“คาราบาว” ใส่สูทเข้าตลาดฯ เตรียมขาย IPO จำนวน 250 ล้านหุ้น เผยแผนระดมทุน เพื่อคืนเงินกู้ และนำไปเป็นทุนหมุนเวียนขยายธุรกิจ คาดจ่ายปันผล 40% ของกำไรสุทธิ พร้อมเปิดชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ “กลุ่มน้าแอ๊ด” ยังถือ 16.5%
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ระบุว่า บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG ได้ยื่น Filing version แรก เมื่อวันที่ 18 ก.ค.2557 เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 250 ล้านหุ้น ประกอบด้วย หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ จำนวน 150 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ ได้แก่ Jubilee International Investments Ltd. จำนวน 90,000,100 หุ้น และ Northend Investment Ltd. จำนวน 9,999,900 หุ้น โดยมี บล.กสิกรไทย และธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
โดยบริษัทมีความประสงค์จะขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินที่ได้ไปใช้ชำระคืนเงินกู้จากสถาบันการเงิน ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และขยายธุรกิจในอนาคต
ทั้งนี้ คาราบาวกรุ๊ป ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ซึ่งมีการลงทุนหลักในบริษัทย่อยที่ประกอบธุรกิจ ผลิต ทำการตลาด จำหน่าย และบริหารจัดการการจัดจำหน่ายเครื่องดื่มบำรุงกำลัง และเครื่องดื่มอื่นๆ ครบวงจร ภายใต้บริษัทย่อย คือ บริษัท คาราบาวตะวันแดง จำกัด (CBD), บริษัท เอเชียแปซิฟิกกลาส จำกัด (APG) ประกอบธุรกิจผลิตและจัดหาขวดแก้ว และบริษัท คาราบาว ดีซีเอ็ม จำกัด (DCM) ประกอบธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของบริษัท โดยคาราบาวกรุ๊ปถือหุ้นในบริษัทย่อยทั้ง 100% ของทุนจดทะเบียนที่ออกและชำระแล้ว
ส่วนผลการดำเนินงานของบริษัท ณ วันที่ 31 มี.ค.57 มีรายได้รวม 1,757.8 ล้านบาท กำไรสุทธิ 240 ล้านบาท สินทรัพย์รวม 5,671.7 ล้านบาท หนี้สินรวม 4,388.4 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น 1,283.3 ล้านบาท
โดยปัจจุบัน บริษัทมีทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 1,000 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท และมีทุนชำระแล้ว 850 ล้านบาท หลังเสนอขายหุ้นในครั้งนี้แล้วบริษัทจะมีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 1,000 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญชำระแล้ว 1,000 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
ด้านผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ได้แก่ กลุ่มนายเสถียร เศรษฐสิทธิ์ ถือหุ้น 352,999,900 หุ้น หรือคิดเป็น 41.5% หลังเสนอขายหุ้นในครั้งนี้แล้วจะถือหุ้น 343 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 34.3% รองลงมาเป็นกลุ่ม น.ส.ณัฐชไม ถนอมบูรณ์เจริญ ถือหุ้น 265.50 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 31.2% หลังเสนอขายหุ้นในครั้งนี้แล้วจะถือหุ้น 265.50 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 26.6% และกลุ่มยืนยง โอภากุล ถือหุ้น 141.50 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 16.7% หลังเสนอขายหุ้นในครั้งนี้แล้วจะถือหุ้น 141.50 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 14.2% ส่วน Jubilee International Investments Ltd. ถือหุ้น 90,000,100 หุ้น หรือคิดเป็น 10.6% หลังเสนอขายหุ้นในครั้งนี้แล้วจะไม่ถือหุ้นบริษัทฯ อีกต่อไป
ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้ของงบการเงินรวม และภายหลังการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมาย