xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“บิ๊กตู่” กะ “บิ๊กโด่ง” “ครูใหญ่” กะ “ครูฝ่ายปกครอง” ต้องเชิญมาปรับทัศนคติกันหน่อย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -เสียงหวดไม้เรียวของ “ครูใหญ่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) ดังขวับ พร้อมคำเตือน “เขียนให้ดีๆ หน่อย” เพื่อจัดแถวสื่อให้อยู่ในความสงบเรียบร้อยเหมือนทหาร ตามมาด้วย “ครูฝ่ายปกครอง” พล.อ.อุดมเดช สีตะบุตร ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมที่โค้งรับนโยบายไปปฏิบัติจัดหนักด้วยการเชือดไก่ให้ลิงดู

กรณีตบเท้าบีบผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ให้สั่งปลดพิธีการสาวออกจากรายการเสียงประชาชนต้องฟังก่อนปฏิรูป และกรณีมีทหารรับ “คำสั่งนาย” โชว์กร่างกระชากกระเป๋าและนักข่าวสาวของสถานีโทรทัศน์ อสมท และสำนักข่าวไทย ออกจากห้องประชุมทบ.ภาค 2 สร้างความหวาดผวาน่ากลัวในอำนาจของครูใหญ่และครูผู้ปกครองเป็นที่สุด

ยิ่งคำประกาศกร้าว ไม่ยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) ที่ควบคุมสื่อ และถ้าใครล้ำเส้นทหารเคลียร์หมด ยิ่งทำให้บรรยากาศตกอยู่ภายใต้ความอึดอัด หวาด ผวาเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น หากยังปล่อยให้ความอึมครึมชวนอึดอัดนี้ดำรงอยู่ภายใต้บรรยากาศที่ชักชวนให้ปรองดองและปฏิรูปประเทศ

จะว่าไป ผู้นำของประเทศที่พยายามญาติดีกับสื่อมาระยะหนึ่งนั้น เวลานี้กำลังตกอยู่ในอาการหงุดหงิดอีกครั้งตั้งแต่เจอสื่อรุมซักไซ้ไล่เรียงถึงเรื่องที่ดินของพ่อต่อมาจากเรื่องทรัพย์สินที่มีคนใกล้ชิดร่ำรวย และมีรายการลองของออกมาเคลื่อนไหวของประชาชนในภาคส่วนต่างๆ ซึ่งความจริงแล้วถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาตามระบอบประชาธิปไตยที่สื่อย่อมต้องมีเสรีภาพในการตรวจสอบคณะผู้อาสามาบริหารประเทศ และประชาชนย่อมมีสิทธิ์มีเสียงตามรัฐธรรมนูญฯ ชั่วคราวที่ คสช.ใช้ปกครองประเทศในเวลานี้ได้รับประกันถึงสิทธิ์นั้นเอาไว้ชัดเจน

ดังนั้น หาก คสช. เข้าใจในหลักการสำคัญนี้ ก็คงไม่มีปัญหาและไม่ไปเที่ยวไล่จับใครต่อใครไปปรับทัศนคติ โดยอ้างเหตุเพื่อความสงบเรียบร้อยของประเทศซ้ำซาก

ปัญหาที่เกิดขึ้นแก้ง่ายนิดเดียว คือครูใหญ่และครูผู้ปกครองและบรรดากุนซือที่ปรึกษาเองนั่นแหละที่ต้อง “ปรับทัศนคติ” ของตัวเองเสียใหม่ เพราะการใช้อำนาจเหมือนที่กระทำในเวลานี้ ไม่มีผลดีด้วยประการทั้งปวง โดยเฉพาะในช่วงที่กำลังตีปี๊บเรื่องปฏิรูปประเทศ ซึ่งต้องเปิดกว้างรับฟังเสียงจากทุกฝ่าย หาไม่แล้วก็ไม่ควรสิ้นเปลืองเงินทองภาษีของประชาชนไปเพื่อสิ่งที่พากันเรียกว่า ปฏิรูป แม้สักแดงเดียว

