xs
xsm
sm
md
lg

ป.ป.ช.สอบทรัพย์สิน3นายพลนำจับเสี่ยโจ้1ล.ยันโพยตร.งาบส่วยกว่า10ราย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผบ.ตร.ตั้งรางวัลนำจับผู้แจ้งเบาะแส "เสี่ยโจ้" 1 ล้านบาท ผู้ต้องหาคดีฟอกเงินและลักลอบค้านำมันเถื่อน ปัดเรียกนายพลสีกากี ชี้นายกฯ ยังสั่งทำตามกม.-หลักฐาน ห้ามป้ายสี "ประวุฒิ"ระบุ ผลสอบโพยตร.งาบส่วย"เสี่ยโจ้" มีแค่ 10 กว่าราย ไม่มียศนายพลเข้าเกี่ยวข้อง ป.ป.ช.ขอข้อมูลสอบบัญชี 3 นายพลเข้าข่ายร่ำรวยผิดปกติหรือไม่ รรท.ผบก.ป สั่งผู้บังคับบัญชาต้นสังกัด เร่งหาตัว"รอง ทรงรักษ์" ที่ยังหายตัว เส้นตายขาดอายุราชการติดต่อกัน 30 วันไล่ออก มท.สั่งยกเลิกใช้นามสกุลพระราชทาน “อัครพงศ์ปรีชา”

วานนี้(1 ธ.ค.)ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.ได้สั่งการว่า จะมอบเงินรางวัลนำจับ 1ล้านบาทกับผู้ที่ให้ข้อมูลและชี้เบาะแส จนสามารถนำไปสู่การจับกุมนายสหชัย เจียรเสริมสิน หรือ เสี่ยโจ้ ผู้ต้องหาคดีฟอกเงินและลักลอบค้านำมันเถื่อน โดยเงินจำนวนนี้เป็นเงินที่ได้จากผู้สนับสนุนกิจการ โดย“เสี่ยโจ้” นักโทษหนีคุกจากคำสั่งศาลจังหวัดปัตตานี ยังคงหายตัวเข้ากลีบเมฆ หลังศาลมีคำพิพากษาให้จำคุก 1 ปี 9 เดือน โดยไม่รอลงอาญา ฐานปลอมแปลงเอกสารตราประทับ ก่อนหายตัวไปเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 9 ต.ค.ที่ผ่านมา

ด้าน พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงความคืบหน้าคดี พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) และพวกรวม 22 คนซึ่งมีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับขบวนการค้าและส่งส่วยน้ำมันเถื่อนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ส่วนที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันเถื่อนยังไม่ได้เรียกพบใคร หากมีการเรียกพบจะเป็นในส่วนของพนักงานสอบสวนที่เรียกไปให้ปากคำ โดยจะเรียกผู้ที่มีรายชื่อเกี่ยวข้องแต่เรียกมาให้ถ้อยคำหรือให้ปากคำ ยังไม่ถือว่ามีความผิด จนกว่าจะมีข้อมูลปรากฏว่ามีส่วนเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับน้ำมันเถื่อน

“ในส่วนของตำรวจน้ำ ขณะนี้มีเพียง พล.ต.ต.บุญสืบ ไพรเถื่อน อดีตผู้บังคับการตำรวจน้ำ ที่ถูกดำเนินคดี ส่วนคนอื่นรวมทั้งคนที่ถูกเชิญให้ถ้อยคำ ยังไม่ได้รับทราบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดี”

ผู้สื่อข่าวถามถึง รองฯ โส และ ผกก.โย๊ะ ที่ ผบ.ตร.ออกมาระบุว่ามีชื่อในบัญชีรับส่วยน้ำมันเถื่อนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่อย่างไร พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า ต้องให้เวลาพนักงานสอบสวน รวมทั้งสืบข้อเท็จจริงก่อนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่

