เมื่อเวลา 10.00 น. วานนี้ (27พ.ย.) ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้มีการประชุมวาระเร่งด่วน เรื่องพิจารณาดำเนินกระบวนการถอดถอน นายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา และ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานสภาผู้แทนราษฏร ออกจากตำแหน่ง โดยมี นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. เป็นประธานการประชุม
**"นิคม"ค้าน16 สนช.ทำหน้าที่
ก่อนเข้าสู่การพิจารณา นายพรเพชร ได้แจ้งถึงกรณีที่นายนิคม ผู้ถูกกล่าวหาได้มีหนังสือขอคัดค้านการทำหน้าที่ สนช.16 คน พิจารณา และมีมติถอดถอน ประกอบด้วย พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม นายมหรรณพ เดชพิทักษณ์ นางพิไลพรรณ สมบัติศิริ นายสมชาย แสวงการ พล.อ.อ.ชาลี จันทร์เรือง พล.ต.อ. พิชิต ควรเตชะคุปต์ พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงศ์สุวรรณ นายบุญชัย โชควัฒนา นาย วิทวัช บุยสถิต นพ. เจตน์ ศิระธรานนท์ นาย สมพล พันธ์มณี นายสุธรรม พันธุศักดิ์ นายอนุศักดิ์ สึวรรณมงคล นายตวง อันธไชย นายธานี อ่อนละเอียด และพล.อ.เลิศฤทธิ์ เมฆสวัสดิ์ เนื่องจากเป็นผู้เข้าชื่อร้องขอให้ถอดถอนตนออกจากตำแหน่ง ต่อประธานวุฒิสภา และคณะกรรมการป.ป.ช.
นอกจากนี้ ขณะดำรงตำแหน่ง เป็นส.ว. ยังมีส่วนร่วมพิจารณา ร่าง รธน. แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่....พ.ศ... เรื่องที่มา ส.ว.ในชั้นตอนต่างๆ ทั้ง 3 วาระ อันเป็นมูลเหตุของความขัดแย้ง ซึ่งเป็นที่มาในคดีนี้โดยตรง จึงเห็นว่า ส.ว.ทั้ง 16 คน มีฐานะเป็นคู่กรณี ในเรื่องที่จะพิจารณา ย่อมตกเป็นผู้มีส่วนได้เสีย โดยมีประโยชน์ขัดกันกับเรื่องที่พิจารณา อาจทำให้การพิจารณาของ สนช.ไม่เป็นกลาง จึงขอให้ สนช. ทั้ง16 คน งดการเข้าร่วมประชุม งดการอภิปราย และงดการลงมติ ตลอดจนงดการทำหน้าที่อื่นใด ในเรื่องดังกล่าวตลอดการพิจารณา
นายพรเพชร กล่าวว่า กรณีดังกล่าว ปรากฏข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า ขณะที่อดีต ส.ว.16 คน ร่วมลงชื่อ เป็นการดำเนินการขณะที่ดำรงตำหน่งเป็นส.ว. โดยอาศัยอำนาจรัฐธรรมนูญปี 50 และพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยป.ป.ช. พ.ศ. 2542 มีบทบัญญัติรองรับไว้ มาตรา 59, 64 และ 65
ดังนั้น ถ้าพิจารณาตามรธน.ปี 50 และกฎหมายป.ป.ช. จะเห็นว่า สมาชิกได้ดำเนินการตามหน้าที่ และดำเนินการตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ตนอยากขอรับฟังความเห็นจากสมาชิกในประเด็นที่ผู้ถูกกล่าวหา ยื่นคำร้องคัดค้านดังกล่าว
จากนั้น ได้มีสมาชิกอภิปรายแสดงความเห็น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอดีต ส.ว.ที่ นายนิคมได้ขอคัดค้านการทำหน้าที่ โดยยืนยันสิ่งที่ได้กระทำไปนั้น เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญกำหนด และด้วยความบริสุทธิ์ใจ
นายตวง อันทะไชย กล่าวว่า ตนต้องการคุ้มครองคนที่ทำตามรัฐธรรมนูญ เพราะผู้ถูกกล่าวหา พูดความจริงข้างเดียว และไม่อาจมาร้องขอได้เพราะ ขัดรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ที่ขอให้สมาชิกจะต้องละเว้นหน้าที่ตัวเอง ให้งดร่วมระชุม งดอภิปราย และงดลงมติ เพราะในมาตรา 6 ให้พวกตนทำหน้าที่เสมือน ส.ส. ส.ว. ส่วนมาตรา 9 บังคับให้เข้าร่วมประชุม มิเช่นนั้นจะต้องสิ้นสุดสภาพ และเป็นการตีความกฎหมายเข้าข้างตัวเอง พวกตน16 คน ทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญปี 50 ประกอบพ.ร.บ. ป.ป.ช. ปี 42 ให้อำนาจ ส.ว. ถอดถอนบุคคลที่กระทำความผิด หรือส่อว่าใช้อำนาจตนเองกระทำความผิด และสาธารณะชนก็รับทราบแล้ว ผลของการทำผิดของผู้ถูกร้อง ป.ป.ช. มีมติชี้ว่ามูล และศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยแล้วว่า กระทำผิดชัดเจน การทำหน้าที่พวกตน จึงทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ที่เขียนไว้ว่า มีหน้าที่ร้องขอต่อ ป.ป.ช . ดำเนินการ