แต่ก็อย่างว่าเพราะครูใหญ่กับครูผู้ปกครองเคยชินกับการใช้อำนาจสั่งแถวตรง การจะให้ปรับทัศนคติเสียใหม่ก็อาจจะยากพอๆ กับการงมเข็มในมหาสมุทรนั่นทีเดียว ดูได้จากปฏิกิริยาของครูใหญ่ที่ตอบคำถามผู้สื่อข่าวอย่างมีอารมณ์ เมื่อถูกถามถึงกรณีที่ทหารไปกดดันสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ว่า "ผมไม่เคยพูดว่ากดดัน ไม่มีใครกดดันอะไร ไปพูดคุยกับผู้บริหารดีๆ มันไปกดดันตรงไหน เขียนมันให้ดีๆ หน่อย..."

เมื่อผู้สื่อข่าวถามต่อว่า สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ขอให้ทบทวนประกาศ หรือคำสั่ง ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชน ฉบับที่ 97 และ 103 ครูใหญ่ก็สวนทันควันว่า ไม่ทบทวน

“ครูใหญ่” ยิ่งแสดงอารมณ์ฉุนเฉียว เมื่อถูกถามถึงการขายที่ดินจำนวน 9 แปลง ให้แก่ บริษัท 69 พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด จำนวนเงิน 600 ล้านบาทว่า "ไม่ใช่เรื่องของคุณเลยนะ คนอื่นถามมา ไม่มีเรื่องอื่นที่ประเทืองปัญญากว่านี้หรือไง พูดเรื่องประเทศชาติกันอยู่ แล้วกลับมาเรื่องนี้ทำไมอีก ไม่เข้าใจ "

เมื่อถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตมีการตั้ง บริษัท 69 พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ขึ้นมาก่อนขายที่ดินเพียง 7 วัน ครูใหญ่ ก็ย้อนทันควันว่า “ก็ไปถามบริษัท เขาซิ .... เรื่องในประเทศ คือในประเทศ ส่วนตัว คือส่วนตัว ประเทศชาติ คือประเทศชาติ เอาอย่างนั้นแล้วกัน จะได้ไม่หงุดหงิดใส่กัน ขอร้อง ถ้าคนไม่ละเมิดซึ่งกันและกัน สิทธิส่วนบุคคลผมมีอยู่ ไม่ใช่ผมเป็นนายกฯ แล้วจะมาอย่างไงก็ได้กับผม มันไม่ใช่ ผมก็เป็นประชาชน มีสิทธิปกป้องตัวเหมือนกัน"

เมื่อครูใหญ่น้องรักชักหงุดหงิด พี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรมว.กระทรวงกลาโหม ซึ่งเล่นบทที่ปรึกษาและผู้ช่วยครูใหญ่ ก็ออกมาหวดไม้เรียวปรามให้หุบปากและอย่าแตกแถว ตอนนี้มีสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) อยู่แล้ว และไม่เห็นว่าจะมีอะไรตรงไหนที่จะทำให้เกิดความไม่พอใจ ดังนั้นอะไรที่จะทำให้ประชาชนไขว้เขวและสับสนสื่อจะต้องไม่ทำ “ผมไม่ต้องบอกว่าสิ่งใดล่อแหลม หรือไม่ล่อแหลม ไม่ต้องอธิบาย เพราะทุกคนต้องเข้าใจ รัฐบาลและคสช.ไม่ได้ดำเนินการนอกเหนือจากกฎหมายและรัฐธรรมนูญ”

อีกทั้งยังสำทับเป็นเสียงเดียวกันด้วยว่า จะไม่มีการยกเลิกประกาศ คสช. ฉบับที่ 97 และ 103 ซึ่งคสช.มีคณะกรรมการและเจ้าหน้าที่ดูแลสถานการณ์ตลอดไม่จำเป็นต้องมาบอก นายกรัฐมนตรีรู้ดีว่าช่วงเวลาไหนควรดำเนินการอย่างไร

