ขนส่งและโลจิสติกส์ การท่องเที่ยวและสุขภาพ พลังงานทางเลือก เกษตรและอาหาร นอกจากนี้จะเพิ่มปริมาณการซื้อขายเป็น 52,000 ล้านบาทต่อวัน จากปีนี้อยู่ที่ 40,000 ล้านบาทต่อวัน เพิ่มจำนวนผู้ลงทุนใหม่อีก 95,000 ราย จากปีนี้ที่ 9 เดือนแรก มีนักลงทุนหน้าใหม่แล้ว 82,000 ราย สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ทั้งปี จำนวน 80,000 ราย และเพิ่มสัญญาการซื้อขายตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเป็น 190,000 สัญญา ต่อวัน
กรรมการและผู้จัดการ ตลท. กล่าวว่า ในปี 2563 ตั้งเป้าจะมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือ มาร์เก็ตแคป ที่ 30 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 15 ล้านล้านบาท จากปีนี้ที่คาดว่ามาร์เก็ตแคปตลท.จะอยู่ที่ 15 ล้านล้านบาท และตั้งเป้ามูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันจะอยู่ที่ 1 แสนล้านบาท/วัน เพิ่มขึ้น 5.6 หมื่นล้านบาท/วัน จากสิ้นปี 2557 คาดว่าจะอยู่ที่ 4.4 หมื่นล้านบาท/วัน จากการขยายฐานนักลงทุนรายใหม่เพิ่มขึ้น และราคาหุ้นได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น
"ตลท.มีแผนที่จะเพิ่มมาร์เก็ตแคปของตลท.อีก 2 เท่าตัว ปัจจุบันอยู่ที่ 30 ล้านล้านบาท จากการเพิ่ม IPO ของบริษัทไทยและต่างประเทศที่เข้ามาจดทะเบียนและการขยายฐานนักลงทุนใหม่เพิ่มขึ้น และราคาหุ้นที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น” นางเกศรา กล่าว
นอกจากนี้ในปีหน้าตลท. มีแผนศึกษาเพื่อลดระยะเวลาในการชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ให้สามารถดำเนินการได้ภายใน 2 วันทำการ (T+2) จากปัจจุบันอยู่ที่ 3 วันทำการ (T+3) เนื่องจากต้องการให้เป็นไปตามมาตรฐานโลก ซึ่งการเปลี่ยนมาใช้ T+2 จะเกิดผลดีทำให้มีการชำระราคาได้เร็วขึ้น และทำให้ลดความเสี่ยงในการชำระราคา ซึ่งในประเทศแถบยุโรปจะมีการชำระราคาเป็น T+2 เริ่มในเดือน ม.ค.ปีหน้า ขณะที่ตลาดสิงคโปร์มีการเป็น T+2 เปลี่ยนในปี 2559
“ตลท.จะต้องมีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในตลาดทุนทั้งหมดในเรื่องความพร้อมในการเปลี่ยนการชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ให้เร็วขึ้น เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานโลก จากที่ตลท.มีฐานนักลงทุนในต่างประเทศเข้ามาลงทุน โดยในปีหน้าจะได้ข้อสรุปว่าจะมีการเริ่มใช้ T+2 เมื่อไหร่” นางเกศรา กล่าว
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการฯ ตลท. ระบุ ปีนี้จะมีบริษัทเข้ามาจดทะเบียนใน SET และ mai รวม 47 บริษัท มาร์เก็ตแคป 3.5 แสนล้านบาท และมีมูลค่าระดมทุน 1.2 แสนล้านบาท โดยในเดือน ธ.ค.จะมีบริษัทเข้าจดทะเบียนรวม 7 บริษัท แบ่งเป็นเข้า SET 1 บริษัท mai 2 บริษัท และมีกองทุนเตรียมเข้าจดทะเบียนอีก 4 กอง ณ วันที่ 2 ธ.ค.มีบริษัทเข้าจดทะเบียนแล้วรวม 40 บริษัท แบ่งเป็นเข้า SET 15 บริษัท mai 18 บริษัท และมีกองทุนเข้าจดทะเบียน 7 กอง มูลค่าระดมทุน 1.01 แสนล้านบาท มาร์เก็ตแคป 2.78 แสนล้านบาท
ด้านนายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ประธานคณะกรรมการ ตลท. กล่าวถึงแผนงานในปี 2558 ว่า ตลท. ตั้งเป้าเป็นตลาดหลักทรัพย์ ดิจิตอล หรือ Digital Exchange เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายดิจิตอล อีโคโนมี ของรัฐบาล และรองรับฐานธุรกิจใหม่ โดยจะพัฒนาระบบการซื้อขาย และ ระบบชำระราคาให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล พัฒนาสัญญาการซื้อขายล่วงหน้าให้มีมากขึ้น และ สามารถซื้อขายในสกุลอื่น ๆ เช่น ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อให้เกิดช่องทางการซื้อขายที่หลากหลาย และพร้อมร่วมกับตลาดทุนในกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขงอย่างต่อเนื่อง
นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. กล่าวว่า ปี 2558 ตลท.ตั้งเป้ามูลค่าตลาดรวมจากหลักทรัพย์เข้าใหม่ หรือ มาร์เก็ตแคป หุ้น IPO ที่เข้าจดทะเบียนทั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์ mai รวม 250,000 ล้านบาท และ มูลค่าระดมทุนเพิ่มในตลท.อีก 130,000 ล้านบาท โดยเน้นเพิ่มบริษัทจดทะเบียนใหม่ ใน 4 กลุ่มอุตสาหกรรม คือ ขนส่งและโลจิสติกส์ การท่องเที่ยวและสุขภาพ พลังงานทางเลือก เกษตรและอาหาร นอกจากนี้จะเพิ่มปริมาณการซื้อขายเป็น 52,000 ล้านบาทต่อวัน จากปีนี้อยู่ที่ 40,000 ล้านบาทต่อวัน เพิ่มจำนวนผู้ลงทุนใหม่อีก 95,000 ราย จากปีนี้ที่ 9 เดือนแรก มีนักลงทุนหน้าใหม่แล้ว 82,000 ราย สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ทั้งปี จำนวน 80,000 ราย และเพิ่มสัญญาการซื้อขายตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเป็น 190,000 สัญญา ต่อวัน
กรรมการและผู้จัดการ ตลท. กล่าวว่า ในปี 2563 ตั้งเป้าจะมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือ มาร์เก็ตแคป ที่ 30 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 15 ล้านล้านบาท จากปีนี้ที่คาดว่ามาร์เก็ตแคปตลท.จะอยู่ที่ 15 ล้านล้านบาท และตั้งเป้ามูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันจะอยู่ที่ 1 แสนล้านบาท/วัน เพิ่มขึ้น 5.6 หมื่นล้านบาท/วัน จากสิ้นปี 2557 คาดว่าจะอยู่ที่ 4.4 หมื่นล้านบาท/วัน จากการขยายฐานนักลงทุนรายใหม่เพิ่มขึ้น และราคาหุ้นได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น
"ตลท.มีแผนที่จะเพิ่มมาร์เก็ตแคปของตลท.อีก 2 เท่าตัว ปัจจุบันอยู่ที่ 30 ล้านล้านบาท จากการเพิ่ม IPO ของบริษัทไทยและต่างประเทศที่เข้ามาจดทะเบียนและการขยายฐานนักลงทุนใหม่เพิ่มขึ้น และราคาหุ้นที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น” นางเกศรา กล่าว
นอกจากนี้ในปีหน้าตลท. มีแผนศึกษาเพื่อลดระยะเวลาในการชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ให้สามารถดำเนินการได้ภายใน 2 วันทำการ (T+2) จากปัจจุบันอยู่ที่ 3 วันทำการ (T+3) เนื่องจากต้องการให้เป็นไปตามมาตรฐานโลก ซึ่งการเปลี่ยนมาใช้ T+2 จะเกิดผลดีทำให้มีการชำระราคาได้เร็วขึ้น และทำให้ลดความเสี่ยงในการชำระราคา ซึ่งในประเทศแถบยุโรปจะมีการชำระราคาเป็น T+2 เริ่มในเดือน ม.ค.ปีหน้า ขณะที่ตลาดสิงคโปร์มีการเป็น T+2 เปลี่ยนในปี 2559
“ตลท.จะต้องมีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในตลาดทุนทั้งหมดในเรื่องความพร้อมในการเปลี่ยนการชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ให้เร็วขึ้น เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานโลก จากที่ตลท.มีฐานนักลงทุนในต่างประเทศเข้ามาลงทุน โดยในปีหน้าจะได้ข้อสรุปว่าจะมีการเริ่มใช้ T+2 เมื่อไหร่” นางเกศรา กล่าว
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการฯ ตลท. ระบุ ปีนี้จะมีบริษัทเข้ามาจดทะเบียนใน SET และ mai รวม 47 บริษัท มาร์เก็ตแคป 3.5 แสนล้านบาท และมีมูลค่าระดมทุน 1.2 แสนล้านบาท โดยในเดือน ธ.ค.จะมีบริษัทเข้าจดทะเบียนรวม 7 บริษัท แบ่งเป็นเข้า SET 1 บริษัท mai 2 บริษัท และมีกองทุนเตรียมเข้าจดทะเบียนอีก 4 กอง ณ วันที่ 2 ธ.ค.มีบริษัทเข้าจดทะเบียนแล้วรวม 40 บริษัท แบ่งเป็นเข้า SET 15 บริษัท mai 18 บริษัท และมีกองทุนเข้าจดทะเบียน 7 กอง มูลค่าระดมทุน 1.01 แสนล้านบาท มาร์เก็ตแคป 2.78 แสนล้านบาท
ด้านนายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ประธานคณะกรรมการ ตลท. กล่าวถึงแผนงานในปี 2558 ว่า ตลท. ตั้งเป้าเป็นตลาดหลักทรัพย์ ดิจิตอล หรือ Digital Exchange เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายดิจิตอล อีโคโนมี ของรัฐบาล และรองรับฐานธุรกิจใหม่ โดยจะพัฒนาระบบการซื้อขาย และ ระบบชำระราคาให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล พัฒนาสัญญาการซื้อขายล่วงหน้าให้มีมากขึ้น และ สามารถซื้อขายในสกุลอื่น ๆ เช่น ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อให้เกิดช่องทางการซื้อขายที่หลากหลาย และพร้อมร่วมกับตลาดทุนในกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขงอย่างต่อเนื่อง