“สอบสวนถึงใครแค่ไหนแค่นั้น ไม่จำเป็นต้องทุกคน หรือคาดเดาว่าใครจะเกี่ยว อยู่ที่พยานหลักฐาน ต้องให้ความเป็นธรรม ความยุติธรรมกับทุกคน หากมีหลักฐานหลักฐานก็ว่าตามหลักฐาน ผมไม่ช่วยเหลือ ปกป้องผู้กระทำความผิด แต่หากไม่ปรากฏหลักฐานเอาผิดได้ก็อีกเรื่องหนึ่ง จะเอาความรู้สึกมาจับไม่ได้ รวมถึงเรื่องบ่อน ซื้อขายตำแหน่ง แอบอ้างชื่อเพื่อผลประโยชน์ หากมีหลักฐานก็จะทำ แต่ถ้าหลักฐานไม่สามารถดำเนินคดีได้ก็ต้องยกเว้น ผมทำใต้กรอบกฎหมาย ไม่ใช่คนนู้นคนนี้พูดทีแล้วผมต้องเต้นไปตามนั้น ความรู้สึกกับความเป็นจริงต้องแยกให้ชัดเจน”

พล.ต.อ.สมยศกล่าวถึงการตรวจสอบทรัพย์สินของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ว่ามีการประสานงานกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) โดยตั้งคณะทำงานตรวจสอบทำบัญชีทรัพย์สินของกลางที่ยึดได้ มีรอง ผบช.น.เป็นหัวหน้าคณะ ได้หารือกับ พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการ ปปง.แล้วว่าตำรวจจะทยอยส่งบัญชีทรัพย์สินของกลางให้ ปปง.เป็นระยะ ทราบว่าขณะนี้เจ้าหน้าที่ยังทำงานอยู่ ยังไม่ได้ส่ง ปปง. แต่ประสานงานกันตลอดเวลา

“พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งให้ทำทุกอย่างตามหลักฐาน ยึดหลักกฎหมาย ไม่ให้กลั่นแกล้ง ไม่ใส่ร้ายป้ายสี หากผิดว่าตามผิด ไม่ให้ช่วยเหลืออะลุ้มอล่วย ให้ยึดความถูกต้องเป็นเกณฑ์”

ผู้สื่อข่าวถามถึง พ.ต.ท.ทรงรักษ์ ขุนศรี รอง ผกก.6 ป.ที่ยังไม่รายงานตัว ผบ.ตร.กล่าวว่า จากการสืบสวนมีหลักฐานน่าเชื่อว่า พ.ต.ท.ทรงรักษ์มีส่วนเกี่ยวข้อง เชื่อมโยง ทางที่ดีขอให้มาพบพนักงานสอบสวน ทุกสิ่งทุกอย่างยึดปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ กฎหมาย ไม่ต้องกังวลว่าจะกลั่นแกล้งให้ร้าย หากหลบหนีไม่มารายงานตัว ขาดราชการเกิน 15 วันถือว่ามีความผิด และขณะหลบหนีเราเกรงว่าอาจได้รับอันตราย มีอะไรมาพูดคุย มาบอกกัน หากหลบหนีก็ยิ่งน่าสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง หรือเหตุใดต้องหลบหนี ส่วนจะยังอยู่ในประเทศหรือไม่ต้องถามพนักงานสืบสวนสอบสวน

พบโพยงาบส่วย"เสี่ยโจ้"แค่ 10 ราย

พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าว่าขณัยังไม่มีการขออนุมัติหมายจับกุมผู้ร่วมขบวนการเพิ่มเติม ส่วนการตรวจค้นที่พัก ที่ซุกซ่อนทรัพย์สินของพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ นั้น ขณะนี้ตรวจค้นไปแล้ว ประมาณ 14 จุด และยังไม่มีเบาะแสที่ซุกทรัพย์สินเพิ่มเติม สำหรับส่วยน้ำมันเถื่อนนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างสืบสวนสอบสวนจากรายชื่อที่ถูกระบุในบัญชีจ่ายสินบนของนายสหชัย เจียรเสริมสิน หรือเสี่ยโจ้ ส่วนใหญ่เป็นการระบุชื่อเล่น ซึ่งมีทั้งตำรวจน้ำ และตำรวจท้องที่ จากการคัดรายชื่อตำรวจพบว่ามีประมาณ 10 กว่าคนเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่ นายพลตำรวจ 10 คนตามที่เป็นข่าว ส่วนที่ดูเหมือนมีการระบุชื่อจำนวนมาก ตรวจสอบแล้วชื่อซ้ำกัน ทั้งนี้ทั้งหมดต้องมีการเรียกตัวมาสอบสวนอย่างเป็นธรรม ว่ามีการรับ จ่ายส่วนหรือไม่อย่างไร