เมื่อครูใหญ่ ครูผู้ปกครอง และพี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ส่งสัญญาณเช่นนี้ คณะกรรมการชุดตอบโต้เร็วก็ทำงานเอาใจนายได้ทันอกทันใจดีแท้ อย่างกรณีทหารโชว์กร่างปฏิบัติตามคำสั่งนาย และพอเป็นข่าวฉาวโฉ่ขึ้นมาก็มีองครักษ์พิทักษ์นายออกมาตอบโต้อย่างรวดเร็ว

เหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดแต่ก็เกิดขึ้นแล้วนั้น เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 พ.ย. 2557 ในวันที่ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กระทรวงกลาโหม เลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และคณะเดินทางไปยังค่ายสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) อ.เมือง จ.นครราชสีมา เพื่อตรวจเยี่ยมหน่วยทหารในพื้นที่รับผิดชอบกองทัพภาคที่ 2 จ.นครราชสีมาและจ.ศรีสะเกษ โดยมี พล.ท.ธวัช สุกปลั่ง แม่ทัพภาคที่ 2 (มทภ.2) และคณะนายทหารระดับสูงของกองทัพภาคที่ 2 ให้การต้อนรับ พร้อมบรรยายสรุปสถานการณ์พื้นที่ภาคอีสานและชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน งานนี้ ทางฝ่ายประชาสัมพันธ์ กองทัพภาคที่ 2 ได้มีจดหมายเชิญสื่อมวลชนให้มาทำข่าวด้วย

แต่ในระหว่างการประชุมของ ผบ.ทบ. ภายในห้องพัชรินทร์ ค่ายสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 ได้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น เมื่อผู้สื่อข่าวโมเดิร์นไนน์ทีวี และสำนักข่าวไทย อสมท ประจำจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นสุภาพสตรีได้เข้าไปบันทึกภาพวิดีโอเพื่อทำข่าวภายในห้องประชุมตามปกติ โดยได้ขออนุญาตนายทหารซึ่งเป็นสารวัตรทหาร (สห.) ที่ทำหน้าที่ดูแลเฝ้าประตูห้องประชุม และ สห.ได้อนุญาตให้เข้าไปได้พร้อมเปิดประตูให้ผู้สื่อข่าวเข้าไปบันทึกภาพการประชุมเพื่อประกอบการรายงานข่าว ขณะนั้น พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผบ.ทบ. และคณะ กำลังรับฟังบรรยายสรุปและชมพรีเซ็นเตชันสถานการณ์ชายแดนภาคอีสาน

ขณะที่ผู้สื่อข่าวได้ทำการบันทึกภาพบรรยากาศภายในห้องประชุมได้ประมาณ 1 นาที ทันใดนั้นได้มีนายทหารฝ่ายเสนาธิการ กองทัพภาคที่ 2 นายหนึ่ง ทราบชื่อภายหลัง คือ พ.ต.อนุชา ดาวังปา นายทหารฝ่ายเสนาธิการ กองกิจการพลเรือน กองทัพภาคที่ 2 (ฝสธ.กกร.ทภ.2) เข้ามาดึงกระเป๋ากล้องวิดีโอและกระชากลากตัวผู้สื่อข่าวออกมาจากห้องประชุมไปทันทีโดยไม่ได้พูดหรือบอกกล่าวแต่อย่างใด สร้างความตกใจให้แก่ผู้สื่อข่าวซึ่งเป็นสุภาพสตรีเป็นอย่างมากถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ท่ามกลางสายตาผู้เข้าร่วมประชุมซึ่งล้วนเป็นนายพล นายทหาร ระดับสูง และเกิดเหตุการณ์ขึ้นต่อหน้า พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม เลขาธิการ คสช. และ ผบ.ทบ.

