"ประยุทธ์"ระบุความมั่นคงในทุกมิติ ต้องร่วมมือกันทุกฝ่าย ย้ำ"รัฏฐาธิปัตย์" เป็นวิธีเดียวแก้ปัญหาวิกฤตชาติได้ ชี้ปัญหาขัดแย้งเกิดจากความยากจน ว้ากสื่อเลิกถาม"กฎอัยการศึก"เสียที ย้อนใช้แล้วใครเดือดร้อนบ้าง ไม่โกรธพวกชู 3 นิ้ว เห็นต่างยอมรับได้ ซัดสนช.-สปช. อย่าโลกสวย เขียนกม.ให้ใช้ได้จริง เหน็บอย่าดูแต่โครงสร้าง ชาติหน้าก็ไม่ได้ใช้ ย้ำ 3 เดือนต้องมีกม.ให้เห็น ด้าน 2 ใน 5 นศ.กลุ่มดาวดิน มข. ไม่เอารัฐประหาร ยอมรับเงื่อนไขทหาร ก่อนได้รับการปล่อยตัวทั้งหมด ส่วนในกรุงเทพฯ ตำรวจสน.ปทุมวัน ล็อกตัวนศ. ชู 3 นิ้ว แจกตั๋วหนัง"ฮังเกอร์เกมส์"
เมื่อเวลา 09.30 น. วานนี้ (20 พ.ย.) ที่ห้องบรรยายรวม วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ กองบัญชาการกองทัพไทย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. เป็นประธานในพิธีการศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 57 และบรรยายพิเศษ ในหัวข้อ “บทบาทของภาครัฐ เอกชน และการเมือง ในการรักษาความมั่นคงแห่งชาติ” ตอนหนึ่งว่า เข้าใจว่าทุกท่านเป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ ดังนั้นต้องนำความรู้ที่มีมาสังเคราะห์ นำไปสู่การปฎิบัติ เราต้องสร้างความเข้าใจว่าประเทศต้องเดินหน้าอย่างไร จึงจำเป็นที่จะต้องขอความร่วมมือทุกฝ่าย เพื่อขับเคลื่อนนโยบายให้มีผลสัมฤทธิ์ จับต้องได้เป็นรูปธรรม ที่ผ่านมาการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะหัวหน้าคสช. และเป็นนายกรัฐมนตรี ประมาณ 6 เดือน ได้เห็นถึงความมั่นคงว่ามีหลายมิติ ทั้งด้านทหาร เศรษฐกิจ สังคม กฎหมาย กระบวนการยุติธรรม ซึ่งเป็นหน้าที่ของทุกฝ่ายที่ต้องร่วมกันสร้างศักยภาพ อย่าแยกว่าเป็นเรื่องเจ้าหน้าที่ ทุกคนต้องมีส่วนร่วม อย่างน้อยช่วยเฝ้าระวัง แจ้งเตือนเจ้าหน้าที่ สื่อมวลชนเองก็ต้องมีส่วนสร้างสังคมให้ปรองดอง เกิดความสามัคคี
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า เริ่มจากความมั่นคงด้านทหาร จะต้องสร้างพลังอำนาจ มีทั้งที่มีตัวตนและไม่มีตัวตน เช่น เรื่องขวัญกำลังใจในการสู้รบ จะต้องไม่มีบ่อนทำลายขวัญกำลังใจ ทุกคนต้องเข้าใจยุทธศาสตร์ทหาร เนื่องจากการรบมีหลายแบบ ทั้งรุก ทั้งรับ ยุทธศาสตร์การปราบปรามผู้ก่อความไม่สงบ ทุกอย่างล้วนเป็นวิธีการทางทหารทั้งสิ้น ถ้าไม่เข้าใจยุทธวิธีเหล่านี้ จะเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่เข้าใจ ต้องเข้าใจว่าทหารมีกติกา มีวิธีปฏิบัติ โดยเฉพาะกติการะหว่างประเทศ เช่น ปัญหาในประเทศต้องเป็นกิจการในประเทศเท่านั้นหรือ ปัญหาระหว่างประเทศไม่ว่าเกิดความขัดแย้งอะไรต้องคุยกันสองประเทศก่อน ในรูปแบบทวิภาคี แต่ถ้าไม่สามารถคุยกันได้ จึงจะร่วมกันคุยกันหลายประเทศ เราจึงต้องสร้างความเข้มแข็งให้กองทัพ เพื่อช่วยไม่ให้เกิดความขัดแย้งขึ้น เราจะต้องไม่รบกัน
