xs
xsm
sm
md
lg

คืนเสรีภาพ เพื่อแยกคลื่นใต้น้ำ

เผยแพร่:   โดย: พระบาท นามเมือง

คสช.กำลังมีปัญหาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในเรื่องของเสรีภาพสื่ออยู่ในขณะนี้ นับตั้งแต่แรกเริ่มจากการที่มีผู้อ้างว่ามีการสั่งประสานจากทางทหาร ขอให้ยุติเผยแพร่รายการเสียงประชาชนต้องฟังก่อนปฏิรูป เหตุไม่พอใจวิธีตั้งคำถามผู้ดำเนินรายการคือคุณณาตยา แวววีรคุปต์ และในที่สุดเธอก็ถูกถอดออกจากการเป็นพิธีกร

ส่งผลให้ชาว TPBS บางคน และสื่ออีกจำนวนหนึ่ง แสดงการประท้วงทางสัญลักษณ์ ด้วยการโพสต์ภาพ ปิดหู ปิดตา ปิดปาก ทางอินสตาแกรมเรียกให้พวกสมอ้างจากฝ่ายที่ไม่ชอบทหารอยู่แล้วมาเข้าร่วมกิจกรรมด้วย

ประกอบกับท่าทีของนายกฯ ที่ไม่ค่อยยินดีต่อการรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์สักเท่าไร ไม่ว่าจะในระดับรัฐบาลหรือในทางส่วนตัว ซึ่งรวมไปถึงสิทธิในการชุมนุมต่างๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมในประเด็นใด

เช่นในการชุมนุมคัดค้านเขื่อมแม่วงก์ ที่นำโดยอาจารย์ศศิน เฉลิมลาภ ซึ่งเป็นการคัดค้านต่อเนื่องมาจากรัฐบาลที่แล้ว เมื่อรัฐบาลนี้ทำท่าจะออกมารื้อฟื้น เขาก็ออกมาประท้วงอีกครั้ง โดยใช้วิธีการนั่งประท้วงอยู่หน้าทางเข้าสำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ทางภาครัฐตัดสินใจให้รอบคอบในการบริหารจัดการน้ำ โดยไม่จำเป็นต้องสร้างเขื่อนแม่วงก์ โดยใช้ทางเลือกอื่นๆ เพื่อรักษาผืนป่าแม่วงก์

ทั้งมีนิสิตเกษตรกลุ่มหนึ่งก็เตรียมตัวไปเข้าร่วม แต่งตัวเป็นเสือเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของสัตว์ที่ยังอาศัยอยู่ในป่าแม่วงก์ตามธรรมชาติ แต่ก็ถูกทางเจ้าหน้าที่ทหารเข้าไปควบคุมตัวสั่งห้าม

โดยที่ตามจริงแล้ว การต่อสู้ของคนกลุ่มนี้ก็ไม่ได้มีแนวทางที่จะต่อต้านการบริหารประเทศของท่านนายกฯ ออกมาขับไล่รัฐบาล หรือแม้แต่ไม่เห็นด้วยกับการทำรัฐประหารควบคุมอำนาจรัฐหรือการปฏิรูปตามแนวทางของ คสช.แต่อย่างใด

แต่เป็นการต่อสู้ในประเด็นสิ่งแวดล้อมที่ออกจะปลอดการเมือง หรือกลุ่มขั้วอำนาจคู่ขัดแย้งที่อยู่เบื้องหลัง

อย่างไรก็ตาม เมื่อวานนี้เอง ก็มีเรื่องที่ทำให้พอจะ “เข้าใจได้” ถึงความเคร่งเครียดเข้มงวดของทางการทหารอยู่ นั่นคือ การที่มีคลื่นใต้น้ำกลุ่มหนึ่งอาศัยจังหวะที่ภาพยนตร์เรื่อง The Hunger Games: Mockingjay - Part 1 กำลังจะเข้าฉายในวันนี้ (20 พฤศจิกายน 2557) อาศัยช่องที่เนื้อเรื่องของหนังเป็นการต่อสู้กับเผด็จการในโลกสมมติ “พาเน็ม” มาอุปโลกน์ “เนียน” เข้ากับสถานการณ์ของประเทศไทย

เริ่มจากการจัดคนไปชูป้าย #DistrictThai ในการฉายรอบปฐมทัศน์ที่ลอนดอนก่อน เพื่อปลูกความรับรู้ต่อโลกว่าจะเชื่อมโยงการต่อต้านรัฐประหารเข้ากับหนังเรื่องนี้แล้วนะ

ซึ่งคำว่า #DistrictThai นั้นเป็นการใช้คำเพื่อล้อกับ “เขตปกครอง” หรือ District ในภาพยนตร์ที่จะต้องส่งเด็กมาต่อสู้กันตามเรื่องของหนัง

ซึ่งการ “ชูสามนิ้ว” ต้านรัฐประหารนั้นก็มาจากการแสดงสัญลักษณ์ต่อต้านเผด็จการพาเน็มของตัวเอกในหนังเรื่องนี้นั่นเอง