**อัด"นิคม"ทำผิดแล้วไม่สำนึก
นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ สนช. กล่าวว่า ได้อ่านหนังสือของผู้ร้องแล้ว รู้สึกไม่สบายใจว่า บุคคลภายนอกจะทำการก้าวก่ายอำนาจของสมาชิกที่มีโดยไม่สมควร เพราะส่วนตัวตนเคารพเป็นประธานรัฐสภา มีเกียรติสูงสุด น่าจะเคารพ แต่ขณะนั้นทั้งสองประธานทำตัวอย่างไรถึงให้สมาชิกเรียกว่า ประธานที่ผมเคยเคารพ แสดงว่า เขาไม่เคารพแล้ว สมควรที่จะสำนึก หรือคิดได้ว่าสมาชิกคิดอย่างไรกับตนเอง ความไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ว่าจะรวบรัดตัดตอนการอภิปรายของฝ่ายค้าน หรือเร่งรีบผ่านกฎหมาย ที่เอาอกเอาใจใครก็ตาม โดยไม่ฟังเสียงโต้แย้งทักท้วงจากสมาชิกคนอื่น รวบรัดอย่างนี้ เป็นประชาธิปไตยตรงไหน กฎหมายให้ถอดถอนได้ครั้งเดียว แต่พฤติกรรมของประธาน ที่ปฏิบัติมานั้นถอดถอนเจ็ดครั้งยังน้อยไป
นายสมชาย แสวงการ สนช. กล่าวว่า เรื่องนี้เปรียบเหมือนเราพบเห็นการกระทำความผิด ในหมู่บ้าน ชุมชน ทำหน้าที่พลเมือง ถูกต้องตามกฎหมาย มีสิทธิ์แจ้งดำเนินคดี สิ่งที่นิคมทำเรื่องมาเกิดความเสียหายไขว้เขวต่อพวกตน ใช้คำว่า สมาชิก16 คน ยังมีส่วนร่วมพิจารณาแก้รธน.ที่มาส.ว. อันเป็นมูลเหตุความขัดแย้ง มีประโยชน์ขัดกัน โดยสภาพแล้วถือมีเหตุร้ายแรง พวกตนทำหน้าที่ส.ว. ไม่ช่คู่กรณี ขณะนี้ทำตามรธน. ปัจจุบันและป.ป.ช. ถ้าเป็นเรื่องขัดกันผลประโยชน์ตรวจสอบอย่างไร ทั้งทางจริยธรรม และเหตุผลอื่นๆ เราทำหน้าที่สนช.ไม่มีการขัดกันผลประโยชน์แน่นอน ผู้ร้องยังไม่ทราบว่าจะลงมติอย่างไรเพราะลับในคูหา เราไม่ได้แสดงความเกลียดชัง หรือทำอย่างใดให้เห็นเอนเอียงหรือไล่ล่า ขอยืนยันทำหน้าที่เป็นธรรมแน่นอน เจตนาชัดว่าต้องการให้จำนวนลงมติไม่ครบ3ใน5 เป็นเรื่องปกติของผู้ร้อง เราทำน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ส่วนจะให้เราทำหน้าที่อย่างไร สุดแต่ประธานและที่ประชุมวินิจฉัย
หลังจากสมาชิแสดงความเห็นแล้ว นายพรเพชร ได้วินิจฉัยให้คำร้องของ นายนิคมตกไป แต่นายธานี อ่อนละเอียด ต้องการเสนอเป็นญัตติ เพื่อให้เป็นมติของที่ประชุม แต่นายตวง แย้งว่า เมื่อประธานวินิจฉัยไปแล้ว ถือว่าเป็นอันสิ้นสุด ในที่สุด นายพรเพชร ได้ยืนยันคำวินิจฉัยของตนและได้กำหนดวันที่ 8 ม.ค.58 เวลา 10.00 น. เป็นการแถลงเปิดสำนวน และแถลงคัดค้านของผู้กล่าวหาและผู้ถูกกล่าวหา
** "นิคม"ขอเพิ่มพยาน
จากนั้นเป็นการพิจารณาการขอเพิ่มเติมพยานของผู้ถูกกล่าวหา มีการเชิญคู่กรณีทั้งสองฝ่าย ประกอบด้วย นายวิชา มหาคุณ กรรมการป.ป.ช. นายสรรเสริญ พลเจียก เลขานุการ นายธรรมนูญ เรืองดิษฐ์ ผู้ช่วยเลขานุการ ส่วนอีกฝ่ายมีเพียงนายนิคมคนเดียว เพื่อให้คู่กรณีมาตรวจพยานหลักฐานที่ผู้กล่าวหายื่นขอเพิ่มเติมจำนวน 1รายการ โดยเป็นซีดีจำนวนสองแผ่น
นายนิคม ชี้แจงว่า ตนขอใช้สิทธิยื่นพยานวัตถุ ให้ที่ประชุมพิจารณาปรากฏในที่ประชุมป.ป.ช. เป็นแผ่นซีดี 9 แผ่น ความยาว 120 ชั่วโมง มติป.ป.ช.ไม่มีการนำเอาเหตุการณ์ที่ปรากฏในแผ่นซีดี มาวินิจฉัย และลงมติ อาจจะด้วยความรีบร้อน หรือข้อกล่าวหาเอกสารยาวมาก ซึ่งในซีดีของตนได้ย่อยเวลาให้เหลือ 4 ชั่วโมง เนื้อหาเป็นการเริ่มต้นวาระ 2 ของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เป็นเหตุให้ป.ป.ช.ลงมติว่า ตนทำผิดจากข้อร้องของ152 ส.ว. ใน 3 เรื่อง คือ 1. เรื่องที่ตนไปลงชื่อแก้รัฐธรรมนูญ
2. ตน ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า สนับสนุนการมี ส.ว.จากเลือกตั้ง และหากประชาชนเรียกร้องให้ตนลงเลือกตั้งก็จะลง แม้ไม่ต้องการเพราะกลัวข้อครหา กลับมีการมโนภาพว่า ตนให้ร้ายส.ว.สรรหา