ส่วนรองโส และผกก.โย๊ะที่ผบ.ตร.ระบุถึง ยังไม่เรียกมาสอบสวน ทั้งนี้ หากได้ตัวนายสหชัยมาให้ข้อมูลก็ดีมาก แต่หากไม่ได้ตัวก็ไม่เป็นไรสามารถสอบสวนในประเด็นการรับส่วยได้ โดยเหตุการณ์ที่กล่าวถึงการจ่ายส่วนนี้เกิดขึ้นในช่วงพ.ศ. 2554-2555 ซึ่งมี พล.ต.ต.บุญสืบ ไพรเถื่อน อดีตผบก.ตำรวจน้ำ เป็นผบก.

วันเดียวกัน นายวรวิทย์ สุขบุญ รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เดินทางเข้าพบ พล.ต.อ.สมยศ เพื่อหารือเกี่ยวกับการดำเนินคดีกับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ รวมถึงข้าราชการตำรวจที่ร่วมเครือข่าย ในส่วนของการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินช่วงก่อนเข้ารับตำแหน่งของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ อดีตรอง ผบช.ก. และ พล.ต.ต.บุญสืบ ไพรเถื่อน อดีตผบก.รน. ว่าร่ำรวยผิดปกติหรือไม่

นายวรวิทย์ กล่าวว่า ตนได้เข้าพบหารือกับ พล.ต.อ.สมยศ เพื่อประสานขอข้อมูลที่อยู่ในสำนวนคดีจากเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนที่รับผิดชอบคดีของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ และนายตำรวจที่เกี่ยวข้อง ทั้ง พล.ต.ต.โกวิทย์ และ พล.ต.ต.บุญสืบ ที่ก่อนหน้านี้ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. เอาไว้แล้ว เพียงแต่ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณชน เนื่องจากกฎหมายไม่ได้ระบุให้ต้องเปิดเผย เหมือนกรณีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สำหรับการเข้ามาพบผบ.ตร.วันนี้เป็นแค่การประสานข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น ซึ่ง ป.ป.ช. เข้ามาดูแลรับผิดชอบตามหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด

"จากนี้ ปปช. จะต้องรอข้อมูลหลักฐานที่อยู่ในสำนวนคดี ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับผิดชอบคดีดังกล่าวส่งมาให้ก่อน เพื่อแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาดำเนินการตรวจสอบในเรื่องของบัญชีทรัพย์สินช่วงก่อนเข้ามารับตำแหน่งทางราชการของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ และนายตำรวจที่เกี่ยวข้อง ว่ามีความร่ำรวยผิดปกติหรือไม่ โดยจะพิจารณาจากข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนทรัพย์สินที่ตำรวจสามารถตรวจยึดไว้ได้ว่าตรงกับที่มีการแจ้งเอาไว้ก่อนหน้านี้หรือไม่ ซึ่งขณะนี้คณะกรรมการ ปปช. ยังไม่สามารถเริ่มต้นทำงานได้หากยังไม่ได้รับข้อมูลจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อย่างไรก็ดี พล.ต.อ.สมยศ ก็บอกว่ายินดีที่จะให้ความร่วมมือกับ ป.ป.ช. ในการทำงานอย่างเต็มที่ และจะทยอยส่งข้อมูลที่ขอไปมาให้ ต่อจากนั้น ปปช.จะได้เริ่มสอบสวนตรวจสอบเกี่ยวกับบัญชีทรัพย์สินของอดีตนายตำรวจดังกล่าวว่าผิดปกติหรือไม่ต่อไป โดยคาดว่าจะใช้เวลาไม่นานและน่าจะมีการหารือกันอีกครั้งเพื่อทำงานควบคู่กันไป" รองเลขาธิการ ป.ป.ช. ระบุ

สั่งล่าตัว"ทรงรักษ์" ชี้ขาดเกิน 60 วันไล่ออก

ที่ กองปราบปราม พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รอง ผบก.ป.รักษาการ ผบก.ป.กล่าวถึงกรณีของ พ.ต.ท.ทรงรักษ์ ขุนศรี รอง ผกก.6 บก.ป.หรือ" รองเต่า" ที่หายตัวไปหลังจาก พล.ต.ท.ประวุฒิ มีหนังสือเรียกให้เข้ารายงานตัวก่อนหน้านี้ว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถติดต่อ พ.ต.ท.ทรงรักษ์ ได้ ไม่ว่าทางใด อย่างไรก็ตามตนได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผกก.6 บก.ป.ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของ พ.ต.ท.ทรงรักษ์ เป็นผู้ประสานติดต่อและเรียกตัว พ.ต.ท.ทรงรักษ์ เพื่อเข้ารายงานตัวกับตน