ขณะนั้น ผู้สื่อข่าวที่ถูกนายทหารกระชากลากตัวออกมาจากห้องประชุมได้พยายามร้องสอบถามถึงการกระทำดังกล่าวของ พ.ต.อนุชา ซึ่งเป็นพฤติกรรมของนายทหารที่ไม่ให้เกียรติบุคคลอื่น ทั้งที่การเข้าไปทำข่าวของผู้สื่อข่าวเป็นไปตามปกติและได้รับอนุญาตให้เข้าไปบันทึกภาพในห้องประชุมและเป็นการมาทำข่าวตามคำเชิญของกองทัพภาคที่ 2 อีกด้วยแต่ต้องมาเจอพฤติกรรมป่าเถื่อนก้าวร้าวของนายทหารซึ่งไม่เว้นแม้แต่กระทำกับผู้หญิง ทั้งที่สามารถเดินมากระซิบหรือบอกให้ออกไปจากห้องประชุมด้วยดีเฉกเช่นสุภาพชนทั่วไป

หลังปฏิบัติการกระชากนักข่าว นายทหารคนดังกล่าวพยายามแก้ตัวว่าไม่ได้ตั้งใจ และบอกอีกว่า “ทำตามคำสั่งนาย” และไม่ใช่แค่นักข่าวสาว อสมท เท่านั้นที่เจอกับเรื่องเช่นนี้ ก่อนหน้านั้นผู้สื่อข่าวท้องถิ่น 2 คนที่เข้าไปทำข่าวเดียวกัน ก็ถูกนายทหารคนดังกล่าวกระชากเสื้อและไล่ออกมาจากห้องเช่นกัน

ภายหลังการรายงานข่าวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและมีการแชร์ข่าวนี้ผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์คจำนวนมาก ทางกองทัพภาคที่ 2 ก็ออกหนังสือชี้แจงลงนามโดยพ.อ.รณกร ปานกุล ผู้อำนวยการกองกิจการพลเรือน กองทัพภาคที่ 2 (ผอ.กกร.ทภ.2) ลงวันที่ 16 พ.ย. 2557 สรุปความได้ว่า ได้อนุญาตให้สื่อบันทึกภาพก่อนการประชุมประมาณ 5 นาทีและให้ออกจากห้องประชุม แต่หลังเริ่มประชุมไปประมาณ 10 นาที มีผู้สื่อข่าวหญิงท่านหนึ่งเข้ามาในห้องประชุมจึงตกใจและแจ้งให้นายทหาร (ฝสธ.กกร.ทภ.2) ซึ่งรับผิดชอบดูแลผู้สื่อข่าวที่มาทำข่าวเชิญผู้สื่อข่าวหญิงดังกล่าวออกไปก่อนเนื่องจากเป็นห่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม

พ.อ.รณกร ชี้แจงว่า นายทหารผู้ที่รับผิดชอบและได้รับคำสั่งจึงได้เข้าไปเชิญตัวออกไปจากห้องประชุม (โดยตั้งใจใช้มือสะกิดแขนเพื่อแจ้งให้ทราบ แต่มือไปสัมผัสกับสายกระเป๋า กล้องถ่ายรูปที่คล้องอยู่กับลำตัว แต่ในที่สุดนักข่าวท่านนั้นก็ออกไปจากห้องประชุม โดยแสดงอาการไม่พอใจ และตำหนินายทหารดังกล่าวว่า “บอกกันดีๆ ก็ได้ ทำไมต้องกระชากด้วย” ซึ่งเมื่อกระผมเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวจึงแจ้งให้ผู้สื่อข่าวหญิงทราบว่า การที่นายทหารได้เชิญตัวออกมานั้นไม่มีเจตนาใช้ความรุนแรง และได้กล่าวคำขอโทษ แต่เนื่องจากกระผมจำเป็นต้องเข้าร่วมประชุมต่อ จึงไม่ได้ชี้แจงรายละเอียด และทำความเข้าใจเพิ่มเติม)

การใช้คำว่า “นายทหารกร่าง” ขอเรียนให้ทราบว่าไม่เป็นความจริง นายทหาร (ฝสธ.กกร.ทภ.2) ดังกล่าวได้ปฏิบัติหน้าที่ในความรับผิดชอบที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ และไม่มีเจตนาอื่นใดที่จะใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ผิด ส่วน “การกระชากลากนักข่าวหญิง” ขอเรียนให้ทราบว่า ไม่ได้มีการใช้ความรุนแรงถึงขั้นการกระชากลากผู้สื่อข่าวหญิงแต่อย่างใด มีเฉพาะการใช้มือไปสัมผัสกับสายกระเป๋าสะพายกล้องที่คล้องตัวอยู่ โดยความพยายามที่จะแจ้งให้นักข่าวหญิงทราบและออกจากสถานที่ประชุมฯ หากเกิดการกระชากลากกันเกินกว่าเหตุ ประธานที่ประชุมคงต้องยุติการประชุมและตำหนิการกระทำดังกล่าวแน่นอน แต่การประชุมกลับดำเนินไปตามปกติ

