xs
xsm
sm
md
lg

วงจรปิดมัด 2 มะกัน แอบขโมยชิ้นทารก สภาทนายติงตร.ห่วย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน- ภาพวงจรปิดมัด 2 มะกัน ใช้เวลาแค่ 30 นาที เข้าไปลักชิ้นส่วนทารกภายในพิพิธภัณฑ์ รพ.ศิริราช ตม.เข้มทุกด่านเจอจับกุมทันที ชุดสืบสวน บช.น. เชื่อเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ศิริราชไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และไม่เชื่อมโยงคดีศพเด็กแฝดหายไปเมื่อปี 46ด้านสภาทนายความชี้คนร้ายมีความผิดชัดเจนตั้งแต่แจ้งสำแดงเท็จ ให้การเท็จและลักทรัพย์ในสถานที่ราชการ แต่ตำรวจไทยให้เกียรตินักเที่ยวต่างชาติเกินเหตุ โดยไม่แจ้งความดำเนินคดี

จากกรณีที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางโพงพางได้รับแจ้งพบชิ้นส่วนมนุษย์อยู่ในกล่องพัสดุกำลังจะนำส่งไปที่ประเทศสหรัฐฯ ต่อมาทางโรงพยาบาลศิริราช ได้ออกมายืนยันว่าชิ้นส่วนมนุษย์ดองดังกล่าวเป็นของโรงพยาบาล ได้สูญหายไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 13 พ.ย. ที่ผ่านมา โดยจากการตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบว่า มีชาวต่างชาติ 2 คน มีลักษณะต้องสงสัยว่าจะเป็นผู้ลักเอาอวัยวะมนุษย์ที่มีไว้ให้ศึกษาไป จากนั้น สน.บางโพงพางจะขอหมายจับในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ในสถานที่ราชการที่มีไว้เพื่อสาธารณะประโยชน์ หรือรับของโจร และพยามยื่นใบขนสินค้าส่งออกโดยสำแดงบันทึกเรื่องราวอันเป็นเท็จ

ล่าสุด วานนี้ (19 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางโพงพางได้รับทำคดีนี้ทั้งหมด ทั้งในส่วนของการที่ชิ้นส่วนมนุษย์ถูกโจรกรรมไปจาก รพ.ศิริราช ซึ่งเป็นพื้นที่ของ สน.บางกอกน้อย เนื่องจากเป็นพื้นที่ของ สน.บางโพงพางเป็นจุดเกิดเหตุในการตรวจสอบและพบว่ามีการขนส่งชิ้นเนื้อมนุษย์ไปทางบริษัทขนส่งสินค้า โดยสำนวนคดีในขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รวบรวมหลักฐานทั้งหมดไว้เกือบครบถ้วนแล้ว แต่ต้องรอให้ทางเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจับกุมชาวต่างชาติทั้งสองราย เพื่อมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

***ยันไม่เกี่ยวข้องคดีศพแฝดเด็กหายปี 46

ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.สมบัติ มิลินทจินดา ผบก.สส.บช.น. กล่าวถึงกรณีพบชิ้นส่วนมนุษย์ จำนวน 5 ชิ้น ในบริษัทดีเอสแอลที่กำลังเตรียมจัดส่งไประเทศสหรัฐฯ โดยก่อนหน้านี้ช่วงปี 2546 มีคดีศพเด็กแฝดหายออกไปจากรพ.ศิริราช กับคดีล่าสุดที่ 2 นักท่องเที่ยวขโมยชิ้นส่วนมนุษย์ ขอยืนยันว่าทั้ง2คดีนี้ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน ซึ่งแผ่นหนังที่ถูกขโมยไปเมื่อปี 2546 มีลักษณะของการสักยันต์ลงอักขระแบบไทยที่นำไปใช้ทางไสยศาสตร์ ส่วนชิ้นส่วนมนุษย์ที่หายไปล่าสุดมีลักษณะสักยันต์ในลวดลายที่แปลกตา

ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจคาดว่าเจ้าหน้าที่ประจำพิพิธภัณฑ์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการก่อเหตุ เพราะหลังจากที่เกิดเหตุเมื่อปี 2546 จนถึงปัจจุบันนี้ ทางพิพิธภัณฑ์ดังกล่าวติดตั้งเพียงกล้องวงจรปิด และการลงชื่อเข้าชมพิพิธภัณฑ์เท่านั้น ซึ่งถ้าเทียบในพิพิธภัณฑ์สถานที่อื่นๆ แล้ว จะมีเจ้าหน้าที่คอยเดินตรวจตราตามจุดต่างๆ ของพิพิธภัณฑ์ตลอดเวลา

***ประสาน ตม.เจอที่ไหนจับกุมทันที

รายงานข่าวระบุอีกว่า หลังที่ทางศาลอนุมัติหมายจับ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประสานไปสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองให้นำข้อมูลดังกล่าวลงระบบแล้ว หากพบเจอให้ดำเนินการจับกุมทันที

พล.ต.ต.วราวุธทวีชัยการ ผบก.สส.สตม. กล่าวว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้น ทราบว่าศาลอาญากรุงเทพใต้ได้ออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งสองแล้ว ซึ่งขณะนี้ได้ทำการลงข้อมูลในระบบของทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว และทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้ประสานไปยังทุกด่านพรหมแดนให้เฝ้าระวังจับตาดูความเคลื่อนไหว หากทั้งสองเดินทางเข้าประเทศ ก็สามารถดำเนินการจับกุมได้ทันที

***ขอเอฟบีไอตรวจสอบที่อยู่ตามที่ส่ง

รายงานข่าวแจ้งอีกว่า ขณะนี้ทางตำรวจจกองการต่างประเทศได้ประสานไปยังสำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) เพื่อให้ตรวจสอบปลายทางที่ส่ง คือ ลาสเวกัสว่ามีร้านลักษณะเป็นแบบใด จากนั้นให้รายงานผลมายังทางสถานทูตอเมริกาและให้ติดตามผู้ต้องหาทั้งสองมาดำเนินคดีต่อไป

สำหรับสาเหตุของการขโมยชิ้นส่วนมนุษย์ในครั้งนี้ ชุดคลี่คลายคดีตั้งปมการก่อเหตุไว้หลายสาเหตุ ประกอบไปด้วยความคึกคะนองหรืออาจะมีใบสั่งจากกลุ่มนักสะสมที่ชื่นชอบของดังกล่าว เพื่อในเรื่องของไสยเวทย์ตามความเชื่อก็เป็นไปได้ รวมทั้งอาจขโมยไปเพื่อถ่ายทำภาพยนตร์หรือสารคดีก็เป็นไปได้เช่นกัน

***ภาพกล้องวงจรปิดมัด2มะกัน

สำหรับคดีดังกล่าว เบื้องต้นจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบกล้องวงจรปิดภายในตึกอดุลยเดชวิกรม รพ.ศิราช พบว่า กล้องบริเวณชั้นล่างตรงจุดลงทะเบียนแลกบัตรสามารถจับภาพวินาทีที่สองผู้ต้องหาเดินทางมาที่อาคารดังกล่าวได้ ซึ่งเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่เชื่อว่าทั้งสองน่าจะมีส่วนรู้เห็นกับการหายไปของชิ้นส่วนมนุษย์ที่พบ โดยนายไรอันใส่เสื้อกล้ามสีขาวกางเกงยีนต์ขายาวสีดำรองเท้าผ้าใบ สวมหมวกสีดำสะพายกระเป๋าเป้สีดำไว้ที่หลัง สะพายกล้องถ่ายรูปไว้ด้านข้าง ขณะที่นายแดเนียลอยู่ในชุดเสื้อยืดเทาดำกางเกงขาสั้น รองเท้าผ้าใบสวมหมวกสีดำ สะพายกระเป๋าข้าง ซึ่งทั้งสองได้เดินทางมา14.54น. ของวันที่ 13 พ.ย. ที่ผ่านมา ก่อนที่ทั้งสองจะแลกบัตร ลงชื่อ เพื่อขอขึ้นไปพิพิธภัณฑ์ทางการแพทย์ตึกอดุลยเดชวิกรม ชั้น 2ของอาคารดังกล่าว

นอกจากนี้ วงจรปิดบริเวณชั้นล่างอีกมุม สามารถจับภาพว่าทั้งสองได้เดินทางออกไปเวลา15.24น. ของวันเกิดเหตุ ใช้เวลาเพียง30 นาที เท่านั้น ซึ่งขัดกับคำให้การของนายไรอันที่อ้างตัวว่าซื้อชิ้นส่วนมนุษย์เหล่านี้มาจากตลาดนัดกลางคืน

