ASTVผู้จัดการรายวัน – ทายาทธุรกิจดัง “เซ็นทรัล-ศรีไทย” ผนึกกลุ่มเพื่อนรวม 7 คน ตั้งบริษัท ล้นฟ้ากรุ๊ป ปั้นแบรนด์ “อี ดริงค์” ลุยตลาดเครื่องดื่มชูกำลัง แตกเซ็กเมนต์ใหม่ ผสมน้ำผลไม้ ตั้งเป้ารายได้ปีหน้า 90 ล้านบาท
นายภัสสรกรณ์ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ล้นฟ้า กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯดังกล่าวตนเองและเพื่อนๆรวมทั้งหมด 7 คนได้ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อทำธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลังแบรนด์ อี ดริงค์ (E drink ) ซึ่งเป็นการสร้างเซกเมนต์ใหม่ให้กับตลาดคือ เครื่องดื่มชูกำลังที่ผสมน้ำผลไม้ ไม่ผสมคาเฟอีน ที่ยังไม่มีจำหน่ายในตลาดไทยจึงถือเป็นรายแรกในตลาดเซ็กเมนต์นี้ เพื่อสร้างความแตกต่างในการรุกตลาด โดยว่าจ้างบริษัท มาลีสามพราน จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ผลิต ส่วนแผนตั้งโรงงานผลิตเองหรือไม่นั้นยังเป็นระยะยาว ซึ่งช่วงแรกนี้ตั้งงบดำเนินการไว้ 50ล้านบาท ซึ่งใช้ไปแล้วประมาณ 10ล้านบาท
เหตุผลที่เข้าตลาดชูกำลัง เนื่องจากว่า เป็นตลาดที่มีการเติบโตดีมีฐานตลาดที่ใหญ่มูลค่ากว่า 26,500 ล้านบาท และเติบโตดี 6% ปีที่แล้ว แม้ว่าปีนี้ตลาดรวมจะตกลงก็ตามประมาณ 4% เป็นผลมาจากปัญหาทางด้านการเมืองก่อนหน้านี้และปัญหาทางด้านเศรษฐกิจมากกว่าที่กระทบตลาด โดยมีผู้เล่นในตลาดหลายราย แต่มีแบรนด์หลักๆไม่กี่แบรนด์เช่น เอ็ม150 เป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่งกว่า 45% ตามมาด้วยแบรนด์คาราบาวแดง ส่วนแบ่ง 26% และแบรนด์กระทิงแดงแชร์ 15% นอกจากนั้นก็เป็นแบรนด์อื่นรวมกัน ซึ่งตลาดหลักส่วนใหญ่คือ แมส ส่วนใหญ่จะเป็นบรรจุภัณฑ์แบบขวดแก้ว กลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ใช้แรงงานเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม อี ดริงค์เปิดเซกเมนต์ใหม่ เป็นเครื่องดื่มชูกำลังผสมน้ำผลไม้ ไม่มีคาเฟอีน และพยายามสร้างภาพลักษณ์ไม่ใช่เครื่องดื่มชูกำลังที่เป็นผู้ใช้แรงงานดื่มเท่านั้น ซึ่งเป็นไปตามเทรนด์ของตลาดโลกที่นิยมดื่มเครื่องดื่มแบบนี้ เป็นไลฟ์สไตล์อย่างหนึ่ง ที่สามารถดื่มได้ทุกเพศทุกวัย ไม่จำเป็นต้องผู้ใช้แรงงาน โดยกลุ่มเป้าหมายของอี ดริ้งค์ คือ คนรุ่นใหม่มีไลฟืสไตล์ที่แอคทีฟ
ทั้งนี้อี ดริงค์ จัดอยู่ในกลุ่มแมสพรีเมียม ที่เป็นบรรจุกระป๋อง ขนาด 240 มิลลิลิตร ราคา 30 บาท คู่แข่งที่อยู่ในตลาดเดียวกันคือ ชาร์คคูลไบท์ ส่วนแบรนด์นำเข้าจากต่างประเทศที่จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันคือ เรดบูล, ร็อกสตาร์ , มันสเตอร์ ส่วนใหญ่ราคาจะสูงกว่าเรามาก เฉลี่ย 50-60 บาทต่อกระป๋อง และเซกเมนต์แมสพรีเมียมนี้ก็มีสัดส่วนตลาดเพียง 15% จากตลาดรวมเท่านั้นเอง โอกาสในการขยายตลาดยังมีอีกมาก
