ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -กลบภาพ “พี่ตู่”กับ “น้องปู”เมื่อครั้งยังหวานชื่น ในช่วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันหมดสิ้น หลัง“น้องปู” ปล่อยวาทกรรมเด็ด ขับรถมาดีดี ก็มีคนเอาปืนมาจี้ ชิงรถไป แถมยังมั่นใจไม่สะทกสะท้านว่า จะขอคัมแบ็ก ลงเลือกตั้งในปี 2559
กลายเป็นการกระตุกต่อมหมั่นไส้กองแช่ง ที่แง่งๆ จับผิดกรณีถอดถอนในโครงการรับจำนำข้าว ที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จ่อจะลากขึ้นเขียงกันอยู่ไม่กี่วันว่า มีการปิดดีลเกี้ยเซียะกันแล้วหรือย่างไร “น้องปู”ถึงได้มั่นอกมั่นใจว่า จะละ "เห็ดนางฟ้า" ที่ปลูกอยู่ มาลงเลือกตั้งได้อีกรอบ
ทำเอา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตั้งคำถามดังๆ ขู่กันให้เห็น ขืนยังไม่สงบปากสงบคำ ปล่อยวาทกรรมมาให้เกิดความแตกแยก ระวังพาสปอร์ต และวีซ่า จะจำกัดได้แค่เดินอยู่ในประเทศไทย อดไปลั้นลาถ่ายรูปเซลฟี่กับพี่ชายที่ดูไบแน่ เรียกว่า เหวี่ยงกลับแรงๆ แบบที่คนฟังยังอึ้ง ไม่มีไว้หน้าอดีตผู้บังคับบัญชาเก่า
จะว่าไป ช่วงนี้ไม่รู้ใครไปเด็ดรังแตนรังต่อมาให้ "ลุงตู่"รับประทานเป็นอาหารเที่ยง ใครถามจี้จุดนิดเดียว ต่อมเหวี่ยงทำงาน ตอบไปด่าไป ส่วนใหญ่เป็นบทโหดล้วนๆ สะท้อนถึงภาวะจิตใจของผู้นำขณะนี้ ว่าน่าจะอยู่ในสภาวะเครียดจัด
ดูกันตามสภาวะการณ์ที่เกิดขึ้น ช่วงนี้รัฐบาลอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมรุมเร้า ปัจจัยหลายอย่างพร้อมใจกันรุมขย่ม มีปมให้ปวดสมองกันตลอดเวลา ตั้งแต่กระแสนิยมที่เขยิบลงมากกว่าเขยิบขึ้น แม่น้ำ 5 สาย ที่หวังจะให้ไหลไปบรรจบกันที่ทางช้างเผือก กลายเป็นเอ่อท่วมสองข้างฝั่งเสียก่อน มีแต่น้ำลายแตกฟอง ไม่มีรูปธรรม
ผลงานเศรษฐกิจอยู่ในระดับความเลวไม่มี ความดีไม่ปรากฏ ปัญหาต่างๆ นานา ยังลอยเคว้างคว้างมองไม่เห็นทางว่าจะกระชากให้หยุดนิ่งได้อย่างไร แล้วยังเหมือนความวัวไม่ทันหาย ความควายก็กระโดดเข้ามาแทรก ปัญหาปากท้องยังไม่ได้แก้ ดันมาเจอกระแสต้าน ทำให้งานที่จะเดินไม่สะดวกโยธิน
กระแสชู 3 นิ้ว เลียนแบบภาพยนตร์ฝรั่งลุกลามในหมู่ปัญญาชน จากหนึ่งเป็นสอง กระจัดกระจายกันถ้วนทั่วประเทศไทย สัญญาณอันตรายที่หน่วยความมั่นคง ก็สะดุ้ง เพราะรู้เต็มอกว่าพลังปัญญาชนเป็นวัตถุไวไฟ ติดง่ายดับยาก ขืนปล่อยปละชะล่าใจ กงล้อ 14 ตุลาฯ จะไหลมาบรรจบกันในยุคสมัย “ลุงตู่”เป็นแน่
ตามคิวที่รีบไฟเขียวเปิดรูระบายให้สังคมหายใจ เนรมิตเวทีรับฟังความคิดเห็นให้นักศึกษาได้มาฟุดฟิดฟอไฟกัน หวังตัดเพลิงตั้งแต่ต้นลม ไม่ให้กระแสจำกัดสิทธิเสรีภาพประชาชนมันทะยานมากไปกว่านี้ จัดเป็นยาบรรเทาอาการปวดชั้นดี ที่ฝ่ายบุ๋นรีบโปรโมต ออกมา
แต่มีเวลาได้พักยกเรื่องเครียดสั้นๆ ให้ตัวเองเหมือนกัน หลังหอบทีมงานไปเยือนเวียดนาม และลาว เพื่อนบ้านในอาเซียนในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง เป็นประเพณีที่นายกรัฐมนตรีทุกยุคทุกสมัยต้องปฏิบัติกันอย่างนี้เรื่อยมา แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้อะไรติดไม้ติดมือมา เพราะแค่งานโชว์ตัว