ผู้สื่อข่าวถามว่าได้กำหนดระยะเวลาที่ให้ทาง พ.ต.ท.ทรงรักษ์ ติดต่อเข้ารายงานตัวไว้หรือไม่ พ.ต.อ.อัคราเดช กล่าวว่า กรณีนี้ตนยังคงให้เวลากับทางผู้ใต้บังคับบัญชา ได้ประสานเพื่อติดต่อ พ.ต.ท.ทรงรักษ์ อีกระยะหนึ่งก่อน แต่หากว่าทาง พ.ต.ท.ทรงรักษ์ ยังไม่เข้ามารายงานตัว หรือติดต่อได้ ก็จะพิจารณาดำเนินการอีกครั้ง โดยจะรายงานต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น

มีรายงานข่าวว่า ก่อนหน้านี้ ทาง พ.ต.ท.ทรงรักษ์ ได้ช่วยราชการอยู่ที่ บช.ก.แต่หลังจากเกิดเรื่องขึ้นทางผู้บังคับบัญชาได้มีคำสั่งให้ พ.ต.ท.ทรงรักษ์ มาปฏิบัติหน้าที่ยัง กก.6 บก.ป.ทุกวัน โดยห้ามออกไปทำงานนอกพื้นที่อย่างเด็ดขาด จากนั้นทาง พ.ต.ท.ทรงรักษ์ ก็ได้เดินทางเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ และเซ็นชื่อเข้าทำงานตามปกติ แต่ภายหลัง รักษาการ ผบช.ก.มีหมายเรียกให้เข้าพบตัว คาดว่า พ.ต.ท.ทรงรักษ์ คงรู้สึกตกใจ และเกรงว่าจะต้องเกี่ยวพันกับกลุ่มผู้ต้องหาเครือข่ายของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ จึงได้หายตัวไป ซึ่งขณะนี้ไม่ทราบว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร

ทั้งนี้ สำหรับ พ.ต.ท.ทรงรักษ์ นับว่าเป็นนายตำรวจที่มีฝีมือดีลำดับต้นๆ คนหนึ่งของกองปราบปราม มีความรู้ความสามารถ โดยเฉพาะด้านการสืบสวนตามหลักพฤติกรรมศาสตร์ เคยผ่านการอบรมหลักสูตรของหน่วยงานสอบสวนกลาง สหรัฐอเมริกา หรือ เอฟบีไอ มีผลงานร่วมกับตำรวจ บก.ป.จับกุม นายวิกเตอร์ บูธ สัญชาติรัสเซีย อดีตเคจีบี พ่อค้าอาวุธสงคราม ที่ทางการสหรัฐต้องการตัว , ร่วมกันจับกุมนายสมชาย คุณปลื้ม หรือกำนันเป๊าะ ที่หนีคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินเขาไม้แก้ว รวมทั้งคดีที่ซับซ้อนเช่นฆ่าเอาประกันอีกหลายคดี อย่างไรก็ตามหาก พ.ต.ท.ทรงรักษ์ ขาดการติดต่อครบ 30 วัน ก็จะต้องถูกไล่ออกจากราชการ ซึ่งก็เป็นที่น่าเสียดายถึงอนาคตในชีวิตราชการเป็นอย่างมาก

มท.สั่งยกเลิกใช้นามสกุลพระราชทาน “อัครพงศ์ปรีชา”