3. หาว่าตนรับญัตติปิดการอภิปราย ความจริงไม่ได้ดูเลย เพราะถ้าดู จะรู้การรับญัตติ มีแต่ มาตรา 5, 6, 7, 11 และ11/1 เท่านั้น แต่โชคดีที่ ป.ป.ช. ที่อ่านตรงนี้ และตัดประเด็นที่ตนลงชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งความจริงตนลงชื่อแก้ไขในมาตรา 190 และมาตรา 237 รวมถึงยกคำฟ้องการแถลงข่าวในสื่อ เพราะ ถ้าตนทำผิดจรรยาบรรณจะต้องตั้งคณะกรรมการสอบ ได้ผลอย่างไร ค่อยร้องไปที่ป.ป.ช. แต่กลับรีบร้อนร้องไปที่ป.ป.ช. เลย แม้แต่ประธานป.ป.ช. ยังบอว่า กรณีนี้ต้องร้องไปที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน ตนเป็นคนสอนหนังสือ ต้องออกไปต่างจังหวัดทุกอาทิตย์ เพื่อเผยแพร่ ประชาธิปไตย และจริยธรรม จะหลงผิดได้อย่างไร ดีที่ป.ป.ช. ยกคำฟ้องนี้ แต่ไม่ยกคำร้องข้อกล่าวหาว่า ตนสนองรับญัตติที่ประชุม มีถ้าเป็นไปตามข้อบังคับมีคนประท้วงว่าทำผิดข้อบังคับ ตนมีหน้าที่อย่างเดียวคือต้องทำตามข้อบังคับประชุม จะพิจารณากฎหมายตนต้องดำเนินการตามข้อบังคับข้อที่ 99 คนที่ทำหน้าที่ประธานไม่มีสิทธิ์ทำอย่างอื่น
"การเสนอให้ปิดประชุมเป็นเอกสิทธิ์เด็ดขาดของสมาชิก มีผู้รับรองถูกต้อง เป็นหน้าที่ของตนต้องรับญัตตินั้น อยู่ๆ มาแนะไม่ให้รับญัตติ ท่านกำลังแนะนำไม่ให้ยึดหลักนิติธรรม ไม่ยึดหลักกฎหมาย หลักนิติธรรมไม่สามารถมาบังคับหรือใหญ่กว่าหลักของรัฐธรรมนูญ ผมจำเป็นต้องเอาหลักฐานนี้มาย่อย เชื่อว่าทั้ง 120 กว่าชั่วโมง ป.ป.ช.ไม่มีโอกาสดูแน่นอน เพียงแค่ดู 4 ชั่วโมง ก็เครียด ความดันสูงแล้ว วันนี้ผมผ่าวิกฤตมาได้อย่างไร ถ้ามีประธาน3-4 คน วันนี้โดนฟ้องเหมือนผมหมด ในแผ่นซีดีนี้ จะช่วยได้อ่าน ฟัง ดู แล้วจะเข้าใจ"
ด้านตัวแทนผู้ร้องคือ นายวิชา มหาคุณ กล่าวว่า คดีดังกล่าว ป.ป.ช. ไม่ได้ดำเนินการไต่สวนถอดถอนโดยตัวเอง แต่เป็นการทำหน้าที่แทนวุฒิสภา ตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ ให้ป.ป.ช. เป็นเครื่องมือหนึ่งในการถอดถอนของส.ว. เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จ จึงส่งเรื่องกลับมาในช่วงที่มี สนช.แล้ว จึงเป็นหน้าที่ของ สนช. ต้องดำเดินการถอดถอนต่อจาก ส.ว.ชุดเก่า โดยยึดหลักนิติธรรม ยืนยันว่า การดำเนินการไต่สวนเป็นไปตามกระบวนการที่กฎหมายกำหนด อย่างเคร่งครัด การที่ผู้ถูกกล่าวหาได้ขอให้สิทธิ์ตามข้อบังคับเพิ่มเติมพยานหลักฐานเป็นแผ่นซีดี 2 แผ่นนั้น ตนได้ตรวจสอบแล้ว และขอให้สมาชิกได้พิจารณาสำเนารายงานผลการตรวจสอบจำนวน 110 หน้าที่ป.ป.ช.จัดส่งมาจะพบว่า วัตถุพยานดังกล่าวที่ผู้ถูกร้องขอเพิ่มเติมนั้น องค์คณะไต่สวนของป.ป.ช.ได้รวบรวมไว้ในสำนวนหมดแล้วตั้งแต่ก่อนพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหา โดยไม่ได้เป็นเพียงแผ่นซีดี9 แผ่น แต่เป็น 91 แผ่นซึ่งทั้งหมดป.ป.ช.ได้ดำเนินการต่อจากการไต่สวนและมีคำวิจิฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ โดยเราได้รับวัตถุพยานเหล่านี้จากสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาตามที่ได้ร้องขอไป นอกจากนี้เพื่อให้การตรวจสอบเป็นไปโดยง่ายและไม่จำเป็นต้องไปเปิดดูซีดีทั้งหมด วัตถุพยานในสำนวนก็ยังมีสำเนาบันทึกรายงานการประชุมในกรณีดังกล่าวทั้งหมด ซึ่งสมาชิกสามารถตรวจดูได้ตามหัวข้อ