จากนั้นก็เกิดเรื่องการ “ชูสามนิ้ว” ต้านรัฐประหาร ต่อหน้านายกฯ บิ๊กตู่ที่ขอนแก่น เมื่อเช้าวานนี้ โดยกลุ่มนักศึกษารวมทั้งสิ้น 5 คนที่ใส่เสื้อเขียนเป็นถ้อยคำ พยางค์ละคน ว่า “ไม่เอารัฐประหาร” ซึ่งในที่สุดฝ่ายทหารก็รีบควบคุมตัวนักศึกษาที่ก่อเหตุไว้ได้ ซึ่งก็จะดำเนินการกันในทางคดีต่อไป

ข้อน่าสังเกต คือทนายความที่ไปถึงตัวเด็กนักศึกษากลุ่มนี้ทันทีที่ถูกจับ คือ ทนายความในคดีเตรียมก่อการร้าย “ขอนแก่นโมเดล?”

ส่วนเรื่องที่สองที่น่าสังเกตและตั้งข้อสงสัย คือ มีนักศึกษากลุ่มหนึ่งที่ใช้ชื่อว่า กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตย ได้จัดกิจกรรมเหมาโรงให้คนทั่วไปเข้าชมภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวฟรี 160 ที่นั่ง ที่โรงภาพยนตร์สกาล่า ในแคมเปญที่ใช้ชื่อว่า “ชูสามนิ้ว หิ้วป๊อบคอร์น เข้าโรงหนัง”

ส่งผลให้เครือเอเพ็กซ์ ได้แก่ลิโด้ และสกาล่า ไม่ต้องการที่จะมีปัญหา จึงถอนโปรแกรมหนังเรื่องนี้ออกทุกรอบ ไม่เฉพาะรอบที่จะมีนักศึกษาไปจัดกิจกรรมเท่านั้น

น่าสังเกตว่า การจัดกิจกรรมขนาดเหมาโรงดูหนังนี้เอาทุนมาจากไหน มีใครสนับสนุนหรือไม่ แม้ว่าทางโรงนี้จะคิดค่าตั๋วไม่แพงนักคือประมาณ 100 กว่าบาท แต่นั่นก็เท่ากับเงินเกือบสองหมื่น ซึ่งมากกว่าเงินเดือนคนจบปริญญาตรีเสียอีก สำหรับนักศึกษาที่ยังไม่มีรายได้ เงินจำนวนนี้ไม่เรียกว่าน้อย น่าสงสัยว่าทิ่นเินเดือน่ากับเงินเกือบหอบหใมี “ผู้ใหญ่ใจดี” สนับสนุนมาหรือเปล่าก็มิทราบได้

จะเห็นได้ว่า คลื่นใต้น้ำที่ต่อต้านรัฐบาลและ คสช.นั้นยังมีอยู่ และหาช่องเล็กช่องน้อยมา “ตอด” กันอยู่เสมอหากมีโอกาส

การที่รัฐบาลนั้นยกเลิกกฎอัยการศึกไม่ได้ นั้นก็น่าจะเป็นเพราะเพื่อป้องกันการก่อความวุ่นวายของคนกลุ่มนี้นั่นเอง

แต่การที่ฝ่ายทหารจะมา “เข้มงวด” เอากับทุกการทำงานของสื่อทุกราย หรือกับคนที่ประท้วงในเรื่องอื่นๆ ด้วย ก็รังแต่จะทำให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลออกมาดูไม่ดี และเหมือนกับเป็นการสร้างประเด็นให้ฝ่ายต่อต้านสามารถเอาไปขี่กระแสว่า ประเทศไทยไม่มีเสรีภาพ รัฐบาลเผด็จการปิดกั้นสื่อและการแสดงออกไปเสียทุกอย่าง

จะดีกว่าหรือไม่ ถ้ารัฐบาลและฝ่ายทหารจะทบทวนนโยบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ใหม่ แยกแยะว่า การใช้เสรีภาพของสื่อหรือในทางการชุมนุมเรื่องใด เป็นการใช้เสรีภาพโดยสุจริต มุ่งแสดงความคิดเห็นต่อการปฏิรูปหรือคัดค้านนโยบายรัฐบาลโดยสงบ (เช่นกรณีการคัดค้านเขื่อนแม่วงก์) ส่วนถ้าใครล้ำเส้นเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อหวังผล ก็ค่อยมาจัดเต็มกันไปตามกฎหมายและอำนาจที่มี

การ “แยกแยะ” และจัดการเช่นนี้ จะสร้างความรู้สึกและบรรยากาศที่ดีให้แก่รัฐบาลว่า รัฐบาลและ คสช.ไม่ได้ปิดกั้นการใช้เสรีภาพใดๆ ของคนไทยเลยหากกระทำโดยสุจริตและไม่มีอะไรแอบแฝง

และจะทำให้พวกคลื่นใต้น้ำที่หวัง “เนียน” หาพวกไปเสียทุกเรื่องนั้นหมดข้ออ้างในการเคลื่อนไหว กลายเป็นเพียงกลุ่มป่วนที่หวังจะแสดงพลังอวดนาย ไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนทั่วไป.
กำลังโหลดความคิดเห็น