ASTV ผู้จัดการรายวัน - บมจ.คาราบาวกรุ๊ป หรือ CBG เคาะราคา IPO ที่28 บาท โดยจะเปิดให้ทั้งบุคคลทั่วไปและนักลงทุนสถาบันทำการจองซื้อหุ้นสามัญของกลุ่มบริษัทฯ ในวันที่ 12-14 พ.ย.57 ผ่าน บล.กสิกรไทย และ บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย บล.บัวหลวง บล.โนมูระ พัฒนสิน และ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ในฐานะผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย และ CIMB Securities (Singapore) Pte. Ltd. ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายในต่างประเทศ (International Manager)
นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ กรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินร่วมของ บมจ.คาราบาวกรุ๊ป หรือ CBG เปิดเผยว่า ในวันที่ 11 พ.ย.57 ทางกลุ่มบริษัทได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญสุดท้าย หรือ IPO ของ CBG ที่หุ้นละ 28 บาท จำนวน 250,000,000 หุ้น ซึ่งประกอบด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยกลุ่มบริษัทฯ 150,000,000 หุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมอีก 100,000,000 หุ้น ซึ่งเป็นหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย Jubilee International Investments Ltd. จำนวน 90,000,100 หุ้น และเสนอขายโดย Northend Investment Ltd. จำนวน 9,999,900 หุ้น
ทั้งนี้ CBG จะกระจายหุ้น IPO ให้กับบุคคลทั่วไป และนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศผ่าน บล.กสิกรไทย และ บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย บล.บัวหลวง บล.โนมูระ พัฒนสิน และ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ในฐานะผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย และ CIMB Securities (Singapore) Pte. Ltd. ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายในต่างประเทศ (International Manager)
สำหรับการเสนอขายหุ้น CBG ในครั้งนี้จะเปิดให้ทั้งบุคคลทั่วไปและนักลงทุนสถาบันทำการจองซื้อหุ้นสามัญของกลุ่มบริษัทฯ ในวันที่ 12-14 พ.ย.57 โดยคาดว่า CBG จะสามารถเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2557 ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดอาหารและเครื่องดื่ม
นายเสถียร เศรษฐสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.คาราบาวกรุ๊ป หรือ CBG กล่าวว่า กลุ่มบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าวไปใช้ในการชำระเงินกู้ระยะยาวจากสถาบันการเงินซึ่งเป็นเงินกู้ที่กลุ่มบริษัทฯ เพื่อใช้ (1) ขยายกำลังการผลิตเครื่องดื่มของบริษัทย่อย คือ บริษัท คาราบาวตะวันแดง จำกัด (CBD) โดยติดตั้งสายการผลิตความเร็วสูง Krones ซึ่งมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยจากประเทศเยอรมัน (2) สร้างโรงงานผลิตขวดแก้วสีชาของบริษัท เอเชียแปซิฟิกกลาส จำกัด (APG) และ (3) ลงทุนในที่ดิน และอาคารเพื่อใช้เป็นอาคารสำนักงานใหญ่ของกลุ่มบริษัทฯ ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทฯ มีแผนการตลาดที่จะรุกทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น
“ราคาเสนอขายหุ้นเหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานและฐานะทางการเงินของบริษัทที่มีความแข็งแกร่ง และ
ทางกลุ่มบริษัทฯ คาดว่าหุ้น CBG จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งกลุ่ม
บริษัทฯ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ ซึ่งคาดว่าจะเป็นอีกหนึ่งแรงจูงใจที่จะได้รับการ
ตอบรับที่ดีจากนักลงทุน" นายเสถียร กล่าว
ทั้งนี้คาดว่าความสามารถในการทำกำไร และรายได้ของกลุ่มบริษัทฯ ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กลุ่มบริษัทฯ ยังมีโอกาสในการขยายตลาดในประเทศ และรุกตลาดในประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อเพิ่มทั้งยอดขายและส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกปี 57 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวม 5,638.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 523.5 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 10.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ในปี 56 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวม 6,929.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,920.7 ล้านบาท หรือคิดเป็น 38.3% จากปี 55 และในปี 55 กลุ่มบริษัทมีรายได้รวม 5,008.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 699.5 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 16.2% จากปี 54 ที่กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวม 4,309.2 ล้านบาท โดยปี 54-56 กลุ่มบริษัทมีอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ของรายได้จากการขายประมาณ 26.7%
ความสามารถในการทำกำไรของกลุ่มบริษัทฯ 9 เดือนแรกปี 57 มีกำไรสุทธิ 736.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 298.9 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 68.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ในปี 56 มีกำไรสุทธิ 626.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 438.7 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 233.6% จากปี 55 ที่มีกำไรสุทธิ 187.8 ล้านบาท และในปี 54 มีกำไรสุทธิ 204.5 ล้านบาท ดังนั้น ปี 54-56 กลุ่มบริษัทมีอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ของกำไรสุทธิประมาณ 75.0%
นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ กรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินร่วมของ บมจ.คาราบาวกรุ๊ป หรือ CBG เปิดเผยว่า ในวันที่ 11 พ.ย.57 ทางกลุ่มบริษัทได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญสุดท้าย หรือ IPO ของ CBG ที่หุ้นละ 28 บาท จำนวน 250,000,000 หุ้น ซึ่งประกอบด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยกลุ่มบริษัทฯ 150,000,000 หุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมอีก 100,000,000 หุ้น ซึ่งเป็นหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย Jubilee International Investments Ltd. จำนวน 90,000,100 หุ้น และเสนอขายโดย Northend Investment Ltd. จำนวน 9,999,900 หุ้น
ทั้งนี้ CBG จะกระจายหุ้น IPO ให้กับบุคคลทั่วไป และนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศผ่าน บล.กสิกรไทย และ บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย บล.บัวหลวง บล.โนมูระ พัฒนสิน และ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ในฐานะผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย และ CIMB Securities (Singapore) Pte. Ltd. ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายในต่างประเทศ (International Manager)
สำหรับการเสนอขายหุ้น CBG ในครั้งนี้จะเปิดให้ทั้งบุคคลทั่วไปและนักลงทุนสถาบันทำการจองซื้อหุ้นสามัญของกลุ่มบริษัทฯ ในวันที่ 12-14 พ.ย.57 โดยคาดว่า CBG จะสามารถเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2557 ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดอาหารและเครื่องดื่ม
นายเสถียร เศรษฐสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.คาราบาวกรุ๊ป หรือ CBG กล่าวว่า กลุ่มบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าวไปใช้ในการชำระเงินกู้ระยะยาวจากสถาบันการเงินซึ่งเป็นเงินกู้ที่กลุ่มบริษัทฯ เพื่อใช้ (1) ขยายกำลังการผลิตเครื่องดื่มของบริษัทย่อย คือ บริษัท คาราบาวตะวันแดง จำกัด (CBD) โดยติดตั้งสายการผลิตความเร็วสูง Krones ซึ่งมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยจากประเทศเยอรมัน (2) สร้างโรงงานผลิตขวดแก้วสีชาของบริษัท เอเชียแปซิฟิกกลาส จำกัด (APG) และ (3) ลงทุนในที่ดิน และอาคารเพื่อใช้เป็นอาคารสำนักงานใหญ่ของกลุ่มบริษัทฯ ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทฯ มีแผนการตลาดที่จะรุกทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น
“ราคาเสนอขายหุ้นเหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานและฐานะทางการเงินของบริษัทที่มีความแข็งแกร่ง และ
ทางกลุ่มบริษัทฯ คาดว่าหุ้น CBG จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งกลุ่ม
บริษัทฯ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ ซึ่งคาดว่าจะเป็นอีกหนึ่งแรงจูงใจที่จะได้รับการ
ตอบรับที่ดีจากนักลงทุน" นายเสถียร กล่าว
ทั้งนี้คาดว่าความสามารถในการทำกำไร และรายได้ของกลุ่มบริษัทฯ ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กลุ่มบริษัทฯ ยังมีโอกาสในการขยายตลาดในประเทศ และรุกตลาดในประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อเพิ่มทั้งยอดขายและส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกปี 57 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวม 5,638.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 523.5 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 10.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ในปี 56 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวม 6,929.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,920.7 ล้านบาท หรือคิดเป็น 38.3% จากปี 55 และในปี 55 กลุ่มบริษัทมีรายได้รวม 5,008.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 699.5 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 16.2% จากปี 54 ที่กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวม 4,309.2 ล้านบาท โดยปี 54-56 กลุ่มบริษัทมีอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ของรายได้จากการขายประมาณ 26.7%
ความสามารถในการทำกำไรของกลุ่มบริษัทฯ 9 เดือนแรกปี 57 มีกำไรสุทธิ 736.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 298.9 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 68.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ในปี 56 มีกำไรสุทธิ 626.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 438.7 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 233.6% จากปี 55 ที่มีกำไรสุทธิ 187.8 ล้านบาท และในปี 54 มีกำไรสุทธิ 204.5 ล้านบาท ดังนั้น ปี 54-56 กลุ่มบริษัทมีอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ของกำไรสุทธิประมาณ 75.0%