“คาราบาว” เตรียมออกขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไป 250 ล้านหุ้น ในราคา IPO ที่ 28 บาท/หุ้น เปิดจอง 12-14 พ.ย.นี้ เพื่อนำเงินทีได้ไปชำระหุ้นกู้ระยะยาวจากสถาบันการเงินและขยายกำลังการผลิตเพิ่มในบริษัทลูก พร้อมทั้งลงทุนขยายโรงงานและที่ดิน ตลอดเตรียมรุกตลาดไปจำหน่ายยังต่างประเทศ
นายเสถียร เศรษฐสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.คาราบาวกรุ๊ป หรือ CBG กล่าวว่า บริษัทฯ เตรียมออกขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไป 250 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 28 บาท โดยแบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 150 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมอีก 100 ล้านหุ้น โดยจะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าวไปใช้ในการชำระเงินกู้ระยะยาวจากสถาบันการเงินซึ่งเป็นเงินกู้ที่กลุ่มบริษัทฯ ใช้ในการขยายกำลังการผลิตเครื่องดื่มของบริษัทย่อย คือ บริษัท คาราบาวตะวันแดง จำกัด (CBD) โดยติดตั้งสายการผลิตความเร็วสูง Krones ซึ่งมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยจากประเทศเยอรมนี และสร้างโรงงานผลิตขวดแก้วสีชาของบริษัท เอเชียแปซิฟิกกลาส จำกัด หรือ APG และ ลงทุนในที่ดิน และอาคารเพื่อใช้เป็นอาคารสำนักงานใหญ่ของกลุ่มบริษัทฯ ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทฯ มีแผนการตลาดที่จะรุกทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น
“สำหรับราคาเสนอขายหุ้นของกลุ่มบริษัทฯ นั้น มองว่าเป็นราคาที่เหมาะสม กับปัจจัยพื้นฐานและฐานะทางการเงินของบริษัทฯ ที่มีความแข็งแกร่ง และทางกลุ่มบริษัทฯ คาดว่าหุ้น CBG จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งกลุ่มบริษัทฯ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ ซึ่งคาดว่าจะเป็นอีกหนึ่งแรงจูงใจที่จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน”
ขณะที่นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินร่วมของบริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG เปิดเผยว่า ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2557 ทางกลุ่มบริษัทฯ ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญสุดท้ายของ CBG (ไอพีโอ) ที่หุ้นละ 28 บาท จำนวน 250,000,000 หุ้น ซึ่งประกอบด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยกลุ่มบริษัทฯ 150,000,000 หุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมอีก 100,000,000 หุ้น โดยประกอบไปด้วยหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย Jubilee International Investments Ltd. จำนวน 90,000,100 หุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย Northend Investment Ltd. จำนวน 9,999,900 หุ้น โดยจะกระจายให้กับบุคคลทั่วไป และนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศผ่านบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และ บริษัทหลักทรัพย์ ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย และ CIMB Securities (Singapore) Pte. Ltd. ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายในต่างประเทศ (International Manager)
ทั้งนี้ สำหรับการเสนอขายหุ้น CBG ในครั้งนี้ จะเปิดให้ทั้งบุคคลทั่วไปและนักลงทุนสถาบันทำการจองซื้อหุ้นสามัญของกลุ่มบริษัทฯ ในวันที่ 12-14 พฤศจิกายน 2557 โดยคาดว่า CBG จะสามารถเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2557 ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดอาหารและเครื่องดื่ม
ด้านนายสิทธิไชย มหาคุณ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และหัวหน้าสายงาน Corporate Finance and Equity Capital Markets ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินร่วมกล่าวว่า ราคาดังกล่าวถือเป็นราคาที่เหมาะสมกับภาวะตลาดในปัจจุบัน โดยมีการกำหนดราคาเสนอขายสุดท้ายจากการที่ CBG ได้นำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) กับนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ ทั้งนี้ จากการสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์กับนักลงทุนสถาบัน (Bookbuilding) ที่ระดับราคา 26-28 บาทต่อหุ้นนั้น ถือได้ว่ากลุ่มบริษัทฯ ได้รับผลตอบรับที่ดีจากการที่ CBG มี Brand ที่แข็งแกร่งและมีอัตราการเติบโตที่ผ่านมาในระดับที่สูง ผลการสำรวจความสนใจของนักลงทุนสถาบันที่ระดับราคา 28 บาทต่อหุ้น มียอด Bookbuilding เข้ามาสูงถึงประมาณ 10 เท่าสำหรับสัดส่วนของนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม นางสาวณัฐชไม ถนอมบูรณ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ บมจ.คาราบาวกรุ๊ป หรือ CBG กล่าวว่า ความสามารถในการทำกำไร และรายได้ของกลุ่มบริษัทฯ ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กลุ่มบริษัทฯ ยังมีโอกาสในการขยายตลาดในประเทศ และรุกตลาดในประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อเพิ่มทั้งยอดขายและส่วนแบ่งตลาด ซึ่งถือว่ายังมีสัดส่วนที่สามารถจะขยับเพิ่มขึ้นได้อีก
ในส่วนผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ 3 ไตรมาสแรกของปี 2557 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวม 5,638.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 523.5 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 10.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ในปี 2556 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวม 6,929.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,920.7 ล้านบาท หรือคิดเป็น 38.3% จากปี 2555 ในปี 2555 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวม 5,008.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 699.5 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 16.2% จากปี 2554 และในปี 2554 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวม 4,309.2 ล้านบาท ทั้งนี้ สำหรับปี 2554-2556 กลุ่มบริษัทฯ มีอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ของรายได้จากการขายประมาณ 26.7%
ขณะที่สำหรับความสามารถในการทำกำไรของกลุ่มบริษัทฯ 3 ไตรมาสของแรกปี 2557 กลุ่มบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 736.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 298.9 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 68.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ในปี 2556 กลุ่มบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 626.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 438.7 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 233.6% จากปี 2555 ในปี 2555 กลุ่มบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 187.8 ล้านบาท และในปี 2554 กลุ่มบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 204.5 ล้านบาท ทั้งนี้ สำหรับปี 2554-2556 กลุ่มบริษัทฯ มีอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ของกำไรสุทธิประมาณ 75.0%