"ยืนยันว่าเราให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหา ในการตรวจสอบพยานหลักฐาน แต่ที่ผ่านมาผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้ใช้สิทธิ์ ซึ่งอาจเข้าใจว่า รู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว และป.ป.ช. ยังให้โอกาสในการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ซึ่งท่านก็ได้ใช้สิทธิไปชี้แจง วันที่ 12 ก.พ. 57 โดยปฏิเสธข้อกล่าวหาทุกข้อ พร้อมกับมอบเอกสาร ประกอบการชี้แจง และขอให้เรียกพยานบุคคลเข้าชี้แจงอีกจำนวนหลายมาก ป.ป.ช. ก็เรียกสอบทุกคนไม่มีการตัดพยาน ดังนั้นพยานหลักฐานที่ผู้ถูกกล่าวหา นำมาขอให้เพิ่มเติมจึงไม่ใช่พยานหลักฐาน ที่เราไม่อนุญาต หรือไม่มีในสำนวน แต่ทุกอย่างปรากฏครบถ้วนหมดแล้วในสำนวน ที่ผ่านมาเราให้โอกาสอย่างที่สุด เพราะพิจารณาเห้นว่าการทำหน้าที่ของท่านในฐานะประธาน และสมาชิกทั้งหลายเป้นการทำหน้าที่ในฐานะตัวแทนปวงชนชาวไทย แต่เมื่อมีการร้องเรียนและศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยชี้ขาดไปแล้ว เราก็ต้องดำเนินการตามหน้าที่ให้เกิดความเป็นธรรมที่สุด”
** สนช.ไม่รับเพิ่มพยาน
ต่อมานายนิคม ได้แย้งถึงความจำเป็นที่ต้องการให้ที่ประชุม รับพยานหลักฐานที่ขอเพิ่มเติม โดยอ้างว่า ซีดีทั้งสองแผ่น จะเป็นสิ่งที่ชี้ว่า ข้อเท็จจริงผิดไปจากเอกสารหลักฐานที่ ป.ป.ช. ใช้ในการสรุปและกล่าวหาตน โดยมีการยกตัวอย่างว่าเช่นสำนวนป.ป.ช.ระบุว่าตนรับญัตติปิดอภิปรายทั้งที่ยังมีผู้ขออภิปรายอยู่ในมาตรา 5 แต่ถ้าไปดูในซีดี จะพบว่า จะมีทั้งผู้ขอเปิดและขอปิดการประชุม ซึ่งตนรับญัตติปิดการประชุม ในช่วงที่ไม่มีใครขออภิปรายแล้ว ข้อความในลักษณะอย่างนี้ ป.ป.ช.รับฟังข้อเท็จจริงผิดไปจากพยานหลักฐานที่มีอยู่ ตนขอใช้สิทธิตามข้อบังคับเพื่อให้เพิ่มพยานหลักฐานที่เห็นว่ามีความแตกต่างและเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ แต่ก็ขึ้นอยู่กับที่ประชุมจะพิจารณาว่าจะรับหรือไม่
จากนั้นนายพรเพชรได้ขอมติต่อที่ประชุมว่าจะรับพยานหลักฐานของนายนิคมไว้เพิ่มเติมหรือไม่ โดยมีองค์ประชุมจำนวน 192 เสียง โดยสมาชิกจำนวน 96 ต่อ 82 เสียงไม่เห็นด้วย งดออกเสียง 14 เสียง จึงถือว่าหลักฐานดังกล่าวสมาชิกจะนำมาพิจารณาเพิ่มเติมไม่ได้ และได้กำหนดให้สมาชิกที่ต้องการจะยื่นญัตติซักถามสามารถแสดงความจำนงได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 7 ม.ค. 58 ในเวลาราชการ
ต่อมาที่ประชุมได้พิจารณาคำร้องถอดถอน นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานสภาผู้แทนราษฏร ของคณะกรรมการป.ป.ช.ในข้อหาเดียวกัน แต่นายสมศักดิ์ ไม่ได้เดินมาเนื่องจากไม่ได้ประสงค์ขอเพิ่มพยานหลักฐานอะไร ซึ่งประธานได้กำหนดวันเปิดแถลงสำนวนในวันเดียวกันคือวันที่ 8 ม.ค. 58โดยที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบ
นายพรเพชร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีคำร้องถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าวันนี้ (28 พ.ย.) ที่ประชุมสนช. จะพิจารณาการกำหนดวันแถลงเปิดคดี ที่เบื้องต้นทางวิปสนช. ได้กำหนดไว้เป็นวันที่ 9 ม.ค. 58 ว่าที่ประชุมจะเห็นด้วยหรือไม่ และคำขอเพิ่มเติมพยานหลักฐาน ซึ่งมีจำนวนมาก ก็ต้องดูว่าหากที่ประชุมรับพยานหลักฐานนั้นก็ต้องให้เวลากับสมาชิกในการนำไปศึกษา แต่ในวันนี้น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะมาชี้แจงด้วยตนเอง หรือไม่ ตนไม่สามารถทราบได้
**"นิคม"ค้าน16 สนช.ทำหน้าที่
ก่อนเข้าสู่การพิจารณา นายพรเพชร ได้แจ้งถึงกรณีที่นายนิคม ผู้ถูกกล่าวหาได้มีหนังสือขอคัดค้านการทำหน้าที่ สนช.16 คน พิจารณา และมีมติถอดถอน ประกอบด้วย พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม นายมหรรณพ เดชพิทักษณ์ นางพิไลพรรณ สมบัติศิริ นายสมชาย แสวงการ พล.อ.อ.ชาลี จันทร์เรือง พล.ต.อ. พิชิต ควรเตชะคุปต์ พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงศ์สุวรรณ นายบุญชัย โชควัฒนา นาย วิทวัช บุยสถิต นพ. เจตน์ ศิระธรานนท์ นาย สมพล พันธ์มณี นายสุธรรม พันธุศักดิ์ นายอนุศักดิ์ สึวรรณมงคล นายตวง อันธไชย นายธานี อ่อนละเอียด และพล.อ.เลิศฤทธิ์ เมฆสวัสดิ์ เนื่องจากเป็นผู้เข้าชื่อร้องขอให้ถอดถอนตนออกจากตำแหน่ง ต่อประธานวุฒิสภา และคณะกรรมการป.ป.ช.