จริงๆ ในยุคที่ “ลุงตู่”ให้ความสำคัญกับการปฏิรูปเป็นหัวใจ จะฉีกกรอบวางแนวทางใหม่ เรื่องการไปต่างประเทศก็ดี สังคายนาวิธีการกันให้มีมิติใหม่ ไปทั้งที ควรจะฉวยจังหวะหาโอกาสจีบประเทศเหล่านี้เพื่อหาความร่วมมือใหม่ๆ ประเทศไหนเด่นอะไร จับมือลงทุนกันดีหรือไม่ แบบ เบสิก 70 -30 ขอเอี่ยวเสีย 30 เขามาบ้านเราก็ให้เอี่ยวไป 30 เป็นต้น อย่างเยือนลาวหนนี้ ตีปี๊บซะเลยให้เห็น
โดยเฉพาะพวกฝูงชนในอาเซียน ในห้วงที่นับถอยหลังเข้าสู่ประชาคมอาเซียน หรือ เออีซี ความร่วมมือถือเป็นการสร้างความเป็นปึกแผ่นอย่างหนึ่งได้เหมือนกัน “ลุงตู่”ต้องเปลี่ยนวิชั่น วัฒนธรรมที่ดีให้ดียิ่งกว่าเดิม ไม่ใช่หอบกันไปเป็นพิธีกรรม กลับมามือเปล่าๆ เปลืองงบประมาณ ภาษีประชาชน
วกเข้าปฏิรูป กระแสสังคมตอนนี้กำลังจับจ้องไปที่การแก้ไขกฎหมายของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ติดดาบที่นักการเมืองขี้ฉ้อ ออกอาการวัวสันหลังหวะ หาว่าโทษคอขาดบาดตายเกินไป ทั้งที่จริงไม่เข้าใจว่า ทำไมคนดีจึงต้องสยองกับกฎหมาย เพราะมีแต่คนชั่วเท่านั้น ที่หวั่นสะพรึง
แต่อย่างว่า ที่ผ่านมาภาพลักษณ์องค์กรอิสระในบ้านเมืองไทยมันถูกมองว่าเป็นเครื่องมือของฝ่ายการเมืองในการทำลายล้างกันไปเสียแล้ว เลยทำให้ฉุดกลับมายาก ดังนั้นไหนๆ ต้องปฏิรูปกันขนานใหญ่ ควรจะนับหนึ่งตั้งต้นกันใหม่ ล้างภาพไล่ล่า ทำลายล้างออกให้หมด เพื่อสร้างความชอบธรรมในการพิจารณาคดีต่างๆ ไม่เช่นนั้นเวลากลับมาพิจารณาคดีความ ก็โดนฝ่ายเสียประโยชน์ตั้งแง่ว่า หวานคอแร้ง ฟันกูอีกแน่งานนี้ !!!
ถ้าไม่กลับสู่จุดเริ่มต้น นับกันที่ศูนย์ ปัญหาจะไม่จบไม่สิ้น แล้วจะยิ่งกระพือความขัดแย้ง ในเมื่อชาวบ้านยังไม่เชื่อน้ำยาว่า ตราชั่ง ที่เอียงกระเท่เร่ มันกลับมาตรงพอที่จะฝากผีฝากไข้เวลาตกทุกข์ได้ยาก
เรื่ององค์กรอิสระ ไม่มีใครหน้าไหนปฏิเสธ เพราะจำเป็นต่อสังคมไทย โดยเฉพาะในยุคที่โจรผู้ร้ายใส่สูทผูกเนกไท เดินกันไปในรัฐสภา แต่ปัญหามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับความชอบธรรม ที่ต้องรีเซตกันใหม่ เพื่อให้คดีความที่ตัดสินหลังยุคปฏิรูปมันเข้มขลัง ไม่มีช่องให้ศรีธนญชัย ชักแม่น้ำทุกสายมาเถียงคอเป็นเอ็น จนคนคล้อยตาม ดังนั้น ค่อยว่ากันหลังกติกาใหม่คลอดแล้วดีกว่าเยอะ
อย่างไรก็ดี เรื่องเครียดวันนี้ที่ “ลุงตู่”สะสมเอาไว้ในสมอง ต้องมาอมทุกข์อมโศก แล้วพ่นเป็นไฟง่ายๆ จะว่าไปเหตุส่วนหนึ่งก็มาจากการสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง เกรงใจคนนั้น คนนี้ มากเกินไป บางทีก็โดนเพ็ดทูลข้อมูลผิดๆ กรอกหู มันเลยทำให้ธงที่ปักไว้ปลายทางไขว้เขว
วันนี้ต้องกลับมาทบทวน สิ่งที่มโนเอาไว้ก่อนรัฐประหาร อันไหนที่มันหลงทางออกป่าออกเขา ต้องเรียกกลับมา รีบสะดุ้งรู้ตัวตั้งแต่วันนี้ อย่าให้มันสายเสียจนรากงอก !!!