จากคำชี้แจงของกองทัพภาคที่ 2 นั้น ผู้สื่อข่าวโมเดิร์นไนน์ทีวี และสำนักข่าวไทย อสมท ประจำจังหวัดนครราชสีมา เหยื่อนายทหารกร่าง มีความรู้สึกว่าตนเองในฐานะผู้ถูกกระทำไม่ได้รับความเป็นธรรมต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถ้อยคำชี้แจงเห็นได้ชัดเจนว่า เป็นการพูดความจริงเพียงครึ่งเดียวรวมทั้งพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงให้เกิดความเข้าใจผิดเพื่อเอาดีใส่ตัว มุ่งที่จะแก้ตัวเพื่อปกป้องตัวเองและลูกน้องในสารพัดข้ออ้าง

ในฐานะผู้ถูกกระทำ ผู้สื่อข่าวหญิงจึงขอชี้แจงข้อเท็จจริงในฐานะสื่อมวลชนและประชาชนคนหนึ่งที่ไม่อยากผิดหวังและรู้สึกเจ็บปวดไปมากกว่านี้ โดยบอกว่าหลังเกิดเหตุการณ์ขึ้น พ.อ.รณกร ปานกุล ผอ.กกร.ทภ.2 ไม่ได้เข้ามาพูดคุยและขอโทษตนเองอย่างที่กล่าวอ้างในคำแถลง มีเพียง พ.ต.อนุชา ดาวังปา ผู้ก่อเหตุที่พยายามเดินตามมาพูดแก้ตัวว่า ไม่ได้ตั้งใจ และขอโทษ ขณะที่นายทหารคนอื่นๆ ต่างพากันหนีหน้าเอาตัวรอดหมด

ส่วนการเข้าไปบันทึกภาพคนเดียวเพราะมาไม่ทันเวลาตามที่กำหนดเพราะระหว่างเดินทางไป ทภ.2 ได้มีเหตุด่วนคือ เกิดเพลิงไหม้ใหญ่ อาคารขนาด 2 ชั้น 3 คูหา หลังจวนผู้ว่าราชการจังหวัด เสียหายทั้งหมด จึงตัดสินใจแวะถ่ายภาพทำข่าวเพลิงไหม้ก่อนทำให้ไปไม่ทันเวลาเล็กน้อย

เรื่องนี้ไม่ควรนำมาเป็นประเด็นสำคัญเพื่อหวังโยนบาปให้แก่ผู้ถูกระทำ เพราะตนเป็นสื่อมวลชน และทำข่าวกับกองทัพภาคภาคที่ 2 มานานร่วม 20 ปี ผ่านมาหลายยุคสมัย จึงทราบและเข้าใจดีในข้อปฏิบัติต่างๆ ตามที่นายทหารได้ชี้แจงต่อสื่อมวลชนดังกล่าว และเป็นเรื่องปกติของการทำข่าวทุกครั้งที่ผ่านมา หากใครมาไม่ทัน (เพราะทั้งวันไม่ได้มีข่าวเดียว) ก็จะขออนุญาตทหารที่ดูแลอยู่ในขณะนั้นเข้าไปเก็บภาพบรรยากาศในห้องประชุมในเวลาอันจำกัดเพื่อเอาไว้ประกอบข่าวแล้วออกมารอสัมภาษณ์หลังการประชุมเสร็จสิ้น แต่หากไม่ได้รับการอนุญาตด้วยเหตุผลต่างๆ นานาก็ไม่สามารถเข้าไปได้ ต้องปักหลักนั่งรอสัมภาษณ์อยู่ด้านนอกอย่างเดียว ซึ่งปฏิบัติเป็นมาเช่นนี้ทุกครั้ง และในครั้งนี้ตนเองก็ไม่ได้เข้าไปโดยพลการแต่อย่างใด