นอกจากกองทัพ กำลังคนที่สำคัญแล้ว เรื่องของการจัดหายุทโธปกรณ์ก็มีความจำเป็น จะเห็นว่าจากเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์ตก ตนเสียใจที่เกิดการเสียชีวิตหลายคน แต่ขอให้มองว่าเป็นเรื่องอุบัติเหตุ เพราะมีการตั้งคำถามว่า ทำไมไม่ซื้อ ฮ.ใหม่ ต้องเข้าใจว่าซื้อของเหล่านี้ ไม่ใช่ซื้อรถเหมือนที่จอดตามโชว์รูม ต้องมีขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง หลายขั้นตอน จะต้องได้ราคาต่ำที่สุดที่เรารับได้ ใครก็อยากได้ของดี เพราะของเก่าก็ต้องซ่อม เผลอๆ ค่าซ่อมมากกว่าซื้อใหม่ บางคนเสนอบริจาคเงินซื้อ ฮ. ถามว่าบริจาคซื้อได้อย่างต่ำ 400- 500 ล้านบาท ได้เงินมาก็ซื้อไม่ได้ เพราะไม่ได้ผลิตรอ ต้องเข้าคิว วันนี้กองทัพต้องการ 120 ลำ ลดมา 90 ลำก็ไม่ได้อีก จนเหลือ 60 ลำ เรามีงบประมาณเท่านี้ ส่วนตำรวจก็ต้องมีหน้าที่ดูแลความมั่นคงภายในประเทศ
**ห่วงพลังงาน ไม่ห่วงเขตแดน
สำหรับความมั่นคงด้านพลังงานนั้น ต้องมาดูว่า ทำอย่างไรให้มีความมั่นคง จะต้องปรับสัดส่วนการใช้พลังงานในประเทศอย่างไรเช่น การปรับโครงสร้างราคาน้ำมัน ภาษี การเก็บเงินกองทุนนั้น เพื่อให้ประชาชนเห็นต้นทุนที่แท้จริง เพราะทุกอย่างต้องอยู่ในกรอบที่ควรจะเป็น และมองภาพรวมทุกประเทศ อย่ามองในประเทศอย่างเดียว
"วันนี้ทั่วโลกมีความขัดแย้ง รบกันให้ตาย ไม่มีชนะ เพราะต้นเหตุความขัดแย้งเกิดจากความยากจนทั้งสิ้น เกิดความไม่เท่าเทียม เหลื่อมล้ำ ต้องเกิดผู้นำมาทำการเปลี่ยนแปลง เป็นหน้าที่รัฐบาลทุกประเทศ ต้องแก้ไขความยากจน ความเหลื่อมล้ำให้ได้ อะไรที่เป็นความขัดแย้งระหว่างประเทศต้องหยุดไว้ก่อน อย่างการปักปันเขตแดน ให้คณะกรรมการที่มีอยู่มาคุยกัน เพราะรบกันไป ก็เท่านั้น เป็นเรื่องของพื้นที่อ้างสิทธิ ไม่ใช่ทับซ้อนต้องเข้าใจ" นายกฯ กล่าว
นายกฯ กล่าวต่อว่า ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ โลกต้องมีเศรษฐกิจเดียว ทำให้เป็นประชาคมโลก แต่การเปิดประเทศในอาเซียนเราต้องดูตัวเองว่าแข็งแรงพอหรือยัง มีความพร้อมแค่ไหน ยังมีความเสี่ยง มีวิกฤตเยอะหรือไม่ ประเทศเราเป็นแหล่งขุมทรัพย์ ทุกคนสนใจอยากเข้ามาตักตวงผลประโยชน์ ถ้าเราไม่เตรียมความพร้อม จากโอกาส ก็จะกลายเป็นวิกฤต ประเทศในอาเซียนเป็นประเทศของเกษตรกรรม เราจะทำอย่างไรให้ราคาผลผลิตสูงขึ้น เพราะขณะนี้ความอันตรายทั่วโลกพูดถึง คือการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ส่งผลให้การเพาะปลูกยากลำบาก
"เราต้องเร่งสร้างความเชื่อมโยงเศรษฐกิจ โดยเริ่มจากโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ เราจึงเร่งสร้างรถไฟทางคู่ แต่ต้องใช้เวลาดำเนินการ และได้พยายามทำให้อยู่ในงบประมาณ ซึ่งต้องกู้เงินทำ แต่เราจะไม่เกินหนี้สาธารณะ 60 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้งส่วนขององค์กรบริหารต้องปรับใหม่ เพราะที่ผ่านมาไม่ได้เรื่อง ทุกอย่างในประเทศต้องมีเสถียรภาพ ไม่ใช่ทะเลาะกันอย่างนี้ มิเช่นนั้นจะเกิดปัญหาเช่น มีการลักลอบนำข้าวประเทศเพื่อนบ้านมาสวมสิทธิในบ้านเรา จนเป็นปัญหาโครงการรับจำนำข้าวเกิดขึ้น" นายกฯ กล่าว
**ไม่มีความสุข ที่ต้องใช้อำนาจ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า การที่ตนเดินทางไปต่างประเทศนั้นได้พยายามแสดงให้เขาเห็นว่า ประเทศเรามีความสงบเรียบร้อย คนส่วนใหญ่มีความสุข แม้จะอึดอัดอยู่บ้าง แต่ก็จำเป็น ทุกวันนี้ไม่มีม็อบทำให้วุ่นวาย ถามว่าทะเลาะต่อไปเกิดอะไรขึ้น ใครจะมาเที่ยว ทำไปเพื่ออะไร เพื่อใคร ตัดสินทำให้ถูกต้อง ตนไม่อยู่ข้างใคร อยู่ข้างประชาชน
"วันนี้ที่ต้องมีกฎหมายพิเศษ ผมไม่ได้มีความสุขจากการใช้อำนาจ เพราะยิ่งใช้อำนาจ ก็ยิ่งไม่มีความสุข แต่ทั้งนี้เราต้องมองสถานการณ์ประเทศก่อนว่า มั่นคงเหมือนพม่าไหม ดังนั้นต้องช่วยสร้างความเข้าใจ ซึ่งตอนนี้นานาชาติเข้าใจ มีแต่คนในประเทศเท่านั้นที่ไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้น จากนี้สื่อไม่ต้องมาถามเรื่องกฎหมายพิเศษอีก ถามว่ากฎอัยการศึกไม่มีได้ไหม ก็แล้วถ้ามีใครเดือดร้อน วันนี้อนาคตของชาติต้องมาก่อน ต้องลดความขัดแย้ง ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรม ต้องรู้จักเสียสละ เผื่อแผ่ คนที่รายได้น้อย จะดูแลอย่างไร มีผลได้ผลเสีย เราต้องสร้างให้ทุกคนเข้าใจว่า ต้องเสียภาษี จะเสียมาก เสียน้อย วันนี้คนกลัวเสียภาษี แต่ต้องปรับตามข้อเท็จจริง ไม่ใช่ว่าเราไปรีดเลือดกับปู แต่เราต้องสร้างความมั่นคง สร้างความมั่นใจ ลดความหวาดระแวง ผลประโยชน์ที่เท่าเทียม วันนี้ต้องต้องก้าวข้ามกับดักประเทศ กับดักประชาธิปไตย ถ้าวันนี้ไม่มีทหารจะแก้ปัญหาได้ไหม ปฏิรูปได้หรือไม่”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
