xs
xsm
sm
md
lg

กสม.จี้ตร.แจงซ้อมผู้ต้องหา ขีดเส้น24พ.ย.ไม่มาเจอคดี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในฐานะประธานอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิการเมือง กล่าวภายหลังการประชุมอนุฯ ถึงกรณีการตรวจสอบการซ้อมทรมาน 2 ผู้ต้องหา คดีฆ่านักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ ที่เกาะเต่า จ. สุราษฎร์ธานี เป็นครั้งที่ 5 ว่า ทางเลขานุการคณะอนุฯแจ้งว่า ตำรวจชุดสืบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังไม่เดินทางมาให้ข้อมูล ทางอนุกรรมการได้ให้เวลาถึงวันที่ 24 พ.ย. โดยที่ผ่านมาพยายามชี้แจงทำความเข้าใจไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่า การตรวจสอบไม่ได้เกี่ยวข้องกับสำนวนคดี ว่าใครเป็นฆาตกร 2 ผู้ต้องหาเป็นฆาตกรตัวจริงหรือไม่ แต่เป็นเรื่องของการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่าในการจับกุมนั้นมีการซ้อมทรมาน จริงหรือไม่ เพื่อให้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความเข้าใจการทำงานของอนุกรรมการฯ ล่าสุด ได้มีการส่งแนวคำถามไปให้ดู และได้แจ้งให้ทราบว่า หากมาให้ข้อมูลแล้ว เห็นว่าเรื่องที่อนุฯสอบถามเกี่ยวข้องกับเนื้อสำนวนคดี ก็สามารถที่จะปฏิเสธการตอบได้
อย่างไรก็ตาม หากวันที่ 24 พ.ย. ทางชุดสืบสวนยังไม่มาให้ข้อมูล ตนจะเสนอต่อที่ประชุม กสม.ในวันที่ 26 พ.ย. ให้ใช้อำนาจตามมาตรา 34 ของ พ.ร.บ. กสม. แจ้งความดำเนินคดีกับชุดสอบสวน เพราะถือว่าทำให้มีผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของกสม. และหลังจากนั้นทางอนุกรรมการฯ ก็จะดำเนินการสรุปสำนวนคำร้อง ตามข้อมูลที่มี โดยจะมีหมายเหตุว่า ไม่ได้รับชี้แจงข้อเท็จจริงจากฝ่ายตำรวจ
นพ.นิรันดร์ ยังกล่าวยืนยันว่าที่ผ่านมาการตรวจสอบยึดหลักกฎหมาย และให้เกียรติตัวบุคคลและองค์กร และเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับสำนวนว่า ผู้ต้องหาที่จับนั้นเป็นผู้กระทำความผิดจริงหรือไม่ ซึ่งแม้เรื่องจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว แต่เมื่อการตรวจสอบของ กสม.เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติละเมิดว่ามีการซ้อมทรมานจริงหรือไม่ ไม่ได้เกี่ยวกับประเด็นที่ต่อสู้กันในชั้นศาล กสม.ก็สามารถตรวจสอบเรื่องดังกล่าวได้ต่อไป เพราะศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วว่า หากประเด็นที่ กสม.ตรวจสอบเป็นคนละประเด็นกับที่ศาลยุติธรรมกำลังพิจารณา และจะมีคำวินิจฉัย ถือว่าเป็นคนละเรื่องกัน กสม. ดำเนินการตรวจสอบต่อไปได้ ไม่ต้องหยุดตรวจสอบ เพราะไม่เข้าข่าย มาตรา 22 ของ พ.ร.บ.กสม. จึงเห็นว่า หากตำรวจมาให้ข้อมูลจะเป็นผลดีต่อภาพลักษณ์ของตำรวจเอง เพราะถ้ายืนยันว่าไม่มีการซ้อมทรมานก็จบ แต่ถ้ามีการซ้อมทรมานจริง และตั้งคณะกรรมการตรวจสอบอยู่ ก็จะเป็นเรื่องดี ทำให้สังคมรู้สึกว่าระบบของตำรวจก็สามารถตรวจสอบได้ จึงไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้เสื่อมเสียต่อองค์กรตำรวจแต่อย่างใด
เมื่อถามว่า ฝ่ายผู้ต้องหาสามารถนำรายงานผลการตรวจสอบของกสม.ในเรื่องการซ้อมทรมาน ไปเป็นหลักฐานในการสู้คดีได้หรือไม่ นพ.นิรันดร์ กล่าวว่า ถ้าหากผู้ถูกละเมิดสิทธิเห็นว่าเป็นประโยชน์ ก็สามารถนำไปประกอบกับหลักฐานอื่นๆได้ แต่การจะพิสูนจ์ว่าผู้ต้องหาเป็นฆาตกรจริงหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่การซ้อมทรมาน ยังมีพยานหลักฐานทางนิติวิทยาอื่นๆ ที่จะเป็นเครื่องบ่งชี้ ซึ่งที่ผ่านมาข้อสรุปของกสม. หลายครั้ง ได้นำไปใช้เป็นพยานในชั้นศาล แต่กรณีนี้ยืนยันว่า เราไม่ได้ทำงานร่วมกับทนายผู้ต้องหา จึงไม่ทราบว่าทนายจะนำผลสรุปดังกล่าวไปต่อสู้ในชั้นศาลหรือไม่
"ที่ผ่านมาคณะอนุกรรมการฯ พยายามทำความเข้าใจกับตำรวจ ถึงการตรวจสอบในเรื่องนี้ แต่ก็ไม่เข้าใจว่า รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล จึงไม่มาชี้แจง เราไม่ได้ต้องการที่จะทราบว่าใครเป็นคนฆ่า แต่ต้องการรู้ขั้นตอนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่ามีการซ้อมทรมานเกินกว่าเหตุจริงไม่ เพราะเมื่อศาลยังไม่มีคำตัดสินถึงที่สุด ก็ต้องถือว่าผู้ต้องหาเป็นผู้บริสุทธิ์ ตำรวจไม่มีสิทธิที่จะทำเกินเลยกับผู้บริสุทธิ์ได้ อีกทั้งที่ผ่านมาการตรวจสอบของ กสม. ก็ได้รับความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐอื่นๆ เป็นอย่างดี ขนาดตรวจสอบนโยบายเรื่องการทวงคืนพื้นที่ป่า คสช. ยังมาชี้แจงเลย แล้วเรื่องนี้นานาประเทศให้ความสนใจ แต่ตำรวจกลับไม่สนใจ ทั้งที่ประเทศไทยก็ลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามซ้อมทรมาน" นพ.นิรันดร์ กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น