**คำพูดของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ณรงค์ชัย อัครเศรณี มือไม้สำคัญในการเดินเครื่องเปิดสัมปทานสำรวจปิโตรเลียมรอบล่าสุดคือรอบที่ 21 จำนวนอีก 29 แปลง ที่เคยพูดว่า สาเหตุที่ต้องรีบดำเนินการดังกล่าว เพราะเกรงว่าจะเกิดวิกฤติพลังงาน ขณะเดียวกันมีเวลาจำกัด จึงต้องรีบดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายใน 1 ปี
ความหมายก็คือ "ต้องรีบทำให้เรียบร้อยตามกำหนด" นั่นคือ ตั้งธงไว้แล้ว และเรื่องที่บอกว่าจะให้มีการนำเสนอข้อมูลอย่างหลากหลายเพื่อหาข้อสรุปด้านการปฏิรูปพลังงานในสภาาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ภายในสองเดือนนั้น มันก็ชัดเจนแล้วว่าแค่ "ปาหี่" สร้างภาพลดแรงกดดันจากสังคมภายนอกเท่านั้น เพราะปฏิกิริยาจากฝ่ายที่ควบคุมอำนาจรัฐ ทั้งจากผู้นำคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และผู้นำในรัฐบาล คือพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ต่างก็แสดงท่าทีชัดเจนแล้วว่า ต้องเดินหน้าเปิดสัมปทานปิโตรเลียมโดยเร็วที่สุด อ้างว่าจะเกิดวิกฤติขาดแคลนพลังงานในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ขณะเดียวกันก็เท่ากับว่าปฏิเสธแนวทางระบบการแบ่งปันผลประโยชน์ที่หลายประเทศทั่วโลกหันมาใช้วิธีการแบบนี้ เนื่องจากเป็นธรรมกับประชาชนที่เป็นเจ้าของทรัพยากร
** คำถามก็คือทรัพยากรด้านปิโตรเลียมในประเทศไทยจะหมดลงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจริงหรือ แน่นอนว่าชาวบ้านทั่วไปอาจได้คำตอบที่แท้จริงได้ยาก เพราะต้องใช้ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญ รวมไปถึงการปิดบังข้อมูลจากฝ่ายรัฐ ที่มักจะอ้างในเรื่องความมั่นคง และผลประโยชน์อันมหาศาลเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้ไม่ได้รับรู้ความจริง
อย่างไรก็ดี ล่าสุด วันที่ 12 พฤศจิกายน สำนักข่าวต่างประเทศหลายสำนักได้รายงานข่าวตรงกันว่า "บริษัทมูบาดาลา ปิโตรเลียม" ในเครือของ "มูบาดาลา กรุ๊ป" บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) เริ่มเดินหน้าผลิตน้ำมันจากแหล่ง "มโนราห์" ในอ่าวไทยตอนเหนือเต็มกำลัง โดยจะแบ่งปันผลประโยชน์กับ บริษัทแทบเอ็นเนอร์จี ของออสเตรเลีย และบริษัทนอร์ธเทิร์นกัลฟ์ ปิโตรเลียม ซึ่งมีสำนักงานตั้งอยู่ที่ ถนนวิภาวดีรังสิต