เรื่องทำนองนี้จะไม่เกิดขึ้นเลยหากครูใหญ่ ไม่ส่งสัญญาณให้จัดการกับสื่อมวลชน และไม่แสดงอาการหงุดหงิดเป็นตัวอย่างทำให้ลูกน้องปฏิบัติการตามสัญญาณที่ถูกส่งออกมา ทั้งที่จะว่าไปแล้วที่ผ่านมาสื่อทีวีมีท่าทีเป็นมิตรพร้อมให้ความร่วมมือจากคสช.เกินร้อยเลยก็ว่าได้

ยิ่งเป็นผู้สื่อข่าวสังกัดโมเดิร์นไนน์ทีวีด้วยแล้ว ยิ่งไม่น่าเป็นเรื่อง เพราะต้องไม่ลืมว่า สถานีโทรทัศน์แห่งนี้เป็นสถานีโทรทัศน์ของรัฐ ไม่ใช่ผู้สื่อข่าวของสถานีโทรทัศน์เอกชน หรือช่องเสื้อแดงถึงจะได้กินดีหมีดีเสือมาจากไหน หรือแม้เป็นประการหลัง ก็ยังเชื่อว่า ไม่มีผู้สื่อข่าวคนไหนกล้าไปแสดงความกร่างต่อหน้าทหารเหมือนอย่างที่ “ทีมวอร์รูม” ของหน่วยงานความมั่นคงสร้างกระแสเชิงลบต่อตัวผู้สื่อข่าวคนนี้ในโลกโซเชียลมีเดีย

แถมผู้สื่อข่าวรายนี้ยังเป็นสุภาพสตรีอีกต่างหาก

เพียงแค่เจ้าหน้าที่ทหารประกาศขอความร่วมมือ หรือเดินไปกระซิบเบาๆ เหมือนที่เคยกระทำเป็นประเพณีปฏิบัติ ใครเล่าจะไม่ให้ความร่วมมือ

และที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ก็คือ ผู้สื่อข่าวรายนี้เดินทางเข้าไปทำข่าวตามคำเชิญของฝ่ายประชาสัมพันธ์ กองทัพภาคที่ 2 มิได้ทะเล่อทะล่าเข้าไปแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเสียเมื่อไหร่

พฤติกรรมผลักมิตรให้เป็นศัตรู ไม่ได้เกิดขึ้นกับผู้สื่อข่าวโมเดิร์นไนน์ทีวี และสำนักข่าวไทย อสมท ประจำจังหวัดนครราชสีมา เท่านั้น แต่ยังมีกรณีทหารตบเท้าเข้าเจรจากับผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส กระทั่งสุดท้ายได้มีการปลด นางสาวณาตยา แวววีรคุปต์ ซึ่งเป็นผู้ดำเนินรายการ “เสียงประชาชนต้องฟังก่อนปฏิรูป” ออกไป โทษฐานที่ดำเนินรายการมีเนื้อหาพาดพิงถึงการรัฐประหารอีกด้วย

ต่อกรณีนี้ นายสมชัย สุวรรณบรรณ ผอ.สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ได้สนองรับคำขอของทหารปลดนางสาวณาตยา ออกจากรายการ พร้อมกับปรับรูปแบบรายการเหลือเพียงแค่การนำเสนอข้อมูลในรูปแบบของข่าวแทน สะท้อนให้เห็นถึงการยอมศิโรราบต่ออำนาจ คสช. ของคณะผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส

ข่าววงในจากไทยพีบีเอส ถ่ายทอดเรื่องราวเพิ่มเติมว่า นายทหารในสังกัดนี้เคยเตือนไทยพีบีเอส ถึงการดำเนินรายการดังกล่าวมาแล้วครั้งหนึ่ง และหลังจากเทปรายการที่ จ.สงขลา ออกอากาศก็ได้รับคำเตือนเป็นครั้งที่ 2 ต่อมาในการจัดรายการที่ จ.นครปฐม น.ส.ณาตยา ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นพิธีกรดำเนินรายการเพียงแต่ไปรับชมในฐานะคนในพื้นที่ และได้กล่าวแนะนำผู้ดำเนินรายการ ก่อนที่จะลงจากเวทีไป แต่กลับมีการเตือนครั้งที่ 3 มาจากทหาร จนผู้บริหารไทยพีบีเอส ต้องเรียกประชุมและถกเถียงกันอย่างหนักและมีความคิดแตกออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายที่เห็นว่าควรยอมลดบทบาทของ น.ส.ณาตยา เพื่อรักษาองค์กร กับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยที่จะให้ทหารมาข่มขู่ในเสรีภาพของสื่อมวลชน แต่สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปให้น.ส.ณาตยา พักการจัดรายการชั่วคราว

พร้อมๆ กับมีกระแสข่าว ทางคณะกรรมการติดตามการเผยแพร่ข่าวสารสาธารณะ (คตข.)ที่มี พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะรองหัวหน้าคสช. เป็นประธานฯ จะเชิญตัวแทนบรรณาธิการสื่อ ทั้งวิทยุ โทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์ ที่ยังไม่ได้เดินทางมาร่วมพูดคุยกับคณะกรรมการฯ ในครั้งแรกมาทำความเข้าใจในการนำเสนอข่าวสารเป็นครั้งที่สอง เพื่อต้องการให้ประเทศเดินหน้าไปด้วยความเรียบร้อย

สิ่งที่เกิดขึ้นตอกย้ำให้เห็นอีกครั้งว่า รัฐบาลและกองทัพมี “ทีมวอร์รูม” เฝ้าติดตามการทำหน้าที่ของสื่ออย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด

ไม่ใช่แต่การราวีกับสื่อจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ยังมีกรณีที่ทหารบุกรวบตัวนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่เคลื่อนไหวคัดค้านการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ ทั้งที่เป็นการเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องคุ้มครองด้านสิ่งแวดล้อมไม่เกี่ยวกับการเมืองเหมือนดังเช่นนักศึกษากลุ่มดาวดินที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นที่คัดค้านการรัฐประหารแต่อย่างใด

จริงอยู่ เข้าใจว่า รัฐบาลไม่ต้องการให้เกิด “ลัทธิเอาอย่าง” โดยเปิดช่องให้ “คลื่นใต้น้ำ” ที่ทำงานรับใช้การเมืองอาศัยเป็นช่องทางในการเคลื่อนไหว แต่บางครั้งบางเรื่องก็สามารถนิ่งเฉยเลยผ่านไปได้ เหมือนเช่นกรณีนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แทนที่รัฐบาลจะได้คะแนนเสียงจากผู้เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของ “ศศิน เฉลิมลาภ” ในการปกป้องป่าแม่วงก์ ซึ่งมีจำนวนไม่น้อย กลับทำให้แนวร่วมเกิดความรู้สึกไม่ดีขึ้นไปเสียเปล่าๆ ปลี้ๆ

หากครูใหญ่และครูปกครองยังแยกแยะไม่ออก และไม่ปรับทัศนคติใหม่ ถึงบรรทัดนี้ทั้งสื่อและประชาชนคงทำได้แต่เพียงว่า ... แถวตรง หน้ากระดานเรียงหนึ่ง ห้ามแตกแถว ไม่เช่นนั้นโดนไม้เรียวหวดก้นแน่ๆ


พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
พล.อ.อุดมเดช สีตะบุตร
เหตุการณ์เมื่อวันที่ 15 พ.ย. 2557 ขณะที่ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร เดินทางไปตรวจเยี่ยมหน่วยทหารในพื้นที่รับผิดชอบกองทัพภาคที่ 2 จ.นครราชสีมา ก่อนมีนายทหารเข้ามาดึงกระเป๋ากล้องวิดีโอและกระชากลากตัวผู้สื่อข่าวโมเดิร์นไนน์ทีวีออกจากห้องประชุม
กำลังโหลดความคิดเห็น