แหล่งข่าวระดับสูงจากกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.อ.สถิตย์พงษ์ สุขวิมล ราชเลขานุการ ในพระองค์ฯ ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการกองกิจการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร กองกิจการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ โดยสำนักงานราชเลขานุการในพระองค์ ได้มีหนังสือ ที่พว 0005.1/ เรื่อง ยกเลิกชื่อ สกุลพระราชทาน “อัครพงศ์ปรีชา” ลงวันที่ 28 พ.ย.57 ถึง นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ ปลัดกระทรวงมหาดไทยนั้นล่าสุดรายงานข่าวแจ้งว่า นายกฤษฎา บุญราช อธิบดีกรมการปกครอง ได้รับหนังสือดังกล่าว ในช่วงวันอาทิตย์ที่ 30 พ.ย.57 ที่ผ่านมา ซึ่งได้มีการดำเนินการ แจ้งไปยังสำนักงานเขตที่มีผู้ใช้นามสกุล “อัครพงศ์ปรีชา” ทันที เพื่อให้มีการดำเนินการยกเลิกนามสกุลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยให้กลับไปใช้นามสกุลเดิม

ตร.รอกองทัพส่งตัว 2 สิบเอก

ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.) พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. เปิดเผยถึงกรณีส.อ.ธีรพงศ์ ช่อจำปี และส.อ.ณธกร ยาศรี ผู้ต้องหาตามหมายจับมาตรา112 นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการประสานงานระหว่างกองทัพ คาดว่าทางต้นสังกัดจะส่งตัวผู้ต้องหาเอง เชื่อว่าทางกองทัพให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ซึ่งจะต้องรอสอบสวนเพิ่มเติมอีกที หากพบว่ามีเจ้าหน้าที่ทหารเข้าไปเกี่ยวข้อง จะดำเนินการสอบสวนอีกครั้ง โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการสอบสวนอย่างตรงไปตรงมา ผิดว่าไปตามผิด

ขณะนี้จึงเหลือผู้ต้องหาเพียงรายเดียว คือ นายวิทยา เทศขุนทด ซึ่งรายนี้มีอาวุธปืนพกติดตัวถึง 3 กระบอก ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนอยู่ระหว่างติดตามตัวมาดำเนินคดี

วืด!เจาะตู้เซฟ บ้านต้องสงสัยก๊วน"พงศ์พัฒน์"ว่างเปล่า

เจ้าหน้าที่ทหาร ร.1 พัน2 ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.ปากเกร็ด เข้าตรวจสอบบ้านเดี่ยว เลขที่ 50/962-2 ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ตั้งอยู่ภายในหมู่บ้านย่านเมืองทองธานี หลังจากสืบทราบว่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นที่ซุกซ่อนตู้นิรภัยขนาดใหญ่ และเชื่อมโยงกับเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก.

จากการตรวสอบบ้านดังกล่าวพบว่า เป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ปลูกอยู่ในเนื้อที่ประมาณ 80 ตารางวา อยู่ระหว่างก่อสร้าง และมีการต่อเติมอาคารเพิ่มแยกจากตัวบ้านอีก 1 หลังซึ่งยังไม่แล้วเสร็จ บริเวณชั้น 2 ของตัวบ้านพบตู้นิรภัยขนาดใหญ่ กว้าง ประมาณ 90 ซม.สูง 180 ซม.จำนวน 2 ตู้ ลักษณะใหม่เอี่ยม และยังพบว่ามีตู้เซพขนาดใหญ่ลักษณะเดียวกันอีก 1 ตู้ อยู่ภายในอาคารที่สร้างต่อเติมออกมา โดยเจ้าหน้าที่ได้ให้ผู้เชี่ยวชาญเข้าทำการเจาะตู้นิรภัยทั้ง 3 ตู้

ต่อมาเมื่อเวลา 14.30 น. ผู้เชี่ยวชาญสามารถเปิดตู้นิรภัยตู้แรกได้สำเร็จ จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ปิดตู้ไว้อย่างเดิมโดยไม่ได้ตรวจสอบทรัพย์สินภายในแต่อย่างใด เนื่องจากต้องรอเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมาตรวจสอบ หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญพยายามเปิดตู้นิรภัยตู้ที่ 2 แต่ยังไม่สามารถเปิดออกได้ เนื่องตู้นิรภัยมีระบบป้องกันที่แน่นหนา ต้องใช้ความพยายามและความเชี่ยวชาญเป็นอย่างมาก

จากการสอบถามเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญทราบว่า ตู้นิรภัยแต่ละตู้ที่ออกจากโรงงานจะมีรหัสเหมือนกันหมด แต่ตู้นิรภัยดังกล่าว ไม่สามารถใช้รหัสจากโรงงานเปิดได้ คาดว่าน่าจะถูกเปิดแล้วเปลี่ยนรหัสใหม่เรียบร้อยแล้ว