**ซัด สนช.-สปช.ต้องเร่งออกกม.
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ที่เราต้องเข้ามาแก้ปัญในประเทศ เพราะที่ผ่านมานโยบายที่มีอยู่ใช้ไม่ได้ ไม่โปร่งใส วันนี้เรามีแม่น้ำ 5 สาย แต่สำหรับตนมองว่าเป็นเหมือน 5 นิ้วมือ ที่ชี้ไปข้างหน้าพร้อมกัน วันนี้ทะเลาะกันไม่ได้แล้ว สิ่งที่ที่คุยกัน คือ 3 เดือนนี้ ต้องรู้แล้วกฎหมายจะออกมาอย่างไร รัฐธรรมนูญออกมาอย่างไร ต้องมีกฎหมายลูกกออกมารองรับ เอาแต่เรื่องสำคัญ ถ้าสปช.พูดแต่โครงสร้าง ชาติหน้าก็ไปไม่ได้ ภายใน 1 ปีต้องมีกฎหมายรองรับ มีผลสัมฤทธิ์ ส่งต่อรัฐบาลใหม่ได้ ไม่ใช่คิดร้อยแปดพันเรื่อง โลกสวยไปหมด สุดท้ายต้องดูความต้องการเรา คืออะไร ไม่ใช่ไปพูดกฎหมายชั่ง ตวง วัด ไม่ต้องไปคิดเขียนวิลิศมาหรา
นายกฯ กล่าวอีกว่า เราต้องคาดหวังกับการปฏิรูป ไม่อย่างนั้นเสียเปล่า สำหรับประเด็นความขัดแย้ง ความเห็นต่าง ไม่มีใครแก้ได้ เพราะติดกฎหมาย ติดรธน. ไม่มีใครแก้ได้ ยกเว้นความเป็นรัฎฐาธิปัตย์วอย่างเดียวที่แก้ได้ จริงๆไม่อยากทำ ก่อนที่จะเข้ามาเห็นกันอยู่ว่างบประมาณปี 58 ก็ใช้ไม่ได้เลย ตนยอมให้ประเทศชาติเป็นอย่างนี้ไม่ได้
"ที่ผ่านมาส่งทหารของเราไปดูคนของประเทศอื่นได้แต่ทำไมวันนี้ถึงดูแลจะคนไทยด้วยกันเองไม่ได้ ผมจำเป็นต้องทำ มันไม่ไหวจริงๆ มันไม่มีทางออก วันนี้มีแต่ความไม่ไว้วางใจกัน แต่เราต้องดูวัตถุประสงค์ที่เข้ามาว่า คืออะไร ทุกอย่างต้องปฏิรูป ไม่อย่างนั้นจะไปไม่ได้ ขอกำลังใจหน่อย ส่วนคนที่มาชู 3 นิ้ว ประท้วงเล็กๆ น้อยๆ ผมรับได้ ผมไม่ได้โกรธ คนเรามีความเห็นต่างกันได้ แต่ขอบอกว่าเข้ามาเพื่อปรับเปลี่ยนเดินหน้าไปสู่อนาคต มาเพื่อวางพื้นฐานให้ลูกหลานประเทศ คนที่มาวางก็แก่แล้ว ถ้าเป็นแบบเดิมลูกหลานอยู่ไม่ได้ มันมีวิธีนี้วิธีเดียว" นายกฯ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่ช่วงสุดท้ายของการบรรยายนั้น นักศึกษาวปอ. ได้ถามความคิดเห็นของนายกฯว่า คิดว่าจะปฏิรูปสำเร็จตามโรดแมปที่วางไว้ได้แค่ไหน หากไม่สำเร็จอะไรเป็นอุปสรรค โดยนายกฯ ตอบว่า ตามที่วางกลไกปฏิรูปประเทศไว้ คือ 1 ปี และจะทำอย่างไรไม่ให้เกิดเผด็จการรัฐสภา ใช้อำนาจไม่โปร่งใสอย่างที่ผ่านมา จะต้องก้าวข้ามให้ได้ ทุกคนเห็นต่างได้ แต่ต้องมามองว่าสถานการณ์ประเทศอยู่ตรงไหน ที่ผ่านมาเวลานั้นสถานการณ์ถือว่าอันตราย เลือกตั้งไม่ได้ ก็ไม่มีทางอื่น ตนก็อยากพักผ่อนบ้าง วันนี้ต้องขอร้องให้หาวิธีกลับมาสู่ความปกติให้ได้ ต้องช่วยกันเหมือนกิ่งไม้ไผ่เล็กๆมารวมกัน และก้าวพ้นจากตัวเอง คิดถึงคนอื่น
**ผบ.ทร.ชี้เห็นต่างคสช. เรื่องปกติ
พล.ร.อ.ไกรสร จันทรสุวาณิชย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ลงพื้นที่ จ.ขอนแก่น แล้วมีกลุ่มนักศึกษามาต่อต้านว่า ถือเป็นเรื่องปกติ ที่มีความคิดที่ต่างกันอยู่เสมอ โดยเฉพาะเรื่องภายในประเทศ ก็สามารถเกิดขึ้นได้ คงต้องใช้เวลาสักระยะในการแก้ปัญหา