สินค้าวางตลาดแล้ว เดือนนี้เน้นช่องทางโมเดิรน์เทรด ซึ่งเป็นหลักในตลาดกว่า 70% เชน แฟมิลีทาร์มทกุสาขา ท้อปส์ศซูเอร์มาร์เกตทักสาขา โดยมีสัญญาเอ้กซืคลูซีฟกสองลชอทางี้นา 6 เดือน ส่วยช่อทางเทรดดิชันีลเทรด ซึ่งเป้นสัด่วยตลดา 305 ของสินาประเภทนื้จะเริ่มวางปีหน้า ส่วนช่องทางโฮเรก้าก็มีแผนรุกตลาดเช่นกัน ปีหน้าเช่น โรงแรม ร้านอาหาร สปอร์ตคอมเพล็กซ์ โรงแรม รีสอร์ต ไนท์คลับ เป็นต้น วางเป้าหมายยอดขายปีแรกไว้ที่ 3 ล้านกระป่อง หรือมีรายได้รวม ประมาณ 90 ล้านบาท
กลยุทธ์ตลาดเราจะเน้นไลฟ์สไตล์มาร์เก็ตติ้ง เช่น เป็น ผู้สนับสนุนงานแฟชั่นวีค เป็นผู้สนับสนุนงานอาร์เคเดียมิวสิคเฟสติวัลจากอังกฤษวันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายนนี้ เป็นต้น
โดยใช้งบการตลาดช่วงปีแรก 15 ล้านบา ท และปีหน้าจะใช้งบตลาด 30 ล้านบาท เน้นโซเชียลมีเดีย และพรีเซเตอร์ที่จะมีการประกวดหาพรีเซ็นเตอร์ในปีหน้า การจัดกิจกรรม จัดอีเวนต์ ตามออฟฟิศ มหาวิทยาลัย เป็นต้น ซึ่งปีหน้าจะมีออกรสชาติใหม่อีก 2 – 3 รสชาติ
สำหรับผู้ร่วมทุนบริษัทฯนี้ ส่วนใหญ่เป็นลูกหลานตระกูลดังเช่น นายภัสสกรณ์ ถือหุ้น 30% เป็นลูกชาย ของนายสุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์ ประธานกลุ่มโรงแรมของเซ็นทรัลกรุ๊ป กับนางอาภัสรา จิราธิวัฒน์ อดีตนางงามจักรวาล , นายศุภวุฒิ มณีรินทร์ ถือหุ้น 10% เป็นลูกชายของนางสิริกร มณีรินทร์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายนิธิ เลิศสุมิตรกุล ถือหุ้น 15% (ลูกชายของนายสมบัติ เลิศสุมิตรกุล) เป็นหลานของนายสุมิตร เลิศสุมิตรกุล เจ้าของและผู้บริหารของศรีไทยซูเปอร์แวร์
นอกนั้นก็ยังมี นายภคิน หาญศิริพงษ์สกุล ถือหุ้น 20% , นายทินพันธุ์ วณิชชากรพงศ์ ถือหุ้น 10%, นายอนวัช แห่งเชาวนิช ถือหุ้น 8% และนางสาวไกรกาญจน์ ศิริรังษี ถือหุ้น 7%
นายภัสสรกรณ์ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ล้นฟ้า กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯดังกล่าวตนเองและเพื่อนๆรวมทั้งหมด 7 คนได้ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อทำธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลังแบรนด์ อี ดริงค์ (E drink ) ซึ่งเป็นการสร้างเซกเมนต์ใหม่ให้กับตลาดคือ เครื่องดื่มชูกำลังที่ผสมน้ำผลไม้ ไม่ผสมคาเฟอีน ที่ยังไม่มีจำหน่ายในตลาดไทยจึงถือเป็นรายแรกในตลาดเซ็กเมนต์นี้ เพื่อสร้างความแตกต่างในการรุกตลาด โดยว่าจ้างบริษัท มาลีสามพราน จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ผลิต ส่วนแผนตั้งโรงงานผลิตเองหรือไม่นั้นยังเป็นระยะยาว ซึ่งช่วงแรกนี้ตั้งงบดำเนินการไว้ 50ล้านบาท ซึ่งใช้ไปแล้วประมาณ 10ล้านบาท
เหตุผลที่เข้าตลาดชูกำลัง เนื่องจากว่า เป็นตลาดที่มีการเติบโตดีมีฐานตลาดที่ใหญ่มูลค่ากว่า 26,500 ล้านบาท และเติบโตดี 6% ปีที่แล้ว แม้ว่าปีนี้ตลาดรวมจะตกลงก็ตามประมาณ 4% เป็นผลมาจากปัญหาทางด้านการเมืองก่อนหน้านี้และปัญหาทางด้านเศรษฐกิจมากกว่าที่กระทบตลาด โดยมีผู้เล่นในตลาดหลายราย แต่มีแบรนด์หลักๆไม่กี่แบรนด์เช่น เอ็ม150 เป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่งกว่า 45% ตามมาด้วยแบรนด์คาราบาวแดง ส่วนแบ่ง 26% และแบรนด์กระทิงแดงแชร์ 