พล.ต.ท.ประวุฒิ ได้เดินทางมาตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมกับตรวจดูตู้เซฟ โดยได้ให้ช่างผู้เชี่ยวชาญทำการเปิดตู้ดังกล่าว ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ใช้เวลากว่า 5 ชั่วโมง สามารถเปิดได้เพียง 2 ตู้เท่านั้น จากการตรวจสอบไม่พบอะไรภายในเซฟดังกล่าว

พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า จากการสืบสวนสอบปากคำพยานและผู้ใกล้ชิด ทราบว่าบ้านหลังดังกล่าวนั้นหนึ่งในบ้านหลายๆหลังของพล.ต.ท.พงศพัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. ที่สร้างไว้เป็นที่อยู่อาศัย ซึ่งยังสร้างไม่แล้วเสร็จ ซึ่งบริเวณชั้นล่างมีไม้มะข่าจำนวนมาก คาดว่ามีไว้เพื่อปูพื้นบ้านไม่ได้เกี่ยวข้องกับไม้ที่เจ้าหน้าที่ทำการยึดไว้ได้ที่โกดัง ส่วนชั้นสองของตัวบ้าน เจ้าหน้าที่พบตู้เซฟ 3 ตู้ ซึ่งขณะนี้สามารถเปิดได้เพียง2 ตู้ เท่านั้น ภายในไม่พบอะไร ส่วนตู้ที่เหลือกำลังดำเนินการ

พล.ต.ท.ประวุฒิกล่าวต่อว่า ในส่วนของการตรวจค้นของกลางอื่นๆนั้นในวันนี้เจ้าหน้าที่ได้พบไว้ที่ทำการซุกซ่อนอยู่ในคูน้ำในโกดังดังกล่าว ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบ อย่างไรก็ตามในส่วนของการติดตามผู้ร่วมขบวนการรายอื่นๆนอกจาก 22 คนที่ออกหมายจับมานั้น ขณะนี้ยังเหลือการติดตามผู้ต้องหาอีก 3 รายนั้น คาดว่าทหาร 2 คนจะมีการมอบตัวคืนนี้ ส่วนอีกรายได้รับรายงานว่าสามารถจับกุมได้แล้ว และจะมีการนำตัวไปแถลงข่าวที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลต่อไป อย่างไรก็ตามในส่วนของการขยายผลหาผู้กระทำความผิดเพิ่มนั้น ตอนนี้ยังไม่มีความเชื่อมโยงชัดเจน ซึ่งหากพบข้อมูลการกระทำความผิดก็จะดำเนินการต่อไป

กรมศิลปากรตรวจคัดแยกวัตถุโบราณ

นายบวรเวท รุ่งรุจี อธิบดีกรมศิลปากร พร้อมด้วย นายอาวุธ สุวรรณาศรัย คณะกรรมการตรวจพิสูจน์โบราณวัตถุกรมศิลปากร และอดีตหัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทอง ตลอดจนเจ้าหน้าที่ภัณฑารักษ์ และนิติกร กรมศิลปากร เข้าตรวจพิสูจน์และคัดแยกโบราณวัตถุ โดยกล่าวว่า ตนนำเจ้าหน้ามาตรวจการคัดแยก พร้อมทำติดป้าย และเชือกสี เพื่อทำสัญลักษณ์ แยกตามประเภท โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และสิ่งของเทียมเลียนแบบ โดยพบว่า โบราณวัตถุที่มีอายุเก่าแก่ส่วนใหญ่ ทำจากหินทราย อาทิ พระพุทธรูปขอมโบราณ ศิลปะพนมดา พุทธศตวรรษที่ 12 อายุกว่า 1,400 ปี เทวรูปพระนารายณ์ ศิลปะเขมร สมโบว์ พุทธศตวรรษที่12-13 อายุราว 1,300 -1,400 ปี ส่วนศิลปวัตถุ พบว่า มีทั้งของไทย และของนำเข้าจากต่างประเทศ ศิลปะ จีน ยุโรป อินเดีย ส่วนของเทียมเลียนแบบมีทั้ง เทวรูปหินทราย รูปแกะสลักพระพุทธรูปไม้ เป็นจำนวนมาก
กำลังโหลดความคิดเห็น