ทั้งนี้จริงๆ แล้วทางรัฐบาลได้ให้โอกาสกับบุคคลที่เห็นต่างอีกทั้งยังเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองร่วมแสดงความคิดเห็นต่อการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ ดังนั้นขอให้มาร่วมมือกันดีกว่า เพื่อให้ประเทศชาติเดินหน้าไปได้ ไม่ควรไปคิดแต่เรื่องในอดีตที่ผ่านมาไม่งั้นจะไม่สามารถลบภาพความขัดแย้งเดิมๆได้
เมื่อถามว่าจากกรณีดังกล่าวจะเกิดการเลียนแบบต่อต้านในพื้นที่อื่นๆอีกหรือไม่ พล.ร.อ.ไกรสร กล่าวว่า ไม่มั่นใจว่าจะมีลัทธิเอาอย่างอีกหรือไม่ แต่คิดว่า คนส่วนใหญ่เชื่อใจรัฐบาล เนื่องจากผลงานที่ผ่านมารัฐบาลได้แสดงให้เห็นแล้วว่าสามารถบริหารประเทศได้ดี สำนักโพลต่างๆ มีผลชี้วัดที่ออกมาเป็นผลดีเสียส่วนใหญ่ ฉะนั้นขอให้ช่วยกัน โดยเฉพาะสื่อเอง ต้องช่วยนำเสนอข่าวที่มีประโยชน์ต่อบ้านเมือง อย่าไปนำเสนอข่าวในแง่ลบที่ไม่มีประโยชน์ต่อสังคม ก็จะสามารถช่วยให้ประเทศชาติเดินหน้าไปได้
** 3 นศ.ดาวดิน ไม่รับเงื่อนไขทหาร
บ่ายวานนี้ (20 พ.ย.) ทหารมณฑลทหารบกที่ 23 ค่ายศรีพัชรินทร์ จ.ขอนแก่น ต้องใช้เวลากว่า 4 ชั่วโมง เพื่อเจรจากับนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ทั้ง 5 คน ที่บุกไปชู 3 นิ้ว ต่อต้านรัฐประหาร ต่อหน้าพล.อ.ประยุทธ์ ที่หน้าศาลากลาง จ.ขอนแก่น ช่วงเช้าวันที่ 19 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยมีผู้ปกครองและคณบดีคณะนิติศาสตร์ รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด และตำรวจ ทำการพูดคุยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากการปรับทัศนคตินักศึกษาทั้ง 5 คน ไม่ยินยอมในข้อตกลงว่า จะไม่เคลื่อนไหวต่อต้านรัฐประหารอีก
จากการหารือได้ข้อสรุปว่า มีนักศึกษา 2 คน ยอมลงลายมือชื่อรับตามเงื่อนไข ว่าจะไม่เคลื่อนต่อต้านรัฐประหารอีก คือนายเจตษฤษติ์ นามโคตร และนายพายุ บุญโสภณ ส่วนอีก 3 คน คือ นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา นายวสันต์ เสตสิทธิ์ และนายวิชชากร อนุชน ไม่ยอมรับเงื่อนไข เพราะเห็นว่าที่แสดงออกนั้นถูกต้องแล้ว
นายกิตติบดี ใยพูล คณบดีคณะนิติศาสตร์ มข. กล่าวว่า เป็นที่น่ายินดีที่ทางทหาร ตำรวจ และผู้ว่าฯ ให้โอกาสนักศึกษาปรับความเข้าใจ และไม่เอาผิด โดยให้กลับไปเรียนและเป็นกำลังหลักในสังคมต่อไป ทั้งนี้ ตนยังยืนยันไม่ได้ว่านักศึกษาจะมีการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐประหารอีกหรือไม่ เพราะถือเป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของนักศึกษา ซึ่งตนเห็นว่านักศึกษามีความเข้าใจข้อกฎหมาย ข้อจำกัด หรือกาละเทศของบ้านเมืองมากขึ้น หากนักศึกษามีการต่อต้านอีก ก็ให้เป็นไปตามกรอบกฎหมาย เพราะทางมหาวิทยาลัย มีหน้าที่ให้เฉพาะแค่การศึกษาเท่านั้น