** ตามข่าวยังบอกด้วยว่า จะสามารถสูบน้ำมันได้สูงสุดถึงวันละ 15000 บาร์เรล !!
เท่ากับแห่ง"นงค์เยาว์"ในอ่าวไทยอีกแห่งที่รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของทักษิณ ชินวัตร เพิ่งอนุมัติสัมปทานให้ไปเมื่อต้นปี แต่แปลงนี้จะเริ่มเดินหน้าเต็มกำลังในต้นปีหน้าตามที่มีการแถลงไปแล้ว และมีการยืนยันบริษัทเดียวกันนี้ยังได้สัมปทานอีกแห่งคือ แหล่ง"จัสมิน" ที่มีปริมาณน้ำมันสำรองมากกว่า 50 ล้านบาร์เรล
และเพื่อกันลืมก็ย้ำอีกทีก็ได้ว่า บริษัทมูบาดาลา ดังกล่าวนี้ มีที่ตั้งอยู่ "ตึกชินวัตรสาม" ถนนวิภาวดีรังสิต และแน่นอนว่าซีอีโอของบริษัทนี้คือ "คัลคูน คาลิฟา อัน มูบารัค" เป็นซีอีโอ และยังเป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี้ ที่ซื้อกิจการต่อจาก ทักษิณ ชินวัตร นั่นแหละ
ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากปริมาณน้ำมันสำรอง และปริมาณน้ำมันที่สูบขึ้นมาในแต่ละวันจำนวนกว่า 15,000 บาร์เรล และเมื่อรวมทั้งสามแหล่งย่อมถือว่ามีปริมาณไม่น้อย คุ้มค่าในเชิงพาณิชย์ และที่สำคัญยังสามารถสูบขึ้นมาใช้ได้อีกหลายปี ซึ่งนี่เพียงแค่สามหลุมที่ได้รับอนุญาตให้สูบขึ้นมาขายเท่านั้น ยังมีอีกหลายบริษัท เช่น เพิร์ลออยล์ (ประเทศไทย) ที่เพิ่งกล่าวถึงก่อนหน้านี้ สวนทางกับคำพูดของเหล่าผู้มีอำนาจในประเทศนี้ ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ ณรงค์ชัย อัครเศรณี ที่อ้างว่า พลังงานใกล้หมด และต้องใช้วิธีให้สัมปทานเท่านั้นถึงจะจูงใจอีกทั้งคุ้มค่ากว่า
**คำถามที่ต้องการคำอธิบายอย่างเร่งด่วนก็คือ เมื่อข้อมูลที่เห็นในเรื่องปริมาณน้ำมัน และพลังงานที่บริษัทพลังงานข้ามชาติดังกล่าวได้รับ และถูกระบุว่าเชื่อมโยงไปถึง ทักษิณ ชินวัตร โดยตรง ยังถือว่ามีจำนวนมหาศาล ทำให้ยังสงสัยว่า ทำไมต้องรีบเปิดสัมปทานกันนัก เป็นเพราะกลัวว่าพลังงานหมดจนเกิดวิกฤติ หรือเป็นเพราะต้องรีบลงมือเสียก่อน "หมดเวลา" หรือเปล่า !!
ความหมายก็คือ "ต้องรีบทำให้เรียบร้อยตามกำหนด" นั่นคือ ตั้งธงไว้แล้ว และเรื่องที่บอกว่าจะให้มีการนำเสนอข้อมูลอย่างหลากหลายเพื่อหาข้อสรุปด้านการปฏิรูปพลังงานในสภาาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ภายในสองเดือนนั้น มันก็ชัดเจนแล้วว่าแค่ "ปาหี่" สร้างภาพลดแรงกดดันจากสังคมภายนอกเท่านั้น เพราะปฏิกิริยาจากฝ่ายที่ควบคุมอำนาจรัฐ ทั้งจากผู้นำคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และผู้นำในรัฐบาล คือพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ต่างก็แสดงท่าทีชัดเจนแล้วว่า ต้องเดินหน้าเปิดสัมปทานปิโตรเลียมโดยเร็วที่สุด อ้างว่าจะเกิดวิกฤติขาดแคลนพลังงานในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ขณะเดียวกันก็เท่ากับว่าปฏิเสธแนวทางระบบการแบ่งปันผลประโยชน์ที่หลายประเทศทั่วโลกหันมาใช้วิธีการแบบนี้ เนื่องจากเป็นธรรมกับประชาชนที่เป็นเจ้าของทรัพยากร
** คำถามก็คือทรัพยากรด้านปิโตรเลียมในประเทศไทยจะหมดลงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจริงหรือ แน่นอนว่าชาวบ้านทั่วไปอาจได้คำตอบที่แท้จริงได้ยาก เพราะต้องใช้ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญ รวมไปถึงการปิดบังข้อมูลจากฝ่ายรัฐ ที่มักจะอ้างในเรื่องความมั่นคง และผลประโยชน์อันมหาศาลเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้ไม่ได้รับรู้ความจริง
อย่างไรก็ดี ล่าสุด วันที่ 12 พฤศจิกายน สำนักข่าวต่างประเทศหลายสำนักได้รายงานข่าวตรงกันว่า "บริษัทมูบาดาลา ปิโตรเลียม" ในเครือของ "มูบาดาลา กรุ๊ป" บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) เริ่มเดินหน้าผลิตน้ำมันจากแหล่ง "มโนราห์" ในอ่าวไทยตอนเหนือเต็มกำลัง โดยจะแบ่งปันผลประโยชน์กับ บริษัทแทบเอ็นเนอร์จี ของออสเตรเลีย และบริษัทนอร์ธเทิร์นกัลฟ์ ปิโตรเลียม ซึ่งมีสำนักงานตั้งอยู่ที่ ถนนวิภาวดีรังสิต