นอกจากนี้ ขณะดำรงตำแหน่ง เป็นส.ว. ยังมีส่วนร่วมพิจารณา ร่าง รธน. แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่....พ.ศ... เรื่องที่มา ส.ว.ในชั้นตอนต่างๆ ทั้ง 3 วาระ อันเป็นมูลเหตุของความขัดแย้ง ซึ่งเป็นที่มาในคดีนี้โดยตรง จึงเห็นว่า ส.ว.ทั้ง 16 คน มีฐานะเป็นคู่กรณี ในเรื่องที่จะพิจารณา ย่อมตกเป็นผู้มีส่วนได้เสีย โดยมีประโยชน์ขัดกันกับเรื่องที่พิจารณา อาจทำให้การพิจารณาของ สนช.ไม่เป็นกลาง จึงขอให้ สนช. ทั้ง16 คน งดการเข้าร่วมประชุม งดการอภิปราย และงดการลงมติ ตลอดจนงดการทำหน้าที่อื่นใด ในเรื่องดังกล่าวตลอดการพิจารณา
นายพรเพชร กล่าวว่า กรณีดังกล่าว ปรากฏข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า ขณะที่อดีต ส.ว.16 คน ร่วมลงชื่อ เป็นการดำเนินการขณะที่ดำรงตำหน่งเป็นส.ว. โดยอาศัยอำนาจรัฐธรรมนูญปี 50 และพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยป.ป.ช. พ.ศ. 2542 มีบทบัญญัติรองรับไว้ มาตรา 59, 64 และ 65
ดังนั้น ถ้าพิจารณาตามรธน.ปี 50 และกฎหมายป.ป.ช. จะเห็นว่า สมาชิกได้ดำเนินการตามหน้าที่ และดำเนินการตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ตนอยากขอรับฟังความเห็นจากสมาชิกในประเด็นที่ผู้ถูกกล่าวหา ยื่นคำร้องคัดค้านดังกล่าว
จากนั้น ได้มีสมาชิกอภิปรายแสดงความเห็น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอดีต ส.ว.ที่ นายนิคมได้ขอคัดค้านการทำหน้าที่ โดยยืนยันสิ่งที่ได้กระทำไปนั้น เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญกำหนด และด้วยความบริสุทธิ์ใจ
นายตวง อันทะไชย กล่าวว่า ตนต้องการคุ้มครองคนที่ทำตามรัฐธรรมนูญ เพราะผู้ถูกกล่าวหา พูดความจริงข้างเดียว และไม่อาจมาร้องขอได้เพราะ ขัดรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ที่ขอให้สมาชิกจะต้องละเว้นหน้าที่ตัวเอง ให้งดร่วมระชุม งดอภิปราย และงดลงมติ เพราะในมาตรา 6 ให้พวกตนทำหน้าที่เสมือน ส.ส. ส.ว. ส่วนมาตรา 9 บังคับให้เข้าร่วมประชุม มิเช่นนั้นจะต้องสิ้นสุดสภาพ และเป็นการตีความกฎหมายเข้าข้างตัวเอง พวกตน16 คน ทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญปี 50 ประกอบพ.ร.บ. ป.ป.ช. ปี 42 ให้อำนาจ ส.ว. ถอดถอนบุคคลที่กระทำความผิด หรือส่อว่าใช้อำนาจตนเองกระทำความผิด และสาธารณะชนก็รับทราบแล้ว ผลของการทำผิดของผู้ถูกร้อง ป.ป.ช. มีมติชี้ว่ามูล และศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยแล้วว่า กระทำผิดชัดเจน การทำหน้าที่พวกตน จึงทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ที่เขียนไว้ว่า มีหน้าที่ร้องขอต่อ ป.ป.ช . ดำเนินการ
**อัด"นิคม"ทำผิดแล้วไม่สำนึก
นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ สนช. กล่าวว่า ได้อ่านหนังสือของผู้ร้องแล้ว รู้สึกไม่สบายใจว่า บุคคลภายนอกจะทำการก้าวก่ายอำนาจของสมาชิกที่มีโดยไม่สมควร เพราะส่วนตัวตนเคารพเป็นประธานรัฐสภา มีเกียรติสูงสุด น่าจะเคารพ แต่ขณะนั้นทั้งสองประธานทำตัวอย่างไรถึงให้สมาชิกเรียกว่า ประธานที่ผมเคยเคารพ แสดงว่า เขาไม่เคารพแล้ว สมควรที่จะสำนึก หรือคิดได้ว่าสมาชิกคิดอย่างไรกับตนเอง ความไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ว่าจะรวบรัดตัดตอนการอภิปรายของฝ่ายค้าน หรือเร่งรีบผ่านกฎหมาย ที่เอาอกเอาใจใครก็ตาม โดยไม่ฟังเสียงโต้แย้งทักท้วงจากสมาชิกคนอื่น รวบรัดอย่างนี้ เป็นประชาธิปไตยตรงไหน กฎหมายให้ถอดถอนได้ครั้งเดียว แต่พฤติกรรมของประธาน ที่ปฏิบัติมานั้นถอดถอนเจ็ดครั้งยังน้อยไป