ด้านนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา ที่ไม่ยอมลงนามยอมรับเงื่อนไข กล่าวว่า พวกตนมีการวางแผนกันไว้ล่วงหน้า 1 วัน โดยติดสติ๊กเกอร์ลงอกเสื้อว่า ไม่-เอา-รัฐ-ประ-หาร ส่วนใบปลิว "อีสานไม่ต้อนรับเผด็จการ" ไม่ใช่ฝีมือของพวกตน สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ต้องการยืนยันว่า ไม่ยอมรับอำนาจรัฐบาล และถึงอย่างไรก็จะไม่ยินยอมตามข้อตกลงทั้ง 3 ข้อ ได้แก่ 1.ยอมรับในสิ่งที่เราทำลงไป 2. จะไม่เคลื่อนไหวต่อไป และ 3. หากมีการเคลื่อนไหวยินยอมให้ดำเนินคดี
"การเคลื่อนไหวต่อไปจากนี้ ยังบอกไม่ได้ว่าจะเป็นเมื่อไร แต่ไม่สามารถหยุดได้ ทั้งนี้อยู่ที่ความกล้าของพวกเรา เพราะเรามองว่า ไม่ควรปล่อยให้มีความอยุติธรรม สังคมถูกปิดหู ปิดตา ต่อไปไม่ได้" นายจตุรภัทร์ กล่าว
นายวิบูลย์ บุณภัทรรักษา ผู้ปกครองนายจตุภัทร์ กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เพราะจะปล่อยให้คนใดคนหนึ่ง มาแสดงความเห็นว่า ตนเองถูกต้องเพียงฝ่ายเดียวไม่ได้ ต้องมองโดยรวมว่า ในเชิงตรรกะมีเจตนาจะปฎิรูปประเทศ และให้สังคมดีขึ้น แต่ทำไมระหว่างทาง กลับระเกะระกะ ตนมองว่าสวนทางกับเป้าหมายที่ประกาศไว้ ซึ่งตนเห็นด้วยกับการกระตุกสังคมของลูกชาย และเพื่อน ด้วยการแสดงออกถึงการไม่ยอมรับอำนาจรัฐบาล ที่มาจากรัฐประหาร
ข่าวแจ้งว่า แม้จะมี 3 คน ที่ไม่ลงนามยินยอมตามเงื่อนไขที่ฝ่ายทหารเสนอ แต่ที่สุดก็ไม่มีการดำเนินคดีจากฝ่ายทหาร หรือแม้แต่ทางมหาวิทยาลัย โดยทุกคนสามารถกลับไปเรียนได้ตามปกติ
**ตร.ล็อกตัวนศ.ชู 3 นิ้ว แจกตั๋วหนัง
วานนี้ (20 พ.ย.) ที่บริเวณหน้าโรงภาพยนตร์สกาล่า นายรัฏพล ศุภโสภณ ตัวแทนนักศึกษากลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตย ได้ออกมาชี้แจงถึงกรณีการยกเลิกกิจกรรมดูภาพยนตร์ เรื่องฮังเกอร์เกมส์ ว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง และพร้อมจะแจกตั๋วทั้งสิ้น160 ใบ ให้กับผู้ที่ได้รางวัลจากการร่วมกิจกรรมในเพจ กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตย เพื่อชมในห้างสรรพสินค้าพารากอนแทน เนื่องจากรอบภาพยนตร์ ที่โรงหนังสกาล่า และลิโด้ ถูกยกเลิก ส่วนการเชิญชวนแสดงกิจกรรม รำกะตั้วแทงเสือ นั้น ไม่ต้องการให้เกี่ยวข้องกับการเมืองแต่อย่างใด อีกทั้งเจ้าหน้าที่ก็ไม่อนุญาตให้ชูสามนิ้วอยู่แล้ว และนายกรัฐมนตรี ก็พูดเองว่า รำกระตั้วแทงเสือ ไม่ผิด
"ส่วนจะเป็นการโหนกระแสภาพยนตร์หรือไม่ คิดว่าเป็นเรื่องที่คนจะมอง เพราะเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมือง การจะทำแคมเปญการตลาดนั้น ก็ต้องทำตอนที่ภาพยนตร์เริ่มฉาย ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่การตลาดจะต้องทำกัน และได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี ถ้าจะเป็นการโหนกระแสทางการเมืองจริง อย่างกลุ่ม กปปส.และ นปช. ก็เคยโหนกระแสภาพยนตร์หลายเรื่อง ดังนั้นสิ่งที่ทำ ยืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวกีบการเมืองแต่อย่างใด" นายรัฏพล กล่าว