อย่างไรก็ตาม หลังก่อเหตุทั้งสองได้เดินทางออกนอกประเทศไทยโดยเดินทางผ่านด่านตม.อรัญประเทศออกไปประเทศกัมพูชา เมื่อเวลา08.24 น.วันที่ 16 พ.ย.2557 ซึ่งนายไรอันถือพาสปอร์ตประเทศสหรัฐอเมริกาเลขที่ 492781876พร้อมเพื่อนชื่อนายแดเนียลเจมอน เทนเนอร์ อายุ 33ปี ถือพาสปอร์ตประเทศสหรัฐอเมริกาเลขที่ 450181497

***สภาทนายชี้ตำรวจเลินเล่อไม่แจ้งข้อหา

ที่สภาทนายความ นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ ได้ออกแถลงการณ์ของสภาทนายความฉบับที่ 18/2557 เรื่อง การดำเนินคดีกับการกระทำผิดกฎหมายไทยของคนต่างชาติ

นายเดชอุดม กล่าวว่า จากกรณีที่มีการดำเนินคดีกับ 2 นักท่องเที่ยว สัญชาติอเมริกา ที่ลักทรัพย์ชิ้นส่วนมนุษย์จากพิพิธภัณฑ์นิติเวช โรงพยาบาลศิริราช เพื่อส่งผ่านพัสดุไปรษณีย์ไปยังประเทศสหรัฐฯ โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหากับทั้งสองคนทันทีที่เกิดเหตุ ซึ่งตามหลักการของกฎหมายถือว่านักท่องเที่ยวทั้งสองคน มีความผิดตามพ.ร.บ.ศุลกากร ตั้งแต่แรก เนื่องจากมีการลงรายมือชื่อในใบแจ้งขนส่ง ซึ่งตามกฎหมายศุลกากร ผู้ที่ส่งจะต้องรับผิดชอบสินค้านั้นๆ และในข้อเท็จจริง สภาทนายความ เห็นว่าคดีนี้ ตำรวจไม่ได้มีการตรวจสอบเอกสารใบขนส่งสินค้า เพราะหากตรวจสอบจะพบว่า นักท่องเที่ยวทั้งสองคนมีการลงรายมือชื่อ เป็นผู้จัดส่ง ดังนั้นจึงเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายศุลกากร เพราะได้กระทำการโดยสมคบกันส่งชิ้นส่วนมนุษย์ออกไปนอกประเทศ

ทั้งนี้ ชิ้นส่วนมนุษย์ ถือเป็นสินค้าต้องห้าม หรือต้องจำกัดตามพ.ร.บ.ศุลกากร และไม่สอดคล้องกับความตกลงระหว่างประเทศ และกรณีนี้ยังมีการสำแดงรายการสินค้าที่จะส่งอันเป็นเท็จอีกด้วย จึงถือว่านักท่องเที่ยวทั้งสองคน มีความผิดชัดเจนแต่แรกแล้ว

อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกลับไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา และปล่อยตัวกลับไป ซึ่งในที่สุดแล้วนักท่องเที่ยวทั้งสองคน ได้เดินทางออกนอกประเทศไทยไปแล้ว และในเวลาต่อมา ตำรวจยังตรวจสอบพบว่า ชิ้นส่วนมนุษย์ ได้ถูกขโมยมา ซึ่งนักท่องเที่ยวทั้งสองคน ได้ให้การเท็จกับตำรวจแต่แรกว่าซื้อชิ้นส่วนมนุษย์มาจากตลาดนัดแห่งหนึ่ง ดังนั้น จึงเข้าข่ายความผิดฐานลักทรัพย์ในสถานที่ราชการอีกด้วย

"จากคดีนี้ เห็นว่า ในอนาคตการบังคับใช้กฎหมายควรเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือชาวต่างชาติ แม้ว่าตำรวจอาจจะให้เกียรติกับชาวต่างชาติก็ตาม แต่เมื่อมีการกระทำความผิดตามหลักของกฎหมายไทยแล้ว ตำรวจควรต้องดำเนินคดีตามกฎหมายไทย"นายเดชอุดมกล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น