นายสมชาย แสวงการ สนช. กล่าวว่า เรื่องนี้เปรียบเหมือนเราพบเห็นการกระทำความผิด ในหมู่บ้าน ชุมชน ทำหน้าที่พลเมือง ถูกต้องตามกฎหมาย มีสิทธิ์แจ้งดำเนินคดี สิ่งที่นิคมทำเรื่องมาเกิดความเสียหายไขว้เขวต่อพวกตน ใช้คำว่า สมาชิก16 คน ยังมีส่วนร่วมพิจารณาแก้รธน.ที่มาส.ว. อันเป็นมูลเหตุความขัดแย้ง มีประโยชน์ขัดกัน โดยสภาพแล้วถือมีเหตุร้ายแรง พวกตนทำหน้าที่ส.ว. ไม่ช่คู่กรณี ขณะนี้ทำตามรธน. ปัจจุบันและป.ป.ช. ถ้าเป็นเรื่องขัดกันผลประโยชน์ตรวจสอบอย่างไร ทั้งทางจริยธรรม และเหตุผลอื่นๆ เราทำหน้าที่สนช.ไม่มีการขัดกันผลประโยชน์แน่นอน ผู้ร้องยังไม่ทราบว่าจะลงมติอย่างไรเพราะลับในคูหา เราไม่ได้แสดงความเกลียดชัง หรือทำอย่างใดให้เห็นเอนเอียงหรือไล่ล่า ขอยืนยันทำหน้าที่เป็นธรรมแน่นอน เจตนาชัดว่าต้องการให้จำนวนลงมติไม่ครบ3ใน5 เป็นเรื่องปกติของผู้ร้อง เราทำน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ส่วนจะให้เราทำหน้าที่อย่างไร สุดแต่ประธานและที่ประชุมวินิจฉัย
หลังจากสมาชิแสดงความเห็นแล้ว นายพรเพชร ได้วินิจฉัยให้คำร้องของ นายนิคมตกไป แต่นายธานี อ่อนละเอียด ต้องการเสนอเป็นญัตติ เพื่อให้เป็นมติของที่ประชุม แต่นายตวง แย้งว่า เมื่อประธานวินิจฉัยไปแล้ว ถือว่าเป็นอันสิ้นสุด ในที่สุด นายพรเพชร ได้ยืนยันคำวินิจฉัยของตนและได้กำหนดวันที่ 8 ม.ค.58 เวลา 10.00 น. เป็นการแถลงเปิดสำนวน และแถลงคัดค้านของผู้กล่าวหาและผู้ถูกกล่าวหา
** "นิคม"ขอเพิ่มพยาน
จากนั้นเป็นการพิจารณาการขอเพิ่มเติมพยานของผู้ถูกกล่าวหา มีการเชิญคู่กรณีทั้งสองฝ่าย ประกอบด้วย นายวิชา มหาคุณ กรรมการป.ป.ช. นายสรรเสริญ พลเจียก เลขานุการ นายธรรมนูญ เรืองดิษฐ์ ผู้ช่วยเลขานุการ ส่วนอีกฝ่ายมีเพียงนายนิคมคนเดียว เพื่อให้คู่กรณีมาตรวจพยานหลักฐานที่ผู้กล่าวหายื่นขอเพิ่มเติมจำนวน 1รายการ โดยเป็นซีดีจำนวนสองแผ่น
นายนิคม ชี้แจงว่า ตนขอใช้สิทธิยื่นพยานวัตถุ ให้ที่ประชุมพิจารณาปรากฏในที่ประชุมป.ป.ช. เป็นแผ่นซีดี 9 แผ่น ความยาว 120 ชั่วโมง มติป.ป.ช.ไม่มีการนำเอาเหตุการณ์ที่ปรากฏในแผ่นซีดี มาวินิจฉัย และลงมติ อาจจะด้วยความรีบร้อน หรือข้อกล่าวหาเอกสารยาวมาก ซึ่งในซีดีของตนได้ย่อยเวลาให้เหลือ 4 ชั่วโมง เนื้อหาเป็นการเริ่มต้นวาระ 2 ของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เป็นเหตุให้ป.ป.ช.ลงมติว่า ตนทำผิดจากข้อร้องของ152 ส.ว. ใน 3 เรื่อง คือ 1. เรื่องที่ตนไปลงชื่อแก้รัฐธรรมนูญ
2. ตน ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า สนับสนุนการมี ส.ว.จากเลือกตั้ง และหากประชาชนเรียกร้องให้ตนลงเลือกตั้งก็จะลง แม้ไม่ต้องการเพราะกลัวข้อครหา กลับมีการมโนภาพว่า ตนให้ร้ายส.ว.สรรหา