** ตามข่าวยังบอกด้วยว่า จะสามารถสูบน้ำมันได้สูงสุดถึงวันละ 15000 บาร์เรล !!
เท่ากับแห่ง"นงค์เยาว์"ในอ่าวไทยอีกแห่งที่รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของทักษิณ ชินวัตร เพิ่งอนุมัติสัมปทานให้ไปเมื่อต้นปี แต่แปลงนี้จะเริ่มเดินหน้าเต็มกำลังในต้นปีหน้าตามที่มีการแถลงไปแล้ว และมีการยืนยันบริษัทเดียวกันนี้ยังได้สัมปทานอีกแห่งคือ แหล่ง"จัสมิน" ที่มีปริมาณน้ำมันสำรองมากกว่า 50 ล้านบาร์เรล
และเพื่อกันลืมก็ย้ำอีกทีก็ได้ว่า บริษัทมูบาดาลา ดังกล่าวนี้ มีที่ตั้งอยู่ "ตึกชินวัตรสาม" ถนนวิภาวดีรังสิต และแน่นอนว่าซีอีโอของบริษัทนี้คือ "คัลคูน คาลิฟา อัน มูบารัค" เป็นซีอีโอ และยังเป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี้ ที่ซื้อกิจการต่อจาก ทักษิณ ชินวัตร นั่นแหละ
ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากปริมาณน้ำมันสำรอง และปริมาณน้ำมันที่สูบขึ้นมาในแต่ละวันจำนวนกว่า 15,000 บาร์เรล และเมื่อรวมทั้งสามแหล่งย่อมถือว่ามีปริมาณไม่น้อย คุ้มค่าในเชิงพาณิชย์ และที่สำคัญยังสามารถสูบขึ้นมาใช้ได้อีกหลายปี ซึ่งนี่เพียงแค่สามหลุมที่ได้รับอนุญาตให้สูบขึ้นมาขายเท่านั้น ยังมีอีกหลายบริษัท เช่น เพิร์ลออยล์ (ประเทศไทย) ที่เพิ่งกล่าวถึงก่อนหน้านี้ สวนทางกับคำพูดของเหล่าผู้มีอำนาจในประเทศนี้ ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ ณรงค์ชัย อัครเศรณี ที่อ้างว่า พลังงานใกล้หมด และต้องใช้วิธีให้สัมปทานเท่านั้นถึงจะจูงใจอีกทั้งคุ้มค่ากว่า
**คำถามที่ต้องการคำอธิบายอย่างเร่งด่วนก็คือ เมื่อข้อมูลที่เห็นในเรื่องปริมาณน้ำมัน และพลังงานที่บริษัทพลังงานข้ามชาติดังกล่าวได้รับ และถูกระบุว่าเชื่อมโยงไปถึง ทักษิณ ชินวัตร โดยตรง ยังถือว่ามีจำนวนมหาศาล ทำให้ยังสงสัยว่า ทำไมต้องรีบเปิดสัมปทานกันนัก เป็นเพราะกลัวว่าพลังงานหมดจนเกิดวิกฤติ หรือเป็นเพราะต้องรีบลงมือเสียก่อน "หมดเวลา" หรือเปล่า !!