ด้านพล.ต.ต.วิสูตร ฉัตรชัยเดช ผบก.น 6 กล่าวว่า จากสถานการณ์ในตอนนี้อยากให้นักศึกษาไปยังเวทีที่เปิด เวทีที่พูดถึงเรื่องการปฏิรูป ที่มีอยู่หลายเวที และอยากให้เคารพกติกาบ้านเมือง การกระทำแบบนี้ เจ้าหน้าที่เองก็ลำบากใจในการปฏิบัติกหน้าที่ เพราะถือว่าเป็นน้อง เป็นลูกเป็นหลาน เป็นเยาวชนของประเทศ
"ส่วนการเคลื่อนไหวของนักศึกษาที่จะส่งผลให้เจ้าหน้าที่เข้าพูดคุยนั้น จะดูที่กรรม ซึ่งจะเป็นเครื่องชี้เจตนา เราต้องดูว่าเจตนาของนักศึกษา ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร แล้วจึงจะเข้าไปพูดคุย ไม่อยากให้ใช้คำว่าจับกุม เพราะเราแค่อยากไปพูดคุยกับน้องนักศึกษาเท่านั้น" พล.ต.ต.วิสูตร กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อนายรัฏพล ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเสร็จ เจ้าหน้าที่ได้เชิญตัวขึ้นรถยนต์ เพื่อไปพูดคุยต่อ ที่สน.ปทุมวัน
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในระหว่างนั้น เจ้าหน้าที่ได้เชิญตัว นายกิตติธัช สุมาลย์นพ ที่เคยอ่านหนังสือ 1984 และกินแซนด์วิช ที่หน้าห้างสรรพสินค้า สยามพารากอน และถูกเจ้าหน้าที่ทหารลากตัว หลังจากที่เกิดรัฐประหารใหม่ๆ ในขณะที่อยู่ในบริเวณเดียวกันไปที่ สน.ปทุมวันด้วย
โดยนายกิตติธัช ยืนยันว่า เดินทางมาเพื่อสอบถามทางโรงภาพยนตร์ว่า สามารถคืนตั๋วภาพยนตร์ได้หรือไม่ เท่านั้น และจะเดินทางไปดูภาพยนตร์ ฮังเกอร์เกมส์ ที่ห้างสรรพสินค้าพารากอน ต่อเท่านั้น ไม่ได้มาเพื่อทำกิจกรรมทางการเมืองแต่อย่างใด โดยไม่คิดว่าเจ้าหน้าที่จะจับตัวมาที่สถานีตำรวจด้วย
ต่อมาเวลา 12.30 น. ที่บริเวณหน้าโรงภาพยนตร์พารากอนซีนีเพล็ก ได้มีนักศึกษาจากกลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตยมายืนแจกตั๋วภาพยนตร์ ฮังเกอร์เกมส์ ให้แก่ผู้ที่ได้รางวัล และประชาชนทั่วไป ที่สนใจดูภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว ท่ามกลางการเฝ้าจับตาของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบประมาณ 60 นาย
ช่วงนั้น ได้มีวัยรุ่นหนึ่งคน ได้ชูสามนิ้ว และกำลังเดินไปดูภาพยนตร์ ทำให้เจ้าหน้าที่เข้าไปควบคุมตัวโดยทันที สืบทราบต่อมาว่าวัยรุ่นดังกล่าวชื่อ นายนัชชชา กองอุดม นักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ถูกควบคุมตัวไปที่สน.ปทุมวัน เพื่อทำการสอบสวน บันทึกประวัติ
นายนัชชชา กล่าวว่า ตนได้รับตั๋วภาพยนตร์กับเพื่อนที่รู้จัก จึงได้เดินทางมาดูหนังที่โรงภาพยนตร์เพียงคนเดียว เพื่อเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้มีสิ่งที่ตรงกับสถานการณ์ในประเทศไทยในปัจจุบัน และยืนยันว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองใดๆ แต่ส่วนตัวมีแนวคิดในหลักการประชาธิปไตยเท่านั้น
"รู้อยู่แล้วว่าการชูสามนิ้ว จะทำให้โดนจับกุม ยืนยันไม่มีการวางแผนใดๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นสิทธิที่ประชาชนคนหนึ่งสามารถทำได้ ไม่ได้ผิดกฎหมายแต่อย่างใด" นายนัชชชา กล่าว