3. หาว่าตนรับญัตติปิดการอภิปราย ความจริงไม่ได้ดูเลย เพราะถ้าดู จะรู้การรับญัตติ มีแต่ มาตรา 5, 6, 7, 11 และ11/1 เท่านั้น แต่โชคดีที่ ป.ป.ช. ที่อ่านตรงนี้ และตัดประเด็นที่ตนลงชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งความจริงตนลงชื่อแก้ไขในมาตรา 190 และมาตรา 237 รวมถึงยกคำฟ้องการแถลงข่าวในสื่อ เพราะ ถ้าตนทำผิดจรรยาบรรณจะต้องตั้งคณะกรรมการสอบ ได้ผลอย่างไร ค่อยร้องไปที่ป.ป.ช. แต่กลับรีบร้อนร้องไปที่ป.ป.ช. เลย แม้แต่ประธานป.ป.ช. ยังบอว่า กรณีนี้ต้องร้องไปที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน ตนเป็นคนสอนหนังสือ ต้องออกไปต่างจังหวัดทุกอาทิตย์ เพื่อเผยแพร่ ประชาธิปไตย และจริยธรรม จะหลงผิดได้อย่างไร ดีที่ป.ป.ช. ยกคำฟ้องนี้ แต่ไม่ยกคำร้องข้อกล่าวหาว่า ตนสนองรับญัตติที่ประชุม มีถ้าเป็นไปตามข้อบังคับมีคนประท้วงว่าทำผิดข้อบังคับ ตนมีหน้าที่อย่างเดียวคือต้องทำตามข้อบังคับประชุม จะพิจารณากฎหมายตนต้องดำเนินการตามข้อบังคับข้อที่ 99 คนที่ทำหน้าที่ประธานไม่มีสิทธิ์ทำอย่างอื่น
"การเสนอให้ปิดประชุมเป็นเอกสิทธิ์เด็ดขาดของสมาชิก มีผู้รับรองถูกต้อง เป็นหน้าที่ของตนต้องรับญัตตินั้น อยู่ๆ มาแนะไม่ให้รับญัตติ ท่านกำลังแนะนำไม่ให้ยึดหลักนิติธรรม ไม่ยึดหลักกฎหมาย หลักนิติธรรมไม่สามารถมาบังคับหรือใหญ่กว่าหลักของรัฐธรรมนูญ ผมจำเป็นต้องเอาหลักฐานนี้มาย่อย เชื่อว่าทั้ง 120 กว่าชั่วโมง ป.ป.ช.ไม่มีโอกาสดูแน่นอน เพียงแค่ดู 4 ชั่วโมง ก็เครียด ความดันสูงแล้ว วันนี้ผมผ่าวิกฤตมาได้อย่างไร ถ้ามีประธาน3-4 คน วันนี้โดนฟ้องเหมือนผมหมด ในแผ่นซีดีนี้ จะช่วยได้อ่าน ฟัง ดู แล้วจะเข้าใจ"
ด้านตัวแทนผู้ร้องคือ นายวิชา มหาคุณ กล่าวว่า คดีดังกล่าว ป.ป.ช. ไม่ได้ดำเนินการไต่สวนถอดถอนโดยตัวเอง แต่เป็นการทำหน้าที่แทนวุฒิสภา ตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ ให้ป.ป.ช. เป็นเครื่องมือหนึ่งในการถอดถอนของส.ว. เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จ จึงส่งเรื่องกลับมาในช่วงที่มี สนช.แล้ว จึงเป็นหน้าที่ของ สนช. ต้องดำเดินการถอดถอนต่อจาก ส.ว.ชุดเก่า โดยยึดหลักนิติธรรม ยืนยันว่า การดำเนินการไต่สวนเป็นไปตามกระบวนการที่กฎหมายกำหนด อย่างเคร่งครัด การที่ผู้ถูกกล่าวหาได้ขอให้สิทธิ์ตามข้อบังคับเพิ่มเติมพยานหลักฐานเป็นแผ่นซีดี 2 แผ่นนั้น ตนได้ตรวจสอบแล้ว และขอให้สมาชิกได้พิจารณาสำเนารายงานผลการตรวจสอบจำนวน 110 หน้าที่ป.ป.ช.จัดส่งมาจะพบว่า วัตถุพยานดังกล่าวที่ผู้ถูกร้องขอเพิ่มเติมนั้น องค์คณะไต่สวนของป.ป.ช.ได้รวบรวมไว้ในสำนวนหมดแล้วตั้งแต่ก่อนพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหา โดยไม่ได้เป็นเพียงแผ่นซีดี9 แผ่น แต่เป็น 91 แผ่นซึ่งทั้งหมดป.ป.ช.ได้ดำเนินการต่อจากการไต่สวนและมีคำวิจิฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ โดยเราได้รับวัตถุพยานเหล่านี้จากสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาตามที่ได้ร้องขอไป นอกจากนี้เพื่อให้การตรวจสอบเป็นไปโดยง่ายและไม่จำเป็นต้องไปเปิดดูซีดีทั้งหมด วัตถุพยานในสำนวนก็ยังมีสำเนาบันทึกรายงานการประชุมในกรณีดังกล่าวทั้งหมด ซึ่งสมาชิกสามารถตรวจดูได้ตามหัวข้อ