15% นอกจากนั้นก็เป็นแบรนด์อื่นรวมกัน ซึ่งตลาดหลักส่วนใหญ่คือ แมส ส่วนใหญ่จะเป็นบรรจุภัณฑ์แบบขวดแก้ว กลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ใช้แรงงานเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม อี ดริงค์เปิดเซกเมนต์ใหม่ เป็นเครื่องดื่มชูกำลังผสมน้ำผลไม้ ไม่มีคาเฟอีน และพยายามสร้างภาพลักษณ์ไม่ใช่เครื่องดื่มชูกำลังที่เป็นผู้ใช้แรงงานดื่มเท่านั้น ซึ่งเป็นไปตามเทรนด์ของตลาดโลกที่นิยมดื่มเครื่องดื่มแบบนี้ เป็นไลฟ์สไตล์อย่างหนึ่ง ที่สามารถดื่มได้ทุกเพศทุกวัย ไม่จำเป็นต้องผู้ใช้แรงงาน โดยกลุ่มเป้าหมายของอี ดริ้งค์ คือ คนรุ่นใหม่มีไลฟืสไตล์ที่แอคทีฟ
ทั้งนี้อี ดริงค์ จัดอยู่ในกลุ่มแมสพรีเมียม ที่เป็นบรรจุกระป๋อง ขนาด 240 มิลลิลิตร ราคา 30 บาท คู่แข่งที่อยู่ในตลาดเดียวกันคือ ชาร์คคูลไบท์ ส่วนแบรนด์นำเข้าจากต่างประเทศที่จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันคือ เรดบูล, ร็อกสตาร์ , มันสเตอร์ ส่วนใหญ่ราคาจะสูงกว่าเรามาก เฉลี่ย 50-60 บาทต่อกระป๋อง และเซกเมนต์แมสพรีเมียมนี้ก็มีสัดส่วนตลาดเพียง 15% จากตลาดรวมเท่านั้นเอง โอกาสในการขยายตลาดยังมีอีกมาก
สินค้าวางตลาดแล้ว เดือนนี้เน้นช่องทางโมเดิรน์เทรด ซึ่งเป็นหลักในตลาดกว่า 70% เชน แฟมิลีทาร์มทกุสาขา ท้อปส์ศซูเอร์มาร์เกตทักสาขา โดยมีสัญญาเอ้กซืคลูซีฟกสองลชอทางี้นา 6 เดือน ส่วยช่อทางเทรดดิชันีลเทรด ซึ่งเป้นสัด่วยตลดา 305 ของสินาประเภทนื้จะเริ่มวางปีหน้า ส่วนช่องทางโฮเรก้าก็มีแผนรุกตลาดเช่นกัน ปีหน้าเช่น โรงแรม ร้านอาหาร สปอร์ตคอมเพล็กซ์ โรงแรม รีสอร์ต ไนท์คลับ เป็นต้น วางเป้าหมายยอดขายปีแรกไว้ที่ 3 ล้านกระป่อง หรือมีรายได้รวม ประมาณ 90 ล้านบาท
กลยุทธ์ตลาดเราจะเน้นไลฟ์สไตล์มาร์เก็ตติ้ง เช่น เป็น ผู้สนับสนุนงานแฟชั่นวีค เป็นผู้สนับสนุนงานอาร์เคเดียมิวสิคเฟสติวัลจากอังกฤษวันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายนนี้ เป็นต้น
โดยใช้งบการตลาดช่วงปีแรก 15 ล้านบา ท และปีหน้าจะใช้งบตลาด 30 ล้านบาท เน้นโซเชียลมีเดีย และพรีเซเตอร์ที่จะมีการประกวดหาพรีเซ็นเตอร์ในปีหน้า การจัดกิจกรรม จัดอีเวนต์ ตามออฟฟิศ มหาวิทยาลัย เป็นต้น ซึ่งปีหน้าจะมีออกรสชาติใหม่อีก 2 – 3 รสชาติ
สำหรับผู้ร่วมทุนบริษัทฯนี้ ส่วนใหญ่เป็นลูกหลานตระกูลดังเช่น นายภัสสกรณ์ ถือหุ้น 30% เป็นลูกชาย ของนายสุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์ ประธานกลุ่มโรงแรมของเซ็นทรัลกรุ๊ป กับนางอาภัสรา จิราธิวัฒน์ อดีตนางงามจักรวาล , นายศุภวุฒิ มณีรินทร์ ถือหุ้น 10% เป็นลูกชายของนางสิริกร มณีรินทร์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายนิธิ เลิศสุมิตรกุล ถือหุ้น 15% (ลูกชายของนายสมบัติ เลิศสุมิตรกุล) เป็นหลานของนายสุมิตร เลิศสุมิตรกุล เจ้าของและผู้บริหารของศรีไทยซูเปอร์แวร์
นอกนั้นก็ยังมี นายภคิน หาญศิริพงษ์สกุล ถือหุ้น 20% , นายทินพันธุ์ วณิชชากรพงศ์ ถือหุ้น 10%, นายอนวัช แห่งเชาวนิช ถือหุ้น 8% และนางสาวไกรกาญจน์ ศิริรังษี ถือหุ้น 7%