"ยืนยันว่าเราให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหา ในการตรวจสอบพยานหลักฐาน แต่ที่ผ่านมาผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้ใช้สิทธิ์ ซึ่งอาจเข้าใจว่า รู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว และป.ป.ช. ยังให้โอกาสในการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ซึ่งท่านก็ได้ใช้สิทธิไปชี้แจง วันที่ 12 ก.พ. 57 โดยปฏิเสธข้อกล่าวหาทุกข้อ พร้อมกับมอบเอกสาร ประกอบการชี้แจง และขอให้เรียกพยานบุคคลเข้าชี้แจงอีกจำนวนหลายมาก ป.ป.ช. ก็เรียกสอบทุกคนไม่มีการตัดพยาน ดังนั้นพยานหลักฐานที่ผู้ถูกกล่าวหา นำมาขอให้เพิ่มเติมจึงไม่ใช่พยานหลักฐาน ที่เราไม่อนุญาต หรือไม่มีในสำนวน แต่ทุกอย่างปรากฏครบถ้วนหมดแล้วในสำนวน ที่ผ่านมาเราให้โอกาสอย่างที่สุด เพราะพิจารณาเห้นว่าการทำหน้าที่ของท่านในฐานะประธาน และสมาชิกทั้งหลายเป้นการทำหน้าที่ในฐานะตัวแทนปวงชนชาวไทย แต่เมื่อมีการร้องเรียนและศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยชี้ขาดไปแล้ว เราก็ต้องดำเนินการตามหน้าที่ให้เกิดความเป็นธรรมที่สุด”
** สนช.ไม่รับเพิ่มพยาน
ต่อมานายนิคม ได้แย้งถึงความจำเป็นที่ต้องการให้ที่ประชุม รับพยานหลักฐานที่ขอเพิ่มเติม โดยอ้างว่า ซีดีทั้งสองแผ่น จะเป็นสิ่งที่ชี้ว่า ข้อเท็จจริงผิดไปจากเอกสารหลักฐานที่ ป.ป.ช. ใช้ในการสรุปและกล่าวหาตน โดยมีการยกตัวอย่างว่าเช่นสำนวนป.ป.ช.ระบุว่าตนรับญัตติปิดอภิปรายทั้งที่ยังมีผู้ขออภิปรายอยู่ในมาตรา 5 แต่ถ้าไปดูในซีดี จะพบว่า จะมีทั้งผู้ขอเปิดและขอปิดการประชุม ซึ่งตนรับญัตติปิดการประชุม ในช่วงที่ไม่มีใครขออภิปรายแล้ว ข้อความในลักษณะอย่างนี้ ป.ป.ช.รับฟังข้อเท็จจริงผิดไปจากพยานหลักฐานที่มีอยู่ ตนขอใช้สิทธิตามข้อบังคับเพื่อให้เพิ่มพยานหลักฐานที่เห็นว่ามีความแตกต่างและเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ แต่ก็ขึ้นอยู่กับที่ประชุมจะพิจารณาว่าจะรับหรือไม่
จากนั้นนายพรเพชรได้ขอมติต่อที่ประชุมว่าจะรับพยานหลักฐานของนายนิคมไว้เพิ่มเติมหรือไม่ โดยมีองค์ประชุมจำนวน 192 เสียง โดยสมาชิกจำนวน 96 ต่อ 82 เสียงไม่เห็นด้วย งดออกเสียง 14 เสียง จึงถือว่าหลักฐานดังกล่าวสมาชิกจะนำมาพิจารณาเพิ่มเติมไม่ได้ และได้กำหนดให้สมาชิกที่ต้องการจะยื่นญัตติซักถามสามารถแสดงความจำนงได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 7 ม.ค. 58 ในเวลาราชการ
ต่อมาที่ประชุมได้พิจารณาคำร้องถอดถอน นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานสภาผู้แทนราษฏร ของคณะกรรมการป.ป.ช.ในข้อหาเดียวกัน แต่นายสมศักดิ์ ไม่ได้เดินมาเนื่องจากไม่ได้ประสงค์ขอเพิ่มพยานหลักฐานอะไร ซึ่งประธานได้กำหนดวันเปิดแถลงสำนวนในวันเดียวกันคือวันที่ 8 ม.ค. 58โดยที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบ
นายพรเพชร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีคำร้องถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าวันนี้ (28 พ.ย.) ที่ประชุมสนช. จะพิจารณาการกำหนดวันแถลงเปิดคดี ที่เบื้องต้นทางวิปสนช. ได้กำหนดไว้เป็นวันที่ 9 ม.ค. 58 ว่าที่ประชุมจะเห็นด้วยหรือไม่ และคำขอเพิ่มเติมพยานหลักฐาน ซึ่งมีจำนวนมาก ก็ต้องดูว่าหากที่ประชุมรับพยานหลักฐานนั้นก็ต้องให้เวลากับสมาชิกในการนำไปศึกษา แต่ในวันนี้น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะมาชี้แจงด้วยตนเอง หรือไม่ ตนไม